หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 ... 84
 
ผู้เขียน หัวข้อ: FWD: งามๆ แบ่งกันอ่าน  (อ่าน 295851 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
มีเรื่องจรรโลงใจมากมายก่ายกอง ..

ส่วนมากมีแต่เรื่องเกี่ยวกับความรักทั้งนั้นเลย ..

แต่ไม่ค่อยอยากอ่าน .. จะร้อง  ฮือๆ~



.. เห็นถั่วงอกแล้วคันๆหัวยังไงไม่รู้ค่ะ   ง่ะ
บันทึกการเข้า

เครดิต : บล็อกชาวบ้านเช่นเคย
หนังสือที่ถูกลืม

ถ้าคุณเคยรักใครสักคน ( นอกจากตัวเอง ) คนคนนั้นย่อมต้องวิเศษสุดเสมอ และหนังสือก็เหมือนกับคน... ต้องเรียนรู้ ต้องเปิดอ่านไปเรื่อยๆ หนังสือบางเล่มควรค่ากับการนั่งอ่านหลายต่อหลายรอบ บางเล่มก็สมควรจะถูกวางไว้เฉยๆ คุณเป็นผู้ตัดสิน...แต่จะมีสักกี่เล่มเชียวที่คุณอยากมีมันไว้ใกล้ๆ แม้ไม่ต้องเปิดอ่านก็ทำให้มีความสุขได้

หนังสือกับคน... เหมือนกันตรงที่ทั้งสองล้วนถ่ายทอดตัวตนออกมา แต่น่าเสียดาย... หนังสือบางเล่มดูงดงามแค่เพียงเพราะมันถูกห่อปกเอาไว้... บางเล่มดูสวยสดเพราะปกใสๆที่กันตัวมันเองจากฝุ่นผง หนังสือที่เชิดหน้าชูตาอย่างงดงามแต่ไม่ใช่จากความสามารถของตนเอง ทำไมมันถึงมีคุณค่ามากนัก?...

มีหนังสือสักกี่เล่มที่ไม่ถูกห่อปก ต้องยืนหยัดและเผชิญสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ผ่านวันเวลาจนเนื้อความเริ่มเลือนหาย สิ่งที่เ้ป็นตัวตนบนเนื้อกระดาษบางๆกำลังพร่าเลือน เหลือไว้เพียงหน้าปกให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้เห็นถึงสิ่งที่เจ้าหนังสือเล่มนี้เคยเป็น... สิ่งที่ไม่มีอีกแล้ว... ...

ในโลกชวนสับสนใบนี้ หน้าปกมักสำคัญกว่าเนื้อหา จึงไม่แปลกที่โลกเราเป็นอย่างที่มันเป็น ซึ่งไม่ใช่อย่างที่มันควรเป็น ความรักมักถูกมองเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ หนังสือบางเล่มถูกหยิบขึ้นมาด้วยความคาดหวัง ถูกอ่านอย่างใจจดใจจ่อเพราะความน่าค้นหา แต่เมื่อตัวอักษรสุดท้ายผ่านสายตาไป หนังสือเล่มเดิมที่เคยสร้างความสนุกสนาน... ก็ไม่เหลืออะไรให้น่าค้นหาอีกแล้ว...

วางมันลงซะ... คุณอาจบอกตัวเองเช่นนี้ ไปหาหนังสือที่สนุกๆอ่านดีกว่า มีหนังสืออีกหลายล้านเล่มให้คุณค้นหาในสิ่งที่กำลังตามหา...

หนังสือบางเล่ม... ที่คุณเคยอดหลับอดนอนเพื่อมัน แต่เมื่ออ่านจบแล้ว เวลาเพียงเล็กน้อยคุณอาจไม่มีให้มันด้วยซ้ำ...

หนังสือบางเล่ม... ที่เคยสร้างความสุขให้คุณ... เมื่ออ่านจบ คุณก็คงอยากจะหาเล่มใหม่มาแทนที่

ถ้าหนังสือมีชีวิต มันคงร้องออกมาดังๆว่า "เจ็บนะ"

เสียงร้องของหนังสือที่มีชีวิต สำหรับคุณแล้ว... คงจะดังอื้ออึงได้เฉพาะในฝัน... ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง

บันทึกการเข้า

ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม
แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำ
ว่าครั้งนึงเคยก้าวไป...
 หมีโหดดดด




* นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง

* ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!

* หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง

* ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ

* เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ

* ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”

* สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้

* อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

* เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

* ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา

* ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน

* ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น

* เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด

* ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น

* แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก “รัก” เป็นยังไง

* ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

* พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่

* วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ

* รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน

* ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ

* เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

* พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!

* โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่

* ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้

* ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง

* ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ

* จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น

* นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน

* นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย

* จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง

* อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี

* ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ

* ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้

* ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว

* รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า

* การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้

* ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ

* หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก

* คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน

* ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว

* วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ

* ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ

* ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง

* เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ

* อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง
บันทึกการเข้า

ตามหารักแท้ค่ะ โฮกกก
ซ้ำหรือเปล่าครับ
บันทึกการเข้า

สะพรึบสะพรั่ง ณหน้าและหลัง ณซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด ก็ตรวจก็ตรา ประมวลกะมา สิมากประมาณ
ไม่ทราบค่ะ  หมีโหดดดด
บันทึกการเข้า

ตามหารักแท้ค่ะ โฮกกก
พจนานุกรมผู้หญิง (แต่งโดยผู้ชาย)

ใช่ = ไม่

ไม่ = ใช่

บางที = ไม่

ฉันเสียใจ = คุณจะต้องเสียใจ

เราต้องการ = ฉันอยากได้

เป็นการตัดสินใจของคุณ = การตัดสินใจที่ถูกต้องมันกำลังจะเริ่มตอนนี้ต่างหาก

อยากทำอะไรก็ทำไปสิ = แล้วคุณจะได้เห็นดีกันแน่

เราต้องคุยกัน = ฉันอยากบ่น

ได้...ว่าไปสิ = ฉันไม่อยากให้เธอพูด

ฉันไม่ได้โมโห = ใช่ฉันโมโห คุณมันทึ่ม

คุณดูแมนจังเลย = คุณควรโกนหนวดแล้วนะและคุณก็น่ารักมากด้วย

ดูคุณเอาอกเอาใจฉันจังเลยนะคืนนี้ = ในหัวคุณมีแต่เรื่องอย่างว่าเหรอ

เพื่อความโรแมนติกฉันว่าเราปิดไฟดีกว่า = ต้นขาฉันใหญ่

ครัวนี้ไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย = ฉันอยากได้บ้านใหม่

ฉันอยากได้ผ้าม่านใหม่ = และก็พรม,เฟอร์นิเจอร์และก็วอลเปอร์.....

แขวนรูปตรงนี้ = ไม่ฉันหมายถึงตรงนั้น

ฉันได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ = ฉันรู้ว่าคุณจะหลับแล้ว

คุณรักฉันมั้ย = ฉันกำลังจะขออะไรแพง ๆ

คุณรักฉันมากขนาดไหน = ฉันทำอะไรบางอย่างวันนี้และคุณต้องไม่ชอบเอามาก ๆ แน่ ๆ

ฉันแต่งตัวจะเสร็จแล้ว = ถอดรองเท้าออกแล้วหาเกมมาเล่นเหอะ

ก้นฉันใหญ่มั้ย = บอกสิว่าฉันสวย

คุณต้องเรียนรู้การพูดคุยกัน = แค่เห็นด้วยกับฉันทุกอย่างก็พอ

คุณฟังฉันอยู่รึเปล่า = (ช้าไป คุณตายไปแล้วล่ะ)

ลูกร้องรึเปล่า = ทำไมคุณไม่ลุกจากเตียงพาแล้วกล่อมเขาจนหลับล่ะ

ฉันไม่ได้ตะโกนนะ!!! = ใช่ฉันตะโกนเพราะฉันคิดว่ามันสำคัญ
บันทึกการเข้า

Today you , Tomorrow me.
มีคนบอกว่า ... ฟ้าดินลงโทษเขาให้ห่างไกลกับคนรัก

ฉันกลับคิดว่า ... ฟ้าดินกำลังสงสัยคู่นี้ว่า

... เขารักกันจริงหรือป่าวต่างหาก ...

เลยทดสอบโดยแยกคนนึงไปทาง ... อีกคนไปทาง

คงมีใครบางคนมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ

ถ้าเราคิดว่ามันเป็นการทดสอบว่าเราเลือกถูกคนรึป่าว

ความห่างไกล ... จะเป็นตัววัดปริมาณความผูกพันที่เรามีต่อกัน

ถ้าเรายังรู้สึกเหมือนเดิม...แถมยังเพิ่มความห่วงใย ... ความคิดถึง

นั่นคือเรามีความรักที่แท้จริงให้เค้า ... เราสอบผ่าน ...

แต่ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงไป ... แรก ๆ ก็ติดต่อกันถี่หน่อย ... หลัง ๆ

...เริ่มห่างหาย

เค้าสอบตก ... ก็ในเมื่อปริมาณความผูกพันของเค้ามันมีไม่เพียงพอ

เราน่าจะภูมิใจในตัวเอง ... ที่เราได้เลื่อนชั้นขึ้นไป ...

แม้มีใครจะสอบตก

ถ้าเค้าอยากจะขึ้นมาอยู่ข้างเรา... เค้าต้องเร่งให้สอบผ่านบททดสอบนี้

แล้วก้าวขึ้นมาอยู่ข้างเราเอง ...

ถ้าเค้าไม่ผ่าน ... ก็ถือว่าเป็นบุญ ...

ที่ฟ้าดินได้คัดคนโง่ ... ออกไปจากเราแล้ว ...
บันทึกการเข้า
เริ่มต้นที่ีี่จุดจบ...
(ยาว ใครขี้เกียจอ่านกดเก็บดาวแล้วข้ามไปเลย ห้ามบ่น  หมีโหดดดด)

 ~ ... เราเริ่มที่จุดจบ ... ~


สวัสดีครับ ผมชื่อแจ็คครับ ผมแต่งงานได้ 3 เดือนแล้วครับ แต่คุณเชื่อมะ แต่งเหมือนไม่ได้แต่งเลย ผมยังคงมีชีวิตเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ต้องย้ำว่าเกือบ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว ผมยังคงเที่ยวกับเพื่อนคืนวันศุกร์ เมาสุดๆคืนวันเสาร์ และถอนให้ออกคืนวันอาทิตย์ เป็นไงล่ะครับ อิจฉาผมไหม ที่มีอิสระได้อย่างนี้

ภรรยาของผม เรียกแบบนี้ก็ไม่เชิงนะ เรียกว่าคนที่ผมเข้าพิธีแต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวยนะครับ เธอก็สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป... ผมว่าเธอก็น่ารักแบบไม่เหมือนใครดีนะ แต่เพื่อนมันบอก “กรูเห็นหน้าแล้วเจี๊ยะบ่โละว่ะ” (เห็นแล้วกระเดือกไม่ลง) เธอไม่ใช่คนสวยแบบนางงาม ที่หุ่นสวย หน้าใส ท่าทางสง่า พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวานเป็นแม่บ้านแม่เรือน....ทุกอย่างที่ผมพูดมานั่นตรงข้ามหมดเลยครับ

เธอชื่อ นักกี้ครับ เธอบอกให้ผมเรียกสั้นๆว่า กี้ และเธอจะเรียกผมว่า จัก เพราะชื่อฝรั่งไป ไม่เหมาะกับหน้าไทยแบบผม ดูปากเธอสิ กัดกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอและนี่คงเป็นเสน่ห์ของเธออย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมตกลงแต่งงานกับเธอทันทีหลังจากวันดูตัว

ทั้งที่ในวันนั้น......

“โธ่ลุง อย่ามาแต่งกะหนูเล้ย ลุงดูนะ หน้าตาก็ไม่สวย แค่น่ารักปานกลาง หุ่นก็ไม่บอบบาง ติดจะล่ำซำไขมัน นี่ๆเห็นอะไรไหม ฟันเกตรงมุมปากเนี่ย เขี้ยวซ้อนแหลมๆเนี่ย ผู้หญิงฟันซ้อนกัน โหหหห ไม่น่ายุ่งหรอก หนูทำกับข้าวก็ไม่เป็น ไม้กวาดไม่เคยจับ ไม้ถูพื้นไม่คิดแตะ ซักผ้าก็ส่งร้าน

เอางี้ หนูให้ลุง 20 คนเลย เนี่ย รายชื่อพร้อมเบอร์โทร กะที่อยู่ ลุงเลือกเลยจะเอาคนไหน เดี๋ยวติดต่อให้ ขอบอกโสดๆ สวยๆ ทั้งนั้น เพื่อนหนูเอง คุยกันได้ นี่ๆๆ เอาไปเลย”

ผมมองเธอยิ้มๆ และคงเผลอมองนานไปหน่อย

“อ้าวลุง ไม่ขำนะ น้อยไปเหรอ อืมมม ขอคิดแป๊บนะ เอางี้ ให้อีก 20 เลย แต่คราวนี้เป็นรุ่นน้องนะ ตอนนี้อยู่ปี 2 กะ 3 รับรองโสด สด สวย แต่ไม่รู้จะซิงรึเปล่า ขอเวลาวันนึงหาที่อยู่กะเบอร์ให้”

ครับ เธอพยายามติดสินบน ไม่ให้ผมแต่งงานกับเธอ ด้วยรายชื่อ ที่อยู่พร้อมเบอร์โทรสาว ก๊ากๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นโว้ย นี่ถ้าผมบ้าจี้รับข้อเสนอนี้ไป ไม่กลายเป็นพวกค้าหญิงส่งออกรึ จะบ้าตาย แม่สื่อเขาคิดอะไรของเค้านะถึงมาจับคู่ผมกับเธอ

หลังจากปล่อยให้เธอพล่ามข้อเสนอ สินบนไปจนเหนื่อยเอง โดยมีผมนั่งยิ้มมองเธออย่างเดียว ยังไม่พูดสักคำ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนคนขายประกันจริงๆ

พอพูดจนเหนื่อย เธอก็ยกกาแฟเย็นดูดรวดเดียวหมดแก้ว เอาหลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ ติดจะเรอหน่อยๆ นะ ถ้าได้ยินไม่ผิด


“ตกลงไม่แต่งกะหนูนะ จะได้บอกมัมกะแด้ดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ส่วนเรื่องรายชื่อเอาไปหมดเลยละกัน ทั้ง 40 เนี่ยแหละ แล้วถ้าสนคนไหน โทรบอกหนูที่เบอร์นี้นะ ฮี่ๆ “ เธอหยิบปากกาเขียนหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ลงกระดาษโน้ต

“อ่ะ โทรได้ตั้งแต่ สิบโมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม”

มีเวลาเปิดปิดด้วยแฮะ

“ไปนะค๊า หวัดดีค่า หวังว่าคงไม่เจอกันอีก ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหน แล้วนี่ค่ากาแฟของหนู อีก 5 บาท ไม่ต้องทอน ติ๊บให้”

ครับ สินบนสำหรับการไม่แต่งกับเธอคือ รายชื่อพร้อมที่อยู่ เบอร์ กับเงินอีก 5 บาท อืม คุณคิดว่าผมควรรับข้อเสนอหล่อนไหมเนี่ย

วันต่อมา ไม่รู้ผมคิดยังไงถึงกดเบอร์โทรเธอ อารายยย ก็เบอร์มันติดมากับโทรศัพท์เท่านั้นเอง คิดมากๆ

“สวัสดีครับ นักกี้”

“อืมมมมมมมม”

ขณะนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง แต่เสียงเธอดูเหมือนสะลึมสะลือ

“ว่างไหมครับ คุยกันหน่อยสิ”

“ไม่ว่าง คนจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ ฝากเบอร์กะชื่อไว้ โทรกลับไม่โทรอีกเรื่อง แค่นี้นะ”

เฮ้ย นี่มันบ่ายสองนะขอรับ ว่าที่เจ้าสาวของผม เธอยังไม่ตื่นนอน ว่าจะบอกข่าวดีซะหน่อย ว่า....

........ ที่บ้านฝ่ายหญิง......
“ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ขา ในที่สุด ในที่สุด”

“ใช่ คุณน้องครับ ในที่สุด ในที่สุด”

“ยายหนูก็ขายออก ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ”

เสียงพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพูด น่าจะเป็นตะโกนขึ้นพร้อมกัน

“คุณนายขา เป็นอะไรไปคะ” เสียงสาวใช้รีบวิ่งออกมา

“นี่ จุ๋ม แจ๋ว แหวว เธอรู้ไหม ยายหนูจะได้แต่งงานแล้วนะ ที่ไปดูตัววันก่อนน่ะ ฝ่ายชายเขาตกลงแหละ นี่ๆ เธอต้องแนะนำชั้นนะ ว่าพระวัดไหนดูฤกษ์เก่ง จะได้ไปผูกดวงกัน อะฮู้ยยย ตื่นเต้นๆ”

สาวใช้ทั้งสามคนมองตากันด้วยความยินดีไม่แพ้คุณนาย ในที่สุด คุณหนูบ้านเราก็ขายออก เย้ๆ

ครับ ว่าที่เจ้าสาวของผมเป็นลูกสาวคนเดียว ทางบ้านของเธอกับผม รู้จักเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและเพื่อนกันสมัยรุ่นพ่อและแม่

ก่อนที่ผมจะรู้ว่ามีการดูตัว พ่อบอกให้ผมไปพบลูกค้า แต่พอเธอเดินมาหย่อนก้นลงยังไม่ทันร้อน ก็ร่ายมาขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมโดนเข้าแล้ว ทั้งที่พยายามบอกปฏิเสธเท่าไหร่ ก็ผมมันสามสิบแล้วนี่ครับ แต่ขอบอกยังโสดและหน้าตาดีด้วยนะเออ

เรื่องตลกที่สุดคือ วันหมั้น

ก็วันหลังจากที่เธออาละวาดบ้านพัง หนีออกจากบ้านไปได้เกือบวัน เพราะมีเงินติดตัว 50 บาท และนอน นอน นอน รวมทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน

ทางบ้านของผมและเธอช่วยกันหาฤกษ์ที่ดีและสะดวก เพราะ1. หมอดูบอกว่า ถ้าผมและเธอไม่แต่งงานปีนี้ จะไม่ได้แต่งอีกเลยตลอดชีวิต 2. แม่อยากอุ้มหลาน 3. แม่อยากได้ลูกสะใภ้ 4. แม่อยากให้ผมแต่งงาน 5. ญาติๆอยากให้ผมเลิกทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้ จีบดะไม่เว้นลูกพี่ลูกน้อง แล้วหักอกแบบไม่ไว้หน้า สรุป มีแต่คนรอบข้างอยากให้ทำ แต่ผมไม่ใช่พวกตามใจแม่หรอกนะ ตอนนั้นผมแค่นึกสนุกอยากแกล้งเธอเท่านั้น


“มัมขา ไม่แต่งไม่ได้เหยอ หนูยังเด็กอยู่เลยนะค๊า เรียนก็ยังไม่จบ” เธออิดออด

“ก็ยังไม่แต่งนี่คะ แค่หมั้น” คุณแม่พูดขึ้น

“งั้นแสดงว่าไม่แต่งก็ได้ หมั้นได้ก็ถอนได้ ใช่ไหมคะ” เธอพูดดวงตาเป็นประกาย

“ไม่ได้ค่ะ ถ้าหนูไม่แต่ง บ้านเรา ฮือ บ้านเราต้อง ฮือ ต้องล้มละลายนะคะ” รู้สึกมัมจะตีบทแตกไปหน่อย มัมรีบเช็ดน้ำตา เพราะพี่แจ๋วเข้ามาเรียกแล้ว

“คุณนายขา ข้างล่างพร้อมแล้วค่ะ”

"ไม่ต้องกลัวยายหนู ไปขึ้นเขียง เอ๊ย ลงไปข้างล่างกันลูก"


วันนั้นผมจำได้ว่าตาไม่ได้ฝาด แต่เหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน เธอดูสง่างาม สวยในชุดไทยสีครีม คุณแม่เธอจูงมือลงบันไดมา และส่งมือเธอให้ผม พาเธอไปนั่ง ตรงพิธี

คำแรกที่เธอทักทายผมคือ

“มองไรลุง ไม่เคยเห็นนางเอกลิเกรึไง”

แค่นั้นล่ะครับ ทำผมหัวเราะพรืดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ อาการสำรวมหายหม้ด คนอุตส่าห์เก๊ก...

หลังจากผู้ใหญ่ทำพิธีกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องสวมแหวนหมั้นให้เธอ แหวนเพชรน้ำงามถูกเลื่อนลงไปอยู่ในนิ้วนางข้างขวาของเธอ แต่...ก่อนที่มันจะถูกสวมนั้นสิ

“ลุง เปลี่ยนวงได้ม่ะ กลัวทำหายอ่ะ นะลุงนะ หายมาแล้วยุ่งนา” เธอกระซิบกับผมเบา

ผมอมยิ้ม กับท่าทางของเธอ แล้วจับมือเธอมาสวมอย่างสบาย ท่ามกลางการดึงมือกลับเป็นระยะ
เสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปกัน ซึ่ง

“เดี๋ยวๆ ช่างภาพ ไม่เอารูปปึกๆนะ เอ้า ทุกคนคะ ไม่ต้องยืดตัวตรง นั่งเกร็งค่ะ เอาแบบสบายๆ รูปจะได้ออกมาสวยๆ นี่ วัดแสงรึยัง ใช้ได้ล่ะนะ”

แล้วก็รีบวิ่งกลับมานั่ง ฉีกยิ้มแก้มป่อง ดูเค้าทำสิ ผมเพิ่งมารู้หลังแต่งงานเดือนแรกว่า เธอเป็นนักถ่ายรูปสมัครเล่น มิน่า...

ระหว่างงานฉลองเธอเดินมาถามผมว่าจะหมั้นกันสัก 3 ปีได้ไหม ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และถามว่าทำไม
เธอบอกว่า ปีแรกรับปริญญา ปีที่สองขอเวลาค้นหาตัวเอง ปีที่สามชีวิตคงเข้าร่องเข้ารอยขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอ แล้วชู สามนิ้ว เธอยิ้มแก้มป่อง แทบจะกระโดดกอดผมทีเดียว ก่อนที่จะพูดว่า “สามเดือน” นั่นล่ะครับ แม่คุณโวยทันที

“จะบ้าเหรอ สามเดือน ใครมันจะทำอะไรทัน นี่ลุงจะรีบไปไหน ห๊า อยากแต่งงานขนาดนี้ทำไมไม่แต่งไปซะนานแล้ว อายุก็ปูนนี้ อยู่บนคานทำไมนานนัก ห๊า!!! ก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เข้าใจไหม”

“ก็เดือนหน้าจะรับปริญญาไม่ใช่เหรอครับ นักกี้”

เธอทำเสียง จิปาก

“ก็ตอนนี้มันยังเรียนไม่จบ นี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะบอกให้”

ฮ่าๆ ผู้เยาว์สิ อายุ 21 น่ะ ผู้เยาว์ หรือ ผู้สาวคร้าบบบบบ ขำกับมุขแกน ที่ไหลไปได้

“แล้วที่ผมยังไม่แต่ง ก็คงเพราะรอมาเจอนักกี้มั้งครับ เจอปุ๊บ ถูกใจ แต่งปั๊บไงครับ”

“เฮ่อ ตาแก่โรคจิต หัวงู เอาเปรียบผู้หญิง บังคับขืนใจ กระทำชำเราหน้าด้านๆ......”

อูยๆ มาเป็นชุด นี่ดีนะ ยืนคุยกันที่สวน ไม่ค่อยมีคน ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็คำพูดแต่ละคำที่เธอใช้สิ อย่างกับผมไปทำอะไรร้ายแรงงั้นล่ะ ฝ่ายเธอเหรอ ทำหน้าหักไปตลอดงานเชียว

จากนั้นผมชวนเธอเข้าบ้านกัน เพราะแดดเริ่มร้อนแล้ว และคงเหมือนโรคติดต่อที่เธอเห็นผมหัวเราะ เลยหัวเราะบ้าง

“ขำไรนักหนา คนแก่เส้นตื้น”

ฮ่าๆ นั่น ยัยเด็กเส้นตื้นกว่า หัวเราะตาม

หลังจากวันหมั้นยังไม่ถึงสัปดาห์ เหตุการณ์เป็นตามที่ผมคาดไว้ นักกี้ใช้ชีวิตโสดจนคุ้มจริงๆ ครับ เธอนอน นอน และนอน โทรไปทีไร นอนทุ้กที แต่เพิ่งมารู้จากว่าที่แม่ว่า ไอ้ที่นอนน่ะ นอนนอกบ้านนะ

“พ่อแจ็คช่วยแม่ด้วยเถอะ ยายหนูไปเชียงรายมาสามวันแล้วยังไม่กลับเลย แม่เป็นห่วง”

แม่เธอพูดเสียงเศร้าๆ ตีบทแตกตามเคย

“ตามไปดูน้องให้แม่หน่อยนะลูก”

ไอ้กระผมก็จำใจต้องตามไปดูแลคู่หมั้น...ด้วยความเต็มใจ เยี่ยม!! ได้โอกาสโดดงาน หนีเที่ยว หลังจากสั่งงานเลขา และเคลียร์งานแล้ว คืนนั้นผมโทรหาเธอ ถามว่าอยู่ไหน และไปนั่งเครื่องหาถึงที่ พอไปถึง แม่คนนั้นอึ้งครับ ตกใจเหมือนเห็นผีกระหัง

“เฮ่ย ลุง มาทำไม เที่ยวเหรอ”

“มาตามเรากลับบ้านเราไง”

“ไม่!!! ยังไม่ถึงเวลา นี่กี้จองตั๋วไปเมืองกาญฯ ต่อแล้ว จะไปหลงป่า บอกมัมกะแด้ดด้วย ยังไงก็ไม่กลับ ”

“น่าสนใจ ไปด้วยสิ”

เธอมองหน้าผมแบบสยองๆ ท่าทางเห็นตัวประหลาด แล้วส่ายหน้า หยิกแก้ม แคะขี้หูเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปด้วย”

“โฮ่ เพิงเคยเห็นคนแก่กระสันอยากเที่ยว เป็นบุญตาจริงจริ๊ง”

ผมขยี้หัวเธอด้วยความหมั่นไส้ ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก…. อารายๆๆๆ เค้าเป็นคู่หมั้นกันแล้ว อย่ามาแซวกันน่าคนอ่าน….


สองสัปดาห์ต่อจากนั้น เราหมายถึงผมกับเธอ เราตะลอนเที่ยวทั่วไทยจริงๆ ทั้งขึ้นเขา ลงแพ ล่องแก่ง ลงทะเล ดำน้ำ นอนฟังเสียงคลื่น

ก็เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า เธอเป็นนักเที่ยวตัวยงแต่ติดแนวเก็บกด เหมือนคนไม่ได้เที่ยวมานาน พอมีโอกาส เป็นตะลอนจนลืมเหนื่อย และที่ติดตัวเธอตลอดคือ กล้องถ่ายรูปรุ่นเก่า ที่เป็นแบบกึ่ง auto เจออะไร พี่เป็นถ่ายดะ ดูหน้าเธอตอนได้ถือกล้องแล้ว เหมือนเด็กได้อมยิ้ม น่ามอง น่ารักจริงๆ

“เออ อย่างงั้นแหละจ้า นิ่งๆ ท่านั้นเลย (แชะ) ขอบใจมากนะ ลุง ยืมตังค์ 20 จะเอาให้เด็ก ”

“ของตัวเองอ่ะ”

“ขี้เกียจล้วงอยู่ในถุง เอาของลุงนั่นล่ะ อย่าหนืดน่า เดี๋ยวกินข้าวเอาให้ เร็วดิ๊ เด็กรอ เห็นไหม”

คุณครับ นี่เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์รึเปล่าครับ ....

และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง

“เฮียจัก ไม่แต่งไม่ได้เหรอ กี้ขอใช้ชีวิตเหมือนคนกะเค้าอีกหน่อยน้า น้าเฮียจักคนดี๊คนดี คนน่าร้าก คนหล่อที่สู้ดดดเลย”

เริ่มเปลี่ยนจากลุงเป็นเฮีย และเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ แหม ผมชอบจังเวลาเธอเรียกชื่อตัวเองเนี่ย ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู

“คิดมากน่า กี้ ถึงจะแต่งงานแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนี่ครับ กี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมล่ะ”

“จริงดิ!!!!!!! ไม่ต้องทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า เปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูที่นอน”

“บ้านพี่ มีคนทำงานพวกนี้ครับ”

“เจ๋ง!!!!! งั้นก็นอนกลางวันได้ ออกไปถ่ายรูปได้ ดูหนังได้ ไปค่ายอาสาได้”

ผมผงกหัว กับกิจกรรมทั้งหลาย

“แต่ต้องมีพี่ไปด้วย” เธอหน้าหงิกทันที

“เรื่องไรปล่อยให้เราไปสนุกคนเดียว”

ผมพูดยิ้ม แล้วขยี้ผมเธอด้วยความมันเขี้ยว เธอเลยแล่บลิ้น แบร่

วันแต่งงานของเรา เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม นักกี้แปลงร่างอีกแล้วครับ คราวนี้ยิ่งกว่าวันหมั้นอีก เหมือนไม่ใช่นักกี้ที่ผมรู้จัก ใครเอายายนักกี้จอมยุ่ง จอมซ่าส์ จอมซุ่มซ่าม ยัยเอ๋อของผมไปไหน แล้วผู้หญิงสวย บาดตาบาดใจ ที่ยืนตรงหน้าผมนี่ใคร

“คุณแจ็ค ถึงกับตะลึงเลยเหรอค๊า เจ๊แต่งเองก็ยังทึ่งกับฝีมือตัวเองเลยค๊า แหมน้องกี้น่าจะแต่งหน้าบ่อยๆนะคะเนี่ย”

ช่างแต่งหน้าเพื่อนเธอทักกับอาการตะลึงของผม และถ้ามองไม่ผิด ผมเห็นเธออายผมนะ อิอิ ดูสิ หน้าแดงแข่งกะแก้มเชียว

ช่วงเช้าเราทำพิธีแบบไทย มีการสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง และตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรม เจ้าสาวของผมวันนี้เธอสวยมากจริงๆครับ ผมไม่เคยเห็นนักกี้ตอนแต่งหน้า แต่งตัวแบบเจ้าหญิงมาก่อน

รู้ไหมครับ ประโยคแรกที่เธอทักผมในงานตอนเช้าคืออะไร

“มองอยู่ได้เฮียจัก ไม่เคยดูละครช่อง 7 ตอนเช้าวันเสาร์รึไง แน่ะ ยังมองอีก วุ้ยยย”

ฮ่าๆ ประโยคเด็ดละลายอาการขรึมของผมได้เช่นเคย

และประโยคแรกในตอนเย็น ที่เจ้าหญิงชุดขาวทักผมคือ

“โรคจิต!! ทำยังกะไม่เคยอ่านซินเดอเรลล่า”

คนพูดหน้ามุ่ย แล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ถลกกระโปรงยาวเดินเข้างาน คงจะดีถ้าแม่คุณไม่สะดุดขาเก้าอี้ หรือขาโต๊ะ นั่นๆ ว่ายังทันขาดคำ ล้มโต๊ะไปแล้วหนึ่ง ...

ในงานนี้ ทั้งเพื่อนของผมและเธอต่างทำหน้าไม่เชื่อ เมื่อได้รับการ์ด แม้จะมาอยู่ในงานแล้ว ก็ยังทำหน้าเอ๋อกันไม่หาย ไอ้ที เพื่อนสนิทผม คบกันมาตั้งแต่เรียนมอปลาย มันยังว่า

“ไอ้แจ็ค เอาจริงเหรอวะ ข้าว่า รายนี้มันไม่ใช่สเป๊คเอ็งนา”

“นั่นสิ พี่แจ็คขา ถ้าถูกพ่อแม่บังคับ หรือขู่จะยึดเงิน บอกแนนนี่ได้นะคะ แนนนี่ให้ยืมก่อนก็ได้”

“แจ็ค นี่คุณเสียสติรึเปล่า คิดไงเอาเด็กกะโปโลแบบนี้มาเป็นเมีย ต้องสวย เริ่ด ไฮโซ แบบชั้นสิ คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

และอีกสารพัดประโยคที่ผมเจอในงาน ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ว่า ผมไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับนะ แต่งงานกับนักกี้ด้วยความเต็มใจ ตอนแรกก็เพราะแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น และว่าจะถอนหมั้นซะในช่วงเวลาที่หมั้นกันไว้

แต่เมื่อได้รู้จักเธอแล้ว ผมกลับเป็นฝ่ายถอนตัวจากเธอไม่ได้

ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะ เราคบกันเหมือนพี่น้อง เหมือนเพื่อนน่ะ

ไอ้ที น้องแนนนี่ และ แพทตี้ยังทำหน้าไม่เชื่อ กับสิ่งที่ได้ยินนัก สักพักที่ผมรู้สึกว่า ที่ตรงข้างกายจะว่างนานไปแล้ว จึงขอตัวไปตามหาเจ้าสาว

“ดูมันเห่อเมีย วู้ๆ ไอ้ปลาไหลโดนใบข่อยดักโว้ย วู้วววว” ไอ้ทีแซวตามหลัง ผมไม่สนใจกับคำพูดของเพื่อน เป้าหมายของผมอยู่นั่นไง

อ้อ เธออยู่ที่โต๊ะเพื่อนเธอ โต๊ะที่เสียงดังที่สุดในงาน
เมื่อผมเดินเข้าไปจึงได้ยินเสียง โฮ่ ฮิ้ว มาแต่ไกล ทั้งโต๊ะมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย และสาวๆในโต๊ะนั้น สวย สวยมากๆ ขอย้ำ สวยมากๆ

นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไม่รับข้อเสนอของนักกี้ในวันแรก...

“เฮียจัก มาพอดี นี่ ขอแนะนำเพื่อน และน้องให้รู้จัก เริ่มจากทางขวาคือ แอน อุ๋ม อ้อน อุ้ม ไก่ โชค แวว แมน แล้วทุกคน นี่เฮียจัก”

“ดีคร้าบบบบ ดีค่ะ”

ทุกคนยกมือไหว้ผมทันที จะไหว้ทำไมฟร่ะ ไม่ได้แก่ไรขนาดนั้นสักหน่อย นักกี้หลิ่วตามองผมแซวๆ ว่า แก่แล้วนะ ลุงน่ะ ผมทักทายทุกคนสักพักก็พาเจ้าสาวเดินไปโต๊ะอื่น ระหว่างทาง เธอหัวเราะและมองผมอย่างสมน้ำหน้า


“เห็นมั้ยล่า กี้เสนอไปแล้วนา เฮียจักไม่รับเอง เสียดายล่ะสิ๊”

“ก้อ นิดหน่อยนะตามประสาผู้ชาย”

“ฮ่า สมน้ำหน้า นี่ถ้าตกลงนะ ป่านนี้สบายไปแล้ว ไม่ต้องมาตกระกำอะไรกับกี้หร้อก”

โป๊ก ผมเขกหัวเธอไปทีด้วยความหมั่นไส้ ใครบอกว่าตกระกำลำบาก ผมได้เจอกับสิ่งที่คนอื่นจะไม่ได้ตะหาก

และคืนวันส่งตัวนั่นเอง หลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าห้องหอ ที่เรือนหอ บ้านที่ปลูกแยกมาจากบ้านผม ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ไกลนัก

“แด้ดขา มัมขา อย่าทิ้งกี้ไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนอ่ะ”

หนวดปลาหมึกที่ชื่อนักกี้เกาะพ่อแม่ไว้แน่น

“ยายหนูไม่ต้องกลัวหรอกลูก อย่างที่แม่สอนไงคะ โอเคนะ นะ” แม่ทำท่าโอเค

“นั่นสิหนูกี้ พี่เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงหนูหรอกจ๊ะ ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ แม่จะได้อุ้มหลานสักที ทำเพื่อแม่นะลูกนะ”

แม่ผมที่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองพยายามปลอบใจ

“ผมว่า เราเลื่อนวันส่งตัวไปก่อนไม่ดีเหรอคุณน้อง ลูกหน้าซีดๆ สงสัยจะไม่สบายนะ” พ่อเธอเริ่มออกอาการ

“เอ๊ะ คุณนี่ จะมาหวงลูกสาวอะไรนาทีสุดท้าย ไปๆ ออกไปกันเถอะค่ะ คุณพี่ เชิญค่ะ ให้บ่าวสาวได้พักผ่อนกัน”

"แด้ด มัม เดี๋ยวอย่าเพิ่งปายยยย อย่าทิ้งหนูไว้น๊าาาาาาาาาาา”

ปัง!!!! ประตูปิดลง

เธอหันกลับมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว

ฮะ ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อย แล้วเจ้าลูกหมาจอมซ่าส์ หายไปแล้วครับ แม่คุณ ดูแววตาสิ เหมือนผมเป็นตัวประหลาดน่ากลัวซะเหลือเกิน

เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นเอาผ้าเช็ดตัวให้ผม

“เฮียจักอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวกี้จะเล่นคอมก่อน”

“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ”

แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป อันที่จริงผมก็ไม่ได้หื่นกระหายใคร่ได้เธอนักหรอกครับ ผมยังไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพวกข่มขืนภรรยาตัวเอง ไม่ชอบบังคับใคร ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สมยอม มือระดับนี้ ไม่อยากทำร้ายใคร ถ้าจะเอา คงเอาไปนานแล้ว หุหุหุ

และตามที่ผมคิดไว้

ทันทีที่ผมก้าวออกจากห้องน้ำปุ๊บ เธอรีบวิ่งสวนเข้าไปปั๊บ หอบสารพัดเสื้อผ้า นี่เธอจะซักผ้าตอนกลางคืนรึไง

เวลาผ่านไป ....นาน นาน นาน และนาน

ผมเช็คเมล์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งเล่นก็แล้ว รอแล้วรออีก เธอก็ยังไม่ออกมา เลยปิดไฟข้างผม เดินไปบอกเธอหน้าประตูห้องน้ำว่า

“พี่หลับก่อนนะครับ อย่านอนในนั้นเลย ออกมานอนด้วยกันบนที่นอนนุ่มๆดีกว่า ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”

...ได้ผล ...

เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา ด้วยชุดที่ .... เอ่อ ผมว่ามันไม่ใช่ฤดูหนาวนะ แต่ดูเสื้อผ้าเธอใส่สิ เหลือรับประทานจริงๆ

“ฮ่าๆ กี้หนาวเหรอ ดู ใส่เข้าไปได้ไง กลัวพี่เหรอครับ”

ลูกแมวน้อยผงกหัวรับ แววตาระแวงผมสุดขีด

เฮ้อ หลังจากเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำสระผมแล้ว เธอก็กลับเป็นยัยนักกี้ ลูกแมวน้อยจอมกวน ที่ตอนนี้ซ่าส์ไม่ออกไปแล้ว

เธอเดินมายืนชิดขอบเตียง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแล้ว

“เฮียจักต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรกี้”

“หืม! อืม ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้ ถ้ากี้ไม่ทำอะไรพี่”

“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง หาว่ากี้จะหน้ามืดไปข่มขืนเฮียรึไง พูดงี้มาต่อยกันเลยมะ”

แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอแล้ววันนี้

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พี่ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ นอนล่ะ”

แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหันหลังให้เธอ
เธอรีๆรอๆ สักพักใหญ่ คงดูว่าผมหลับจริงไหม เมื่อไม่รู้สึกที่นอนข้างๆมันหยุบสักทีผมเลยแกล้งกรน

ครับ ผม(แกล้ง)หลับไปสักพักใหญ่ ก็ลุกมาดูว่าเธอนอนตรงไหน เธอไม่นอนเตียงกับผมครับ เธอนอนบนพื้นข้างเตียง เอาหมอนและหมอนข้างไปเรียบร้อย ......ทุ่มทุนสร้างจริงๆ

เฮ้อ ยัยลูกแมวน้อยจอมซ่าส์เอ๊ย ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู อ่ะ แค่เอ็นดูหรอกนะ ผมไม่ได้รักเธอหรอก แค่สงสารเลยอุ้มเธอขึ้นนอนบนเตียงด้วยกันแค่นั้นเอง

เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่าง ผมยังคงนอนตะแคง หันข้างให้คนอีกฝากของเตียง

แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาดิ้นขลุกๆ อยู่ที่หลัง ผมพลิกตัวกลับมาดู นักกี้นั่นเอง เธอนอนกอดหมอนข้าง อมยิ้มเหมือนเด็ก และเอาหัวมาซุกหลังผมเหมือนหาไออุ่น

ผมขยับตัวหามุมเล็กน้อย และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกตัว จึงเริ่มขยับ เปลี่ยนท่านอน ดูเธอสิ อมยิ้มน่ารักเชียว และนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มลง จูบอรุณสวัสดิ์เธอที่หน้าผาก


เธออมยิ้มแต่ไม่ยังลืมตา คงไม่รู้ตัวล่ะสิ ฝันถึงอะไรอยู่น๊า เธอเริ่มดิ้นอีกครั้งเอาหัวซุกกับหน้าอกผม เหมือนเจ้าตัวน้อยที่ดิ้นหาไออุ่นจากอกแม่ของมัน ผมกอดเธอไว้หลวม ลอบมองหน้าเธอตอนหลับ

เฮ้อ นี่เราไปสัญญาอะไรบ้าๆ กับเด็กฟร่ะเนี่ยยยย

ขันตินายแจ็ค ขันติ คิดได้แค่นั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน แต่ก่อนลุก ผมใช้เวลาทำใจอีกนิด ก่อนจะปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมแขน

ครับ ผมแต่งงานมา 3 เดือนแล้วครับ ผมใช้ชีวิตเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแต่ เวลาว่างของผมมักมีภาพใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาให้คิดถึงเสมอ นักกี้และผมเป็นเหมือนคู่แฝด เวลาผมไปฟิตเนส หรือไปเที่ยวไหน เรามักไปด้วยกันเสมอ

และความรู้สึกของผม ที่มีต่อเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้น และรู้สึกคิดถึง... ผมไม่แน่ใจนักว่าควรใช้คำนี้ไหม แค่รู้สึกข้างกายมันโล่ง เวลาไม่มีเธออยู่ด้วย ผมมักคิดถึงผมหอมๆ ที่ชอบแอบมาซุกกับอกผม คิดถึงเจ้าตัวนุ่มนิ่มที่ได้แอบกอดตอนเช้าก่อนไปทำงาน คิดถึงรอยยิ้มตอนหลับที่น่ารักจนผมจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งผมผิดสัญญากับเธอเล่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ คิดได้แค่นั้นก็.... เห่อๆๆๆๆ

“ท่านประธานคะ โครงการนี้ท่านเห็นว่าไงบ้างคะ”

“ท่านคะ ท่าน”

“หา อะไรนะ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกรอบสิ”

ก็แบบนี้ล่ะครับ เธอทำให้ผมเป็นมาตั้งแต่แต่งงาน ทั้งที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่ผมโดนหักอกและเริ่มสวมวิญญาณเพลย์บอย นักกี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงใหม่

มันน่าแปลกมากสำหรับคนที่เกลียดกลัวการผูกมัด กลัวการผูกพันอย่างผม ก่อนที่ผมจะเจอเธอ ผมมีสาวๆแก้เหงาเสมอ แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา ชีวิตเสเพลเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย เพราะรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แต่ผมกลับไม่นักใจเลยที่ต้องสวมมันไว้ ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย

“เฮียจัก กี้ไม่ใส่ได้ม่ะ กลัวหายอ่ะ อันตรายด้วย เกิดโดนแท็กซี่ปล้นอ่ะ น่ากลัวนา ใส่ไปเดี๋ยวทองหมอง เพชรหลุดอ่า เสียดายของแย่ กี้ถอดเก็บไว้นะ นะ”

“ไม่ได้!!!!”

ผมตอบออกไปเสียงดังทันที ทำไม แค่ใส่แหวนแต่งงาน กลัวหนุ่มไหนมันจะรู้ ฮึ ยัยนักกี้

“กี้แต่งงานแล้วนะ กลัวหนุ่มไหนรู้เหรอ ว่าเราไม่โสดแล้วน่ะ ทีพี่ยังใส่ได้เลย พี่สิควรจะรำคาญมัน ไม่ใช่เรา”

“เฮ่ออออออออ ตูละเบื่อ ตาแก่ขี้หึงจริงๆ“

“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะกี้ เป็นผู้ใหญ่สักทีสิ”

ผมแกล้งพูดน้ำเสียงจริงจัง กลบอาการเขินเต็มๆ เรื่องอะไรมาว่าเราหึง เหอะ อย่างกะตัวเองจะมีหนุ่มไหนมาสน นอกจากผมงั้นล่ะ เฮอะๆ เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ได้หึง...

“โอ๋ๆๆๆๆ เฮียจัก อย่างอนสิ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปเล่นเกมตู้กัน กี้เพิ่งอ่านหนังสือเกมส์มา มีเกมส์ออกใหม่ ท่าทางหนุกมากเลย ไปด้วยกันน๊าาาาา”

“ไม่ พี่ไม่ใช่เด็กๆ จะให้ไปเล่นเกมตู้น่ะ”

....

“เฮียจัก เล่นดีดีดิ ยิงให้ถูกหน่อย ฝีมือแย่ชะมัด เห็นม่ะพากันตายเลย”
“กี้นั่นแหละ ยิงมั่ว มายิงพี่ทำไม เอาใหม่เลย มา มา คราวนี้ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้”

...

ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับตอนอยู่กับเธอ ช่วงเวลาเด็กที่ผมมักไม่มีเหมือนคนทั่วไป ผมต้องอ่านหนังสือ มุ่งมั่นกับการเรียน ให้ได้คะแนนดีเยี่ยม และศึกษางานของที่บ้านไปพร้อมกัน จนทำให้ผมก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง

จนผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอนี่ล่ะ ถึงทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว ผมไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สิ่งที่ชีวิตผมขาดไปคือ ความสุข ความสดใส นั่นเอง ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะเราแค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง คบกันเหมือนเพื่อนน่ะ

คืนวันอาทิตย์ เพื่อนชวนผมออกมาเหล่สาวตามเคย ทั้งที่ผมบอกปัดมันไปแล้ว อยากอยู่บ้าน นอนดูหนังกะนักกี้บนโซฟา หน้าทีวี ผมชอบแอบดูเธอตอนกำลังลุ้นกับหนัง และบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น เธอจะมาอาศัยไหล่ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าครับ นี่ละที่ชอบ

ผมพยายามอ้าง บอกปัดไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายมันใช้ไม้เด็ด หาว่าผมกลัวเมีย ชะ คนอย่างนายแจ็ค ไม่มีคำว่า "กลัว" ที่ไหนบอกมา ผมขึ้นไปบอกนักกี้ในห้องอ่านหนังสือว่าจะออกไปข้างนอก เธอยิ้มให้ โบกมือบ้ายบาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว นี่หนังสือนั่นมีดีอะไรนัก ถึงละสายตามามองกันไม่ได้เนี่ย ห๊ะ

“เฮ้ยแจ็ค ทำไมเมียเอ็งดียังงี้ว่ะ ออกเที่ยวกลางคืนยั่งงี้ เขาไม่ว่าอะไรเอ็งเหรอ”

ก็ใครมันลากตูออกมาล่ะว้า

“ไม่หนิ”

“งั้นเขาก็ไม่แคร์เอ็งเท่าไหร่น่ะสิ ดีว่ะ แฟนข้านะ บอกจะออกเที่ยว ทำหน้าหงิกยังกะอะไรดี”

“ไม่รู้เขา คงคิดว่าเรานัดกันประจำมั้ง เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรื่องอย่างงี้เท่าไหร่ว่ะ”

“เฮ้ย งั้นเอ็งไปแต่งงานกะเขาทำไมว่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่สนกันหยังงี้อ่ะ ข้าว่าสงสารเด็กมันนา”

“เด็กไร เรียนจบแล้ว” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“เอ่อนั่นแหละ ถ้าเทียบกับเรา เขาก็ยังเด็ก เอ็งคิดมั่งเปล่าว่าไปตัดอนาคตเด็กมัน เขาอาจอยากไปเรียนต่อก็ได้นะเว้ย” ไอ้ทีเริ่มกรึ่ม จึงพูดออกมาตรงๆ

“ข้าว่าไม่นะ เห็นอยู่เฉยๆไปวันๆ คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง”

ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ทั้งที่ตัวผมก็มักทบทวนกับตัวเองบ่อยๆ นี่เราทำอะไรอยู่ ผมเอาแต่ใจตัวเองเกินไปรึเปล่าที่ดึงเธอไว้ด้วยกันแบบนี้ ผมแย่งอนาคต กักขังความฝันของเธอไว้ไหม เธอเพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เธออาจต้องการตามหาฝัน อย่างที่เธอขอเวลาผมไว้ 3 ปี นั้น

เฮ้อ นี่เราทำบ้าไรอยู่ฟร่ะ.... คืนนั้นผมนั่งกรอกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้ที และมันก็นั่งเหล่สาวแทนผมจนดึก

“เฮ้ย บ้านนี้มีใครอยู่มั่ง มาช่วยกันหน่อยโว้ย มาลากไอ้แจ๊คช่วยหน่อย”

“ขา มาแล้วๆค่า”

“ยังไม่นอนเหรอครับ นักกี้ รอหมอนี่ล่ะสิ โทษนะ คืนนี้ดึกไปหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก นายนี่มันไม่ยอมกลับน่ะ ผมเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนมัน แต่วางใจได้ ไม่มีเรื่องผู้หญิง มีแต่เหล้าเพียวๆ จ๊ะ” ... จริงอ๊ะ

“เอิ้ก เอาเหล้ามาอีกกก น้องเติมๆ”

“เติมไรเล่า ถึงบ้านแล้ว ไอ่บ้า (ไม่ต้องมาแกล้งเมาอ้อนเมียเลยนะเอ็ง) ไปนะ นักกี้”

“ขอบคุณพี่ทีค่ะ ทิ้งไว้ตรงโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกี้ให้เด็กมาลากคอไปเองค่ะ”

ชะอุ๊ย ลากคอเลยรึ นายทีนึกในใจ

“เฮียจัก เดินดีดีสิ ฮู้ย เมาแล้วยังมาเดือดร้อนชาวบ้านอีก สำนึกไหมเนี่ย” นักกี้พยายามลากคอผมขึ้นข้างบน

“อืมมมมม นักกี้ เด็กน้อยยยยยย ลูกแมวน้อยของพี่”

มือผมเริ่มเหมือนปลาหมึก พอถึงเตียงเธอโยนผมลง

“เมาหนักเลยแฮะ ทุกทีเห็นกินพอเป็นกระษัย ไม่ใช่เฮียจัก กี้ไม่อยากยุ่งหรอกนะ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่นี่กินแบบไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองแบบนี้ ไง อกหักรึไง”

ว่าพลาง ก็เลื่อนมือเช็ดตัวไปพลาง

“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด พวกขี้เมา”

“รังเกียจนักก็ไม่ต้องมายุ่ง” ผมว่าพลางปัดมือเธอออก

“ไรว้า คนจะเช็ดหน้าให้ เอ่อ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ผ้าอยู่นี่นะ ทำเองแล้วกัน”

“แล้วนั่นจะไปไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน” ผมเลิกแกล้งเมา แล้วถามเธอขึ้น

“เล่นคอมค่า มีอะไรไหมค๊า”

จะเพราะท่าทางของเธอที่นั่งพิมพ์ไปยิ้มไป บางครั้งก็หัวเราะคนเดียว ผมสงสัยจึงเดินไปหาเธอที่หน้าคอม

เธอกำลังเล่น msnอยู่ มีหน้าต่างโผล่ซ้อนกันหลายอัน และคนที่เธอพูดด้วยตอนนี้ก็ใช้คำว่า ครับอยู่ ท่าทางมีความสุขจริงนะ

“ใครอ่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ ยืนมองอยู่หลังเธอ

“เพื่อนน่ะ อยู่ต่างจังหวัด”

“รู้จักกันได้ไง”

“เฮ้อ เฮียจักเป็นไรอ่ะ วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่เห็นยุ่งเลย เมาหนักแฮะ ไปนอนป่ะเฮีย”

“ถามว่ารู้จักกันได้ไง” ผมเริ่มเสียงเข้ม

“ก็ทางเอ็มนี่ไง”

“นานยัง”

“สองปีกว่า ไมเหรอ ถามอีกม่ะมันอายุเท่าไหร่ พ่อแม่ทำงานอะไร ห๊า”

เธอหันไปจดจ่อกับหน้าจอโดยไม่สนใจผม และตอบคำถามแบบขอไปที

“ไว้ใจได้เหรอ เขาอาจหลอกเราอยู่ก็ได้นะ ยิ่งพวกผู้ชายทางอินเตอร์เนตน่ะ ยิ่งไว้ใจไม่ได้รู้ไหม”

“ยุ่งไรอ่ะ ก็บอกแล้วไง ว่ารู้จักกันนานแล้ว นานกว่ารู้จักกับเฮียจักอีก เข้าใจ๊ ”

พรึบ!!!!!!

ผมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกทันที โมโหวุ้ย ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นสำคัญกว่าเรางั้นเหรอ ฮึ่ม!!!

“ทำไรอ่ะ ทำไรงั้นอ่ะ เฮียจักบ้าที่สุด ขี้เกียจต่อเนตใหม่นะ เมาป่วนอ่ะ”

“หิวข้าว หาไรให้กินหน่อยสิ”

“ก็ลงไปดูในตู้เย็นดิ๊”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มี.ค. 2006, 11:42 น. โดย 藿月 (lán yuè) » บันทึกการเข้า

ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม
แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำ
ว่าครั้งนึงเคยก้าวไป...
(ต่อ)  หมีโหดดดด
“ไม่เอา ทอดไข่ให้หน่อย”

“ทำไม่เป็น รอเดี๋ยวล่ะกัน ดูตู้เย็นให้ มีไรเหลือมั้ย”

ระหว่างที่เธอหาของกินในตู้เย็นให้ผมนั้น ไม่รู้ผีที่ไหนมาเจาะปากให้ผมถามเธอออกไป

“กี้ รักเฮียจักไหม”

กึก

ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนเวลาหยุดหมุน

“ว่าไง รักพี่บ้างไหม”

“ถ้าตอบว่า “ไม่” เฮียจักจะโกรธไหม”

ผมกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงไปในคอ หันหลังจะกลับขึ้นไปนอน

“นั่นสินะ พี่คงเอาเปรียบเราเกินไป ที่แย่งอนาคตเรามา แยกเราจากเพื่อน จากความฝันของเรา”

“เฮียจัก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมหันมายกมือห้าม และเดินต่อไป

“ไม่ต้องพูดหรอก อดทนหน่อยนะ ไว้เช้าเมื่อไหร่ เราไปหย่ากัน พี่จะคืนอิสระให้กี้ เราจะได้ไม่ต้องมาทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักอีกต่อไป”

“จะบ้าเหรอ อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยน่า ฟังก่อนได้ไหม”

ผมหันมามองเธอ อย่างอดทน พยายามนับหนึ่งถึงร้อย

“ฟังนะเฮียจัก ทำเลือดร้อนที่โดนแอลกอฮอล์เผาให้มันเย็นๆลงหน่อย แล้วฟังนี่”

“กี้รู้ตัวเสมอว่า ทำอะไรอยู่ ถึงแม้การที่เราแต่งงานกัน มันจะไม่ได้เริ่มจากความรักและความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย แต่...แต่กี้ก็ชอบเฮียจักมาก เฮียจักเป็นผู้ชายที่ดีคนนึงที่กี้รู้ว่า สักวันกี้จะรักเฮียได้”

“แต่เราก็ไม่ได้รักพี่หนิ”

แล้วผมหันหลังเดินออกไป เธอรีบวิ่งตาม มาขวางหน้าไว้

“ปัดโธ่โว้ยยยย!!!!!! อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า ฟังให้จบก่อนสิ”

“มีอะไรอีก ง่วงจะนอน” ผมทนฟังต่อไปไม่ได้ เดินไปถึงเตียง ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เธอ

“เออนอนฟังไปล่ะกัน จะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”

“ก่อนจะเจอกับเฮียจัก กี้ก็โดนจับคู่มาเยอะ แต่กี้ก็หนีมาตลอดและในที่สุดแด้ดมัมก็เลิกล้มไป แต่พอมาเคสเฮียจัก มันผิดไปหมด กี้คิดว่าจะลองไปพบดู แล้วจะป่วนให้อีกฝ่ายรำคาญและไม่ชอบหน้า จนเลิกไปเอง แต่มันกลับไม่ใช่”

"พอเห็นหน้าเฮีย กี้คิดว่า คนหล่อๆ มีพร้อมทุกอย่าง อย่างเฮียจัก ต้องไม่มองเด็กกะโปโลแบบกี้แน่ เลยเล่นอะไรบ้าๆไป แต่เรื่องมันกลับตรงข้าม เฮียเกิดตกลง ซึ่งมันบ้า บ้ามากๆด้วย มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้น ที่คิดจะมีแฟนแบบกี้”

งั้นผมก็เป็นพวกสิ้นคิดที่สุดในโลกใช่ไหมเนี่ย...

“แล้วเฮียจักก็เริ่มสร้างความประทับใจให้กี้ทีละน้อย เฮียจักก้าวเข้ามาทำความรู้จักกับกี้แบบที่ไม่เคยมีใครคิดจะทำ

ยอมไปไหนไปกัน จำตอนที่เราไปหลงป่าเมืองกาญฯ ได้ไหม กี้รู้สึกปลอดภัย อุ่นใจเมื่อมีเฮียอยู่ใกล้ แม้จะไม่แน่ใจว่าจะออกป่าไปได้ไหม พอรอดมาได้ กี้ก็บอกตัวเองว่าคนนี้แหละที่เราหามานาน คนที่จะเป็นหลักให้ชีวิตเราต่อจากนี้

มันก็จริงที่กี้ไม่ได้รักเฮียแต่แรกพบ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รัก เพราะ...เพราะ เอ่อ เพราะกี้ไม่รู้จักว่า "รัก" มันเป็นยังไง กี้ไม่เคยมีแฟน และไม่คิดจะรักใคร ชีวิตกี้มีพร้อมทุกอย่าง กี้เลยไม่อยากใช้คำว่า “รัก” กับเฮียจัก"

“แต่เฮียเป็นมากกว่านั้นค่ะ เฮียทำให้ กี้เคารพ นับถือ ศรัทธา ชื่นชมและเอ่อ เอ่อ ชอบเฮียมาก ... กี้คิดว่า มันน่าจะเกินนิยามคำว่า รัก ไปแล้วนะ เพราะรักแบบหนุ่มสาวคืออะไรกี้ก็ตอบไม่ได้ และไม่อยากสนใจมันด้วย"

"กี้บอกได้แค่ว่า เฮียจักจะเป็นอีกครึ่งชีวิตของกี้ค่ะ"

“เราเพิ่งเริ่มต้นกันเท่านั้นนะคะ และ .... และกี้ก็คิดว่า เฮียก็คงไม่สนเด็กอย่างกี้เท่าไหร่ ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้ได้ ตลอดเวลากี้พยายามทำตัวเหมือนน้องสาว สร้างปัญหาให้น้อยที่สุด ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเฮีย เพราะกลัวเฮียรำคาญและเบื่อ กลัวจะไม่ได้อยู่กับเฮียอีก ...”

“เฮียจักหลับแล้วเหรอ”

เงียบ

อึ้งครับ ผมกำลังซึมซับคำพูดของเธอไว้ในหัวใจที่แห้งผากมาตั้งแต่ตอนเย็น จากคำพูดบ้าๆ ของไอ้ที

ผมมันคิดมาก บ้าไปเองจริงๆ การกระทำต่างหากที่สำคัญ การที่เราได้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ สำคัญกว่าแค่คำที่เธอจะพูดว่า รัก หรือ ไม่รัก ผมนี่มันตาแก่คิดชะมัด

ผมหันกลับไปเพื่อจะบอกเธอว่า ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้นสักนิด ผมไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นน้อง

แต่ช้าไป เธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมได้ยินเสียงฝักบัวเปิด ก็เธออาบน้ำแล้วหนิ อยู่ในชุดนอน แล้วจะอาบน้ำอีกทำไม
สักพักเธอก็ออกมา แล้วบอกผม

“เฮียจักอาบน้ำซะนะ เปิดน้ำไว้ให้แล้ว”

เธอก้มหน้าพูด น้ำเสียงเธอปลกไป เหมือน .... มันเหมือนคนคัดจมูก ผมรีบลุกตามเธอไปที่เครื่องคอม จับมือเธอก่อนที่เสียบปลั๊กคอมอีกครั้ง

“กี้ เฮียจักขอโทษ”

เธอพยักหน้าเบาๆ แกะมืออกจากผมไปเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ แล้วกดเปิดเครื่อง

ผมสังเกตว่า ตาเธอแดงก่ำ จมูกแดงด้วย ใช่เลย อาการอย่างงี้

“ร้องไห้ทำไมครับคนดี”

เธอส่ายหน้าช้า แล้วนั่งเก้าอี้ รอให้เครื่องรันเสร็จ หันหน้าไปอีกทาง

“เฮียจักขอโทษนะครับ น๊า ยกโทษให้กันนะคร้าบ เฮียจะไม่ปากหมาอีกแล้วนะคร้าบ”

เธอแอบยิ้มนิดนึง แต่ก็ทำหน้าเฉยต่อ

“นะคร้าบ หันมาคุยกันดีดีนะคร้าบ เฮียขอโทษนะ เกิดมาเฮียไม่เคยง้อผู้หญิงเลยนา อายน่า หันมาเหอะ”

ยังอีก งั้นต้องใช้ไม้นี้

“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกัน เฮียจะพาไปเล่นเครื่องร่อนด้วย ได้ไหมครับ”

ได้ผล!!!

“ไปดำน้ำแบบสน้อกเกิ้ลด้วยน๊า แล้วก็ต้องสอนกี้ขี่เจทสกีด้วย”

“ตกลงครับ”

“เย้ๆ”

ฮึฮึ ดูท่าคงลืมไปแล้วว่าเธอกำลังงอนผมอยู่ และเมื่อรู้ความจริงในใจแล้วแบบนี้ ผมจะขอฉีกสัญญาทิ้งล่ะนะ นักกี้ ฮึฮึ ทำตัวเป็นเสือจำศีลมานานแระ ฮึฮึฮึ

“กี้”

“หืม”

“นอนกัน”

“ไม่อ่ะ เฮียจักนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวปิดเครื่องแล้วตามไป”

“ไม่เอาอ่ะ นอนคนเดียวกลัวผี ปล่อยเครื่องมันไว้งี้แหละ”

ผมลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงอุ้มเธอไปที่เตียง

“เฮีย ทำไร เดินเองได้ ปล่อยน่า จั๊กจี้”

เงียบ เฮ้ย แววตาแบบนี้นี่มัน ฮ่าๆ ตายแน่แล้วตรู

“เฮ่ยยยย ไม่เอาน๊าเฮีย ไหนบอกจะรักษาสัญญาไง”

“สัญญาไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย นอนเถอะ”

ผมวางเธอลงบนเตียง แล้วเดินไปปิดไฟ

“เฮ้ย ปิดไฟทำไม กี้กลัวความมืด”

เงียบ....... แล้วที่นอนข้างตัวก็เริ่มยุบ
เธอเริ่มเขยิบตัวหนี แต่ช้าไปแล้วหนู เสือจะขย่ำเหยื่อ มีรึจะปล่อยให้หลุดมือไปด้ายยยยยยยย

.....
..
.


ผมเพิ่งรู้นะ ว่าการผิดสัญญามันดีอย่างนี้นี่เอง น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว รู้ม่ะผมไม่รู้สึกผิดสักนิดเลย อิอิ

กับความรู้สึกที่ผมไม่ได้พบมานาน เสือผู้หญิงอย่างผมที่ไม่คิดจะได้เจอ นักกี้บริสุทธิ์ เหมือนน้ำค้างยามเช้า เธอเหมือนผ้าขาว ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย และความแปลกใจนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจ รู้สึกเป็นเจ้าของ และหวงเธอขึ้นมาทันที ผมหวงแม้กระทั่งกับตัวผมเอง เธอดูบอบบาง น่าทะนุถนอม จนผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

“กี้ โกรธเฮียไหม”

“คนผิดคำพูด ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”

เสียงอู้อี้ดังลอดผ้าห่มออกมาจากอกผม

หึหึหึ ผมหัวเราะกับตัวเอง

“ปากดีแบบนี้ ต้องโดนอีกรอบ”

ผมจู่โจมเธอโดยไม่ให้ทันตั้งตัวอีกครั้ง รู้สึกเจ็บรอยหยิกที่ไหล่จากมือน้อยๆ แต่แค่นี้.....เด็กๆ ใครจะว่าปล้ำเมียตัวเองก็ยอมล่ะ .......

สวัสดีครับ ผมชื่อแจ๊คครับ ผมมีภรรยาอย่างแท้จริงมาสองเดือนแล้วครับ ชีวิตผมเหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือกับหลังมือครับ ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของผมกับนักกี้ไม่เหมือนเดิม เธอไม่เป็นกันเองเหมือนเคย

ผมว่า เธออายผมครับ และมันทำให้ผมรู้อีกอย่างว่า จากภายนอกที่ดูซ่าส์ๆนั้นแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบเธอจะอายมาก แต่การอายของเธอแปลกครับ เธออายแบบ ไม่สนใจคนที่เธออาย เธอไม่พูด ไม่คุยแบบกวนอีก จะเรียบร้อย จะค่ะ จะขา ซึ่งมันก็ดีน่ะนะ แต่ผมอยากได้นักกี้คนเดิมกลับมาจัง แต่สิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปคือแววตาครับ ผมเริ่มเรียนรู้ที่อ่านสายตาของเธอออก เธอไม่พูดมากเหมือนเคย ไม่ขี้โมโห แต่ยังคงความซุ่มซ่ามและเอ๋อไว้เหมือนเดิม และผมก็ชอบให้เธอมองผมมากกว่าพูดแล้วล่ะ เพราะเหมือนเธอกำลังบอกรักผมอยู่น่ะสิ

จนวันนึง ขณะที่ผมกำลังประชุมอยู่

ปึง

เสียงเท้าถีบประตูห้องประชุมดังสนั่น ทุกคนในห้องตกใจ หันไปทางต้นเสียง

“คุณกี้คะ เข้าไม่ได้นะคะ ท่านกำลังประชุมอยู่ค่ะ คุณกี้ เอ่อ ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันเตือนเธอแล้ว แต่”

“ไม่เป็นไร คุณมล ขอบคุณครับ ทุกคน เชิญคอฟฟี่เบรค 5 นาทีครับ”

“กี้มีอะไรรึเปล่า เฮียจักกำลังประชุมนะครับ”

กระซิกๆ อะฮื่อๆๆๆๆๆๆ เธอเริ่มร้องไห้

“เฮียจักคนบ้า ง่า บ้าที่สุดเลยอ่า ฮื่อออออ”

“กี้ เป็นไร เฮ้ย ทำหน้าบึ้ง อยู่ดีดีก็ร้องไห้ มานี่ๆ”

ผมพาเธอเข้ามาคุยในห้องทำงานส่วนตัว


“อื่ออออออออออ”

“เป็นไรครับ ฮึ บอกเฮียจักสิ ใครแกล้งไร โอ๋ๆ เงียบก่อนนา” ผมดึงเธอมาซบกับอก ลูบหัวพลางปลอบ

แล้วเธอก็ชี้มาที่ผม

“เฮ้ยกี้ เฮียไปแกล้งอะไร อ๋อ เรื่องเมื่อคืนกะตอนเช้าอ่ะเหรอ เฮียว่าไม่ได้ทำไรรุนแรงนา”

“บ้าดิ ไม่ใช่เรื่องนั้น เฒ่าลามก!!!”

เอ้า โดนเมียด่าอีก แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ต่อ

“เฮียจักทำให้กี้ไปปีนหน้าผา ไปล่องแก่ง ไปขึ้นภูไม่ได้อีกแล้ว ใจร้าย คนใจร้ายที่สุด บลา บลา บลาๆๆๆ....”

หลังจากที่เธอพูดๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเหนื่อย แล้วตบท้ายด้วยการส่งหมัด ชกผมเข้าเต็มแรง แล้วหันหลังเดินออกไป ทิ้งผมไว้กับความเจ็บและงง

มารู้ก็ตอนถึงบ้านแล้ว พ่อแม่ทั้งฝ่ายผมและเธอ อยู่กันเต็มบ้าน วิ่งวุ่นกันไปหมด

“แจ๊ค เก่งมากเลยลูกแม่ ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด โฮะๆ”

“พ่อแจ๊ค ขอบใจนะลูก หลานคนแรก แม่ขอผู้ชายนะลูก”

“เดี๋ยวก่อนครับ นี่มันอะไรกัน ผมงงหมดแล้ว”

และคำพูดเมื่อตอนกลางวันของนักกี้ก็วิ่งเข้าในสมองผม

“เฮ่ย”

“จริงเหรอครับ”

“จ้ะ สองเดือนแล้ว” แม่ผมตอบตาเป็นประกายใสปิ๊งเชียว

“วะฮู้ จะได้เป็นพ่อคนละโว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกไปอย่างไม่อายทุกคน ทั้งที่ปกติผมเป็นคนเก็บอารมณ์นะ

ชีวิตผมนับว่าเริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่วันที่ได้เจอเธอ และจนถึงวันนี้ เจ็ดปีแล้ว ที่ผมและเธอเดินร่วมทางกันมา และมันทำให้ผมยิ่งรักเธอมากขึ้นมากขึ้น

การเดินทางของเรา มีทั้งสุขและทุกข์ เราก็ยังเป็นเพื่อน เหมือนพี่น้อง และเหมือนคู่รักที่ตามหากันมานานหลายภพ การที่เดินไปบนทางอันแสนไกล แล้วมีมือน้อยนุ่มนิ่มให้จับไว้ ช่างเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ สำหรับผู้ชายคนนึง


“พ่อครับ พ่อ แย่แล้วครับ”

เสียงเจ้าลูกชายตัวยุ่ง วิ่ง หอบ เข้ามาในห้องทำงานผมที่บริษัท

“แม่หายตัวไปอีกแล้วคร้าบ”

“อ่าว ไม่อยู่บ้านย่าเหรอลูก”

เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม
เขียนว่า “ภูกระดึง”

ผมอ่านประโยคนั้น แล้วอมยิ้ม

“เจอรี่ คืนนี้นอนกับย่านะครับ เด็กดีอย่าดื้อล่ะ คุณมล ผมฝากส่งลูกกลับบ้านด้วย แล้วก็ยกเลิกนัดทุกอย่างของวันนี้ และอีก 2 วันด้วยนะ”

“แล้วเจ้านายจะไปไหนล่ะค่ะ”

“Honeymoon”



โดย....
เอ่ออ่ะนะคะ (นามปากกา)
๕ / ๑๑ / ๒๕๔๘
จาก ถนนนักเขียน ใน ห้องสมุด www.pantip.com

แก้ไขการสะกดคำโดย Miss Granger

แก้ไข//เห็นเว็บหลายๆ แห่งที่เข้าไปได้เริ่มมีกระแสต่อต้านการใช้ภาษาไทยแบบวิปริต เอ๊ย วิบัติแล้ว  ยิ้มน่ารัก ถึงแม้จะไม่มากมายแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไีรเลยเนอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 มี.ค. 2006, 11:44 น. โดย 藿月 (lán yuè) » บันทึกการเข้า

ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม
แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำ
ว่าครั้งนึงเคยก้าวไป...
 มึนตึ้บ
บันทึกการเข้า

Today you , Tomorrow me.
ข้ามไปแล้วครับ
บันทึกการเข้า

หมู หมา กา ไก่
ขี้หมู ขี้หมา ขี้กา ขึ้ไก่
คลิกแล้วมันส์สสส
สนุกดีอะเดือน  ซึ้งดี น้ำเน่าเล็กน้อย แต่พอทน
บันทึกการเข้า
สนุกดีอะเดือน  ซึ้งดี น้ำเน่าเล็กน้อย แต่พอทน

(+1)  ยิ้มน่ารัก

มันจะเน่าก็อีตรงที่ว่า
หาผู้ชายแบบนี้ไม่ค่อยจะเจอนี่แหละ

นอกเรื่องไปถึงเรื่องนิยาย
ทำไมพระเอกนางเอกของไทยจะต้องสวยหล่อดีรวยเก่งด้วยเนอะ
เคยอ่านนิยายเรื่อง รักต้องปล้ำ เป็นนิยายที่มาจากเด็กดีแล้วเอาไปรวมเล่ม
อ่านตอนแีรกๆ ไม่เท่าไหร่ แต่อ่านไปๆ น้ำตาซึม
ที่สำคัญคือ พระเอกนางเอกหน้าตา...เหมือนคนส่วนใหญ่ในประเทศ
บันทึกการเข้า

ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม
แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำ
ว่าครั้งนึงเคยก้าวไป...
^
^
^
หนุกคะ เอามาให้อ่านใหม่นะคะ ถ้าเพิ่มจสพ. ขะให้เยอะๆเลย

----------------------------------------------------------------------------
ทำไมเวลาที่ฝนตก เรามักจะคิดถึงคนที่เรารัก

ก็เพราะว่าเมื่อก่อนนี้ ท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน้ำ เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสามอยู่ใกล้ชิดติดกัน

จนกระทั่งโลกได้กำเนิดพืชและสัตว์ขึ้นแผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่ดูแลเอาใจใส่พืชและสัตว์ จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า

ท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจ และถอยตัวห่างออกไป ห่างออกไปทุกที ทุกที

จนถึงวันที่มีนกตัวแรกออกโบยบิน แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล

แผ่นดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมาก เลยไม่ได้ยิน

นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า นกก็บินขึ้นสูง สูงขึ้น สูงขึ้น และส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป ไปไม่ถึงท้องฟ้า

แต่นกก็สัญญาว่า ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอก

ผืนน้ำและแผ่นดินรู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนได้ห่างออกไปไกล และคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน

ผืนน้ำพยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า

แผ่นดินพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่าน แต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า

พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด ก็บอกกับทั้งสองว่า "เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้"

พระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำและแผ่นดิน ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า

เล่าเรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปตามที่ แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมาก อยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน

ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราว ก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็กลับลงไปไม่ได้ "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้น และอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้ว ฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น

และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำ

และอยากจะบอกกับทั้งสองว่า ฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด

"ก้อนเมฆก็ตอบว่า"อยู่บนนี้นานๆก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง "

ท้องฟ้าเลยบอกว่า" ฉันก็เหงาเหมือนกัน แต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้ แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า"

จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า แล้วตกลงมาเป็นหยาดฝน ส่งผ่านความรัก ความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ

จึงไม่แปลก ถ้าเมื่อใดที่ฝนตก แล้วเราจะรู้สึกคิดถึงคนที่เรารักคนที่เราผูกพัน และบางครั้ง ท้องฟ้าก็ส่งความเหงาลงมาด้วย

อยากให้วันนี้เมืองไทยฝนตกจัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 เม.ย. 2006, 02:32 น. โดย Net » บันทึกการเข้า
 ถึงเด็กหญิงที่กล้าจับแมลงสาบ ...จากเด็กชายที่กลัวแมลงสาบ

กาลหนึ่ง ณ สถานที่ ที่มืดทึบที่สุด
ที่ว่ามืดทึบนั้น มิใช่เพราะว่าแสงแดดส่องไม่ถึง หรือไฟฟ้ายังไม่เข้า

แต่มันมืดทึบด้วยความกลัว...

เด็กชายคนหนึ่งอาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าเก่า ราคาพอประมาณ
แม้ไม่สู้สุขกาย แต่ยังพอสบายใจ

เด็กชายรูปร่างใหญ่โต ลักษณะเคร่งขรึม ดูแล้วน่าหวั่นเกรงในสายตาเพื่อนๆ และคนทั่วๆไป
เขาต่อสู้ชีวิตเรื่อยมาจนเติบใหญ่
ไม่ว่ามีเหตุการณ์ใด เขาก็สามารถจัดการให้ผ่านพ้นไปได้
ง่ายบ้าง ยากบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้

แต่คนเราใช่ว่าดูภายนอกแล้วจะรู้ได้ลึกถึงข้างใน
เพื่อนๆต่างทึกทักกันไปเองว่าเด็กชายสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่เคยหวั่งเกรงต่อสิ่งใด
หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เด็กชายกลัวนั้น กลับเป็นเรื่องปกติที่แสนธรรมดา

เด็กชายกลัวแมลงสาบ...

อาจเพราะกรรมเก่า ที่ได้ร่วมทำกันมากับเหล่าสัตว์หกขาจำพวกนี้
ทำให้วัยเด็กของเด็กชายได้ประสบเพื่อนร่วมบุญที่กลับมาทักทาย

วันนั้นเด็กชายกลับถึงบ้าน
เปิดประตูด้วยอารมณ์สดใส พร้อมกับฮัมเพลงในลำคอ
กรรมเก่าทำให้เหตุบังเอิญเกิดขึ้นจริงกับเด็กชาย
แม้จะจำไม่ได้ละเอียดนัก แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันช่างประทับจิตประทับใจเสียเหลือเกิน

แมลงสาบไต่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงใบหน้า...

สบู่ก้อนเล็กที่อยู่ในห้องน้ำแทบละลายหายไปจากบ้านหลังเล็ก
ไปไม่ไปเปล่า ทิ้งความกลัวให้ฝังตัวอยู่ในจิตสำนึกของเด็กชายด้วย
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เจ้าแมลงหกขาเลยกลายเป็นสิ่งต้องห้าม...


หากแต่ความลับไม่มีในโลก
แม้เด็กชายไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง มันก็เกิดขึ้นเองอย่างช่วยไม่ได้

บ้านของเด็กชายมีแมลงสาบ...
มันมาจากไหน มาได้อย่างไร เด็กชายไม่รู้ และไม่เคยอยากรู้
เด็กชายรู้เพียงว่า เขาไม่อาจกำจัดมันออกจากสถานที่พักพิงแหล่งเดียวของเขาได้
เขายอมจำนนต่อเหตุ และร้องขอให้ผู้อื่นช่วย

เมื่อแรกเริ่มเด็กชายเพียงบอกในหมู่เพื่อนสนิท เพราะไม่ต้องการให้ความลับนั้นแพร่ขยาย
แต่เพื่อนๆของเด็กชายต่างพากันกล่าวหาว่ามันคือเรื่องตลก
และปล่อยให้เขาจัดการสิ่งนั้นด้วยตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมา

เด็กชายเริ่มกระวนกระวาย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เด็กชายไม่อาจรู้ได้
แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากทุกๆคน ทั้งที่รู้จัก และพึ่งเคยได้พบพาน

มันกลายเป็นเรื่องตลกของผู้คน...

เด็กชายสิ้นหวังถึงขีดสุด
เขาเหนื่อย และท้อแท้
จนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ให้กับปัญหานี้
เขานั่งลงที่รั้วหน้าบ้าน
และเริ่มปลดปล่อยความอัดอั้นที่ตันอยู่ในใจมานานแสนนาน
ด้วยสายน้ำอุ่นๆ ที่เกิดจากต้นน้ำเล็กๆในดวงตา

ระหว่างที่เด็กชายกำลังทุกข์โศก
ผลบุญจากปางก่อนที่เคยได้ทำไว้
ทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งผ่านมา
เธอเห็นเขา เด็กชายผู้ยอมแพ้กับปัญหา
เธอถามเขาถึงสาเหตุที่เขาร่ำไห้

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง
และเริ่มระบายความทุกข์ยากของเขาให้เธอฟัง

หลังจากเล่าจบ
เด็กชายก็หยุดร้องไห้ แต่ยังคงซึมเศร้า

เด็กหญิงกลับยิ้ม
และยื่นข้อเสนอให้เด็กชาย

หากเธอกลัว และไม่อาจเผชิญปัญหาได้ ฉันจะช่วยเธอ
แต่ฉันก็มีข้อเรียกร้องเช่นกัน เด็กหญิงกล่าวพลางอมยิ้ม

เด็กชายตอบรับข้อเสนอของเด็กหญิง

ง่ายดายสุดแสน เธอเดินเข้าไปในบ้านและกลับออกมาพร้อมเพื่อนร่วมโลกหนึ่งตัว

นับจากวันนี้ ฉันจะช่วยดูแลบ้านให้เธอ พร้อมกับค่อยๆกำจัดปัญหาเล็กๆของเธอไปด้วย
แต่เมื่อถึงวันที่ปัญหาของเธอหมดไป ฉันก็คงต้องไปตามเส้นทางของฉันเช่นเดิม นี้คือข้อเสนอของเด็กหญิง

จากวันนั้นเป็นต้นมา
เด็กชายไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดอีกแล้ว
หาใช่เพราะไม่เกิดความกลัว
หากแต่เกิดจากความกล้า ที่เด็กหญิงมอบให้

เวลาค่อยๆล่วงเลยไปอย่างช้าๆ
ปัญหาทุกอย่างของเด็กชาย ค่อยๆจางหาย
แต่ได้เติมสิ่งหนึ่งลงในใจของเด็กชาย

แล้วเด็กชายก็เกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง...

วันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่เด็กหญิงจะอยู่เคียงข้างเด็กชาย
เธอกำลังทวงคำสัญญาต่อข้อเสนอของเธอจากเขา

เด็กชายไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆมาฉุดรั้งเด็กหญิงไว้
เพราะเด็กชายยอมรับ ในการตัดสินใจของเด็กหญิง
แม้จะเจ็บจะปวดสักเท่าใด
เด็กชายก็รู้ถึงความมุ่งหมายของเด็กหญิง จึงมิอาจห้ามปราม

วินาทีสุดท้ายที่เด็กชายเห็นเด็กหญิง

เธอยิ้ม
และค่อยๆจากไปพร้อมกับสอนหลายสิ่งทิ้งไว้ให้เด็กชาย

สิ่งเหล่านั้นคืออะไร จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครล่วงรู้ นอกจากเด็กชายเอง
ความลับจึงบังเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก

เด็กชายบอกเพียงแค่ว่า
วันที่เด็กหญิงจากไป

เขาคิดถึงเธอ

เขานึกอยากให้มีแมลงสาบอยู่ภายในบ้านของเขาตลอดกาล

แต่สิ่งที่เขาคิดคงเป็นไปไม่ได้

จนบัดนี้เด็กชายเข้าใจแล้ว
และอยากฝากผู้คนทั้งหลาย หากวันใดที่ท่านเจอเด็กหญิงผู้นั้น
ฝากบอกเธอด้วยว่าเขา

ยังคงกลัวแมลงสาบ
แต่ตอนนี้
เขากล้าจับแมลงสาบด้วยตัวเองแล้ว...

....................................................................................


อ่านเรื่องนี้แล้ว ไม่รู้คุณคิดจะคิดเหมือนผมรึปล่าว

แมลงสาบเปรียบเสมือนความรัก
ที่เด็กชายขยาดกลัว

เมื่อวันที่แมลงสาบจากไปพร้อมกับเด็กหญิง
เด็กชายจึงพึ่งรู้ตัวว่า
ได้ขาดสิ่งสำคัญในชีวิตไป


หากเด็กหญิงได้อ่านข้อความนี้
โปรดตอบกลับมาหาเด็กชาย

เพราะเขายังมีข้อความที่ค้าง และคาอยู่ในใจ
รอสารภาพต่อเด็กหญิงผู้ที่กล้าจับแมลงสาบ


ความลับนั้น จะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้
บันทึกการเข้า

ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม
แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำ
ว่าครั้งนึงเคยก้าวไป...
หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 ... 84
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!