เริ่มต้นที่ีี่จุดจบ...
(ยาว ใครขี้เกียจอ่านกดเก็บดาวแล้วข้ามไปเลย ห้ามบ่น

)
~ ... เราเริ่มที่จุดจบ ... ~
สวัสดีครับ ผมชื่อแจ็คครับ ผมแต่งงานได้ 3 เดือนแล้วครับ แต่คุณเชื่อมะ แต่งเหมือนไม่ได้แต่งเลย ผมยังคงมีชีวิตเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ต้องย้ำว่าเกือบ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว ผมยังคงเที่ยวกับเพื่อนคืนวันศุกร์ เมาสุดๆคืนวันเสาร์ และถอนให้ออกคืนวันอาทิตย์ เป็นไงล่ะครับ อิจฉาผมไหม ที่มีอิสระได้อย่างนี้
ภรรยาของผม เรียกแบบนี้ก็ไม่เชิงนะ เรียกว่าคนที่ผมเข้าพิธีแต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวยนะครับ เธอก็สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป... ผมว่าเธอก็น่ารักแบบไม่เหมือนใครดีนะ แต่เพื่อนมันบอก “กรูเห็นหน้าแล้วเจี๊ยะบ่โละว่ะ” (เห็นแล้วกระเดือกไม่ลง) เธอไม่ใช่คนสวยแบบนางงาม ที่หุ่นสวย หน้าใส ท่าทางสง่า พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวานเป็นแม่บ้านแม่เรือน....ทุกอย่างที่ผมพูดมานั่นตรงข้ามหมดเลยครับ
เธอชื่อ นักกี้ครับ เธอบอกให้ผมเรียกสั้นๆว่า กี้ และเธอจะเรียกผมว่า จัก เพราะชื่อฝรั่งไป ไม่เหมาะกับหน้าไทยแบบผม ดูปากเธอสิ กัดกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอและนี่คงเป็นเสน่ห์ของเธออย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมตกลงแต่งงานกับเธอทันทีหลังจากวันดูตัว
ทั้งที่ในวันนั้น......
“โธ่ลุง อย่ามาแต่งกะหนูเล้ย ลุงดูนะ หน้าตาก็ไม่สวย แค่น่ารักปานกลาง หุ่นก็ไม่บอบบาง ติดจะล่ำซำไขมัน นี่ๆเห็นอะไรไหม ฟันเกตรงมุมปากเนี่ย เขี้ยวซ้อนแหลมๆเนี่ย ผู้หญิงฟันซ้อนกัน โหหหห ไม่น่ายุ่งหรอก หนูทำกับข้าวก็ไม่เป็น ไม้กวาดไม่เคยจับ ไม้ถูพื้นไม่คิดแตะ ซักผ้าก็ส่งร้าน
เอางี้ หนูให้ลุง 20 คนเลย เนี่ย รายชื่อพร้อมเบอร์โทร กะที่อยู่ ลุงเลือกเลยจะเอาคนไหน เดี๋ยวติดต่อให้ ขอบอกโสดๆ สวยๆ ทั้งนั้น เพื่อนหนูเอง คุยกันได้ นี่ๆๆ เอาไปเลย”
ผมมองเธอยิ้มๆ และคงเผลอมองนานไปหน่อย
“อ้าวลุง ไม่ขำนะ น้อยไปเหรอ อืมมม ขอคิดแป๊บนะ เอางี้ ให้อีก 20 เลย แต่คราวนี้เป็นรุ่นน้องนะ ตอนนี้อยู่ปี 2 กะ 3 รับรองโสด สด สวย แต่ไม่รู้จะซิงรึเปล่า ขอเวลาวันนึงหาที่อยู่กะเบอร์ให้”
ครับ เธอพยายามติดสินบน ไม่ให้ผมแต่งงานกับเธอ ด้วยรายชื่อ ที่อยู่พร้อมเบอร์โทรสาว ก๊ากๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นโว้ย นี่ถ้าผมบ้าจี้รับข้อเสนอนี้ไป ไม่กลายเป็นพวกค้าหญิงส่งออกรึ จะบ้าตาย แม่สื่อเขาคิดอะไรของเค้านะถึงมาจับคู่ผมกับเธอ
หลังจากปล่อยให้เธอพล่ามข้อเสนอ สินบนไปจนเหนื่อยเอง โดยมีผมนั่งยิ้มมองเธออย่างเดียว ยังไม่พูดสักคำ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนคนขายประกันจริงๆ
พอพูดจนเหนื่อย เธอก็ยกกาแฟเย็นดูดรวดเดียวหมดแก้ว เอาหลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ ติดจะเรอหน่อยๆ นะ ถ้าได้ยินไม่ผิด
“ตกลงไม่แต่งกะหนูนะ จะได้บอกมัมกะแด้ดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ส่วนเรื่องรายชื่อเอาไปหมดเลยละกัน ทั้ง 40 เนี่ยแหละ แล้วถ้าสนคนไหน โทรบอกหนูที่เบอร์นี้นะ ฮี่ๆ “ เธอหยิบปากกาเขียนหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ลงกระดาษโน้ต
“อ่ะ โทรได้ตั้งแต่ สิบโมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม”
มีเวลาเปิดปิดด้วยแฮะ
“ไปนะค๊า หวัดดีค่า หวังว่าคงไม่เจอกันอีก ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหน แล้วนี่ค่ากาแฟของหนู อีก 5 บาท ไม่ต้องทอน ติ๊บให้”
ครับ สินบนสำหรับการไม่แต่งกับเธอคือ รายชื่อพร้อมที่อยู่ เบอร์ กับเงินอีก 5 บาท อืม คุณคิดว่าผมควรรับข้อเสนอหล่อนไหมเนี่ย
วันต่อมา ไม่รู้ผมคิดยังไงถึงกดเบอร์โทรเธอ อารายยย ก็เบอร์มันติดมากับโทรศัพท์เท่านั้นเอง คิดมากๆ
“สวัสดีครับ นักกี้”
“อืมมมมมมมม”
ขณะนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง แต่เสียงเธอดูเหมือนสะลึมสะลือ
“ว่างไหมครับ คุยกันหน่อยสิ”
“ไม่ว่าง คนจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ ฝากเบอร์กะชื่อไว้ โทรกลับไม่โทรอีกเรื่อง แค่นี้นะ”
เฮ้ย นี่มันบ่ายสองนะขอรับ ว่าที่เจ้าสาวของผม เธอยังไม่ตื่นนอน ว่าจะบอกข่าวดีซะหน่อย ว่า....
........ ที่บ้านฝ่ายหญิง......
“ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ขา ในที่สุด ในที่สุด”
“ใช่ คุณน้องครับ ในที่สุด ในที่สุด”
“ยายหนูก็ขายออก ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพูด น่าจะเป็นตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“คุณนายขา เป็นอะไรไปคะ” เสียงสาวใช้รีบวิ่งออกมา
“นี่ จุ๋ม แจ๋ว แหวว เธอรู้ไหม ยายหนูจะได้แต่งงานแล้วนะ ที่ไปดูตัววันก่อนน่ะ ฝ่ายชายเขาตกลงแหละ นี่ๆ เธอต้องแนะนำชั้นนะ ว่าพระวัดไหนดูฤกษ์เก่ง จะได้ไปผูกดวงกัน อะฮู้ยยย ตื่นเต้นๆ”
สาวใช้ทั้งสามคนมองตากันด้วยความยินดีไม่แพ้คุณนาย ในที่สุด คุณหนูบ้านเราก็ขายออก เย้ๆ
ครับ ว่าที่เจ้าสาวของผมเป็นลูกสาวคนเดียว ทางบ้านของเธอกับผม รู้จักเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและเพื่อนกันสมัยรุ่นพ่อและแม่
ก่อนที่ผมจะรู้ว่ามีการดูตัว พ่อบอกให้ผมไปพบลูกค้า แต่พอเธอเดินมาหย่อนก้นลงยังไม่ทันร้อน ก็ร่ายมาขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมโดนเข้าแล้ว ทั้งที่พยายามบอกปฏิเสธเท่าไหร่ ก็ผมมันสามสิบแล้วนี่ครับ แต่ขอบอกยังโสดและหน้าตาดีด้วยนะเออ
เรื่องตลกที่สุดคือ วันหมั้น
ก็วันหลังจากที่เธออาละวาดบ้านพัง หนีออกจากบ้านไปได้เกือบวัน เพราะมีเงินติดตัว 50 บาท และนอน นอน นอน รวมทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน
ทางบ้านของผมและเธอช่วยกันหาฤกษ์ที่ดีและสะดวก เพราะ1. หมอดูบอกว่า ถ้าผมและเธอไม่แต่งงานปีนี้ จะไม่ได้แต่งอีกเลยตลอดชีวิต 2. แม่อยากอุ้มหลาน 3. แม่อยากได้ลูกสะใภ้ 4. แม่อยากให้ผมแต่งงาน 5. ญาติๆอยากให้ผมเลิกทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้ จีบดะไม่เว้นลูกพี่ลูกน้อง แล้วหักอกแบบไม่ไว้หน้า สรุป มีแต่คนรอบข้างอยากให้ทำ แต่ผมไม่ใช่พวกตามใจแม่หรอกนะ ตอนนั้นผมแค่นึกสนุกอยากแกล้งเธอเท่านั้น
“มัมขา ไม่แต่งไม่ได้เหยอ หนูยังเด็กอยู่เลยนะค๊า เรียนก็ยังไม่จบ” เธออิดออด
“ก็ยังไม่แต่งนี่คะ แค่หมั้น” คุณแม่พูดขึ้น
“งั้นแสดงว่าไม่แต่งก็ได้ หมั้นได้ก็ถอนได้ ใช่ไหมคะ” เธอพูดดวงตาเป็นประกาย
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าหนูไม่แต่ง บ้านเรา ฮือ บ้านเราต้อง ฮือ ต้องล้มละลายนะคะ” รู้สึกมัมจะตีบทแตกไปหน่อย มัมรีบเช็ดน้ำตา เพราะพี่แจ๋วเข้ามาเรียกแล้ว
“คุณนายขา ข้างล่างพร้อมแล้วค่ะ”
"ไม่ต้องกลัวยายหนู ไปขึ้นเขียง เอ๊ย ลงไปข้างล่างกันลูก"
วันนั้นผมจำได้ว่าตาไม่ได้ฝาด แต่เหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน เธอดูสง่างาม สวยในชุดไทยสีครีม คุณแม่เธอจูงมือลงบันไดมา และส่งมือเธอให้ผม พาเธอไปนั่ง ตรงพิธี
คำแรกที่เธอทักทายผมคือ
“มองไรลุง ไม่เคยเห็นนางเอกลิเกรึไง”
แค่นั้นล่ะครับ ทำผมหัวเราะพรืดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ อาการสำรวมหายหม้ด คนอุตส่าห์เก๊ก...
หลังจากผู้ใหญ่ทำพิธีกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องสวมแหวนหมั้นให้เธอ แหวนเพชรน้ำงามถูกเลื่อนลงไปอยู่ในนิ้วนางข้างขวาของเธอ แต่...ก่อนที่มันจะถูกสวมนั้นสิ
“ลุง เปลี่ยนวงได้ม่ะ กลัวทำหายอ่ะ นะลุงนะ หายมาแล้วยุ่งนา” เธอกระซิบกับผมเบา
ผมอมยิ้ม กับท่าทางของเธอ แล้วจับมือเธอมาสวมอย่างสบาย ท่ามกลางการดึงมือกลับเป็นระยะ
เสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปกัน ซึ่ง
“เดี๋ยวๆ ช่างภาพ ไม่เอารูปปึกๆนะ เอ้า ทุกคนคะ ไม่ต้องยืดตัวตรง นั่งเกร็งค่ะ เอาแบบสบายๆ รูปจะได้ออกมาสวยๆ นี่ วัดแสงรึยัง ใช้ได้ล่ะนะ”
แล้วก็รีบวิ่งกลับมานั่ง ฉีกยิ้มแก้มป่อง ดูเค้าทำสิ ผมเพิ่งมารู้หลังแต่งงานเดือนแรกว่า เธอเป็นนักถ่ายรูปสมัครเล่น มิน่า...
ระหว่างงานฉลองเธอเดินมาถามผมว่าจะหมั้นกันสัก 3 ปีได้ไหม ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และถามว่าทำไม
เธอบอกว่า ปีแรกรับปริญญา ปีที่สองขอเวลาค้นหาตัวเอง ปีที่สามชีวิตคงเข้าร่องเข้ารอยขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอ แล้วชู สามนิ้ว เธอยิ้มแก้มป่อง แทบจะกระโดดกอดผมทีเดียว ก่อนที่จะพูดว่า “สามเดือน” นั่นล่ะครับ แม่คุณโวยทันที
“จะบ้าเหรอ สามเดือน ใครมันจะทำอะไรทัน นี่ลุงจะรีบไปไหน ห๊า อยากแต่งงานขนาดนี้ทำไมไม่แต่งไปซะนานแล้ว อายุก็ปูนนี้ อยู่บนคานทำไมนานนัก ห๊า!!! ก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เข้าใจไหม”
“ก็เดือนหน้าจะรับปริญญาไม่ใช่เหรอครับ นักกี้”
เธอทำเสียง จิปาก
“ก็ตอนนี้มันยังเรียนไม่จบ นี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะบอกให้”
ฮ่าๆ ผู้เยาว์สิ อายุ 21 น่ะ ผู้เยาว์ หรือ ผู้สาวคร้าบบบบบ ขำกับมุขแกน ที่ไหลไปได้
“แล้วที่ผมยังไม่แต่ง ก็คงเพราะรอมาเจอนักกี้มั้งครับ เจอปุ๊บ ถูกใจ แต่งปั๊บไงครับ”
“เฮ่อ ตาแก่โรคจิต หัวงู เอาเปรียบผู้หญิง บังคับขืนใจ กระทำชำเราหน้าด้านๆ......”
อูยๆ มาเป็นชุด นี่ดีนะ ยืนคุยกันที่สวน ไม่ค่อยมีคน ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็คำพูดแต่ละคำที่เธอใช้สิ อย่างกับผมไปทำอะไรร้ายแรงงั้นล่ะ ฝ่ายเธอเหรอ ทำหน้าหักไปตลอดงานเชียว
จากนั้นผมชวนเธอเข้าบ้านกัน เพราะแดดเริ่มร้อนแล้ว และคงเหมือนโรคติดต่อที่เธอเห็นผมหัวเราะ เลยหัวเราะบ้าง
“ขำไรนักหนา คนแก่เส้นตื้น”
ฮ่าๆ นั่น ยัยเด็กเส้นตื้นกว่า หัวเราะตาม
หลังจากวันหมั้นยังไม่ถึงสัปดาห์ เหตุการณ์เป็นตามที่ผมคาดไว้ นักกี้ใช้ชีวิตโสดจนคุ้มจริงๆ ครับ เธอนอน นอน และนอน โทรไปทีไร นอนทุ้กที แต่เพิ่งมารู้จากว่าที่แม่ว่า ไอ้ที่นอนน่ะ นอนนอกบ้านนะ
“พ่อแจ็คช่วยแม่ด้วยเถอะ ยายหนูไปเชียงรายมาสามวันแล้วยังไม่กลับเลย แม่เป็นห่วง”
แม่เธอพูดเสียงเศร้าๆ ตีบทแตกตามเคย
“ตามไปดูน้องให้แม่หน่อยนะลูก”
ไอ้กระผมก็จำใจต้องตามไปดูแลคู่หมั้น...ด้วยความเต็มใจ เยี่ยม!! ได้โอกาสโดดงาน หนีเที่ยว หลังจากสั่งงานเลขา และเคลียร์งานแล้ว คืนนั้นผมโทรหาเธอ ถามว่าอยู่ไหน และไปนั่งเครื่องหาถึงที่ พอไปถึง แม่คนนั้นอึ้งครับ ตกใจเหมือนเห็นผีกระหัง
“เฮ่ย ลุง มาทำไม เที่ยวเหรอ”
“มาตามเรากลับบ้านเราไง”
“ไม่!!! ยังไม่ถึงเวลา นี่กี้จองตั๋วไปเมืองกาญฯ ต่อแล้ว จะไปหลงป่า บอกมัมกะแด้ดด้วย ยังไงก็ไม่กลับ ”
“น่าสนใจ ไปด้วยสิ”
เธอมองหน้าผมแบบสยองๆ ท่าทางเห็นตัวประหลาด แล้วส่ายหน้า หยิกแก้ม แคะขี้หูเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปด้วย”
“โฮ่ เพิงเคยเห็นคนแก่กระสันอยากเที่ยว เป็นบุญตาจริงจริ๊ง”
ผมขยี้หัวเธอด้วยความหมั่นไส้ ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก…. อารายๆๆๆ เค้าเป็นคู่หมั้นกันแล้ว อย่ามาแซวกันน่าคนอ่าน….
สองสัปดาห์ต่อจากนั้น เราหมายถึงผมกับเธอ เราตะลอนเที่ยวทั่วไทยจริงๆ ทั้งขึ้นเขา ลงแพ ล่องแก่ง ลงทะเล ดำน้ำ นอนฟังเสียงคลื่น
ก็เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า เธอเป็นนักเที่ยวตัวยงแต่ติดแนวเก็บกด เหมือนคนไม่ได้เที่ยวมานาน พอมีโอกาส เป็นตะลอนจนลืมเหนื่อย และที่ติดตัวเธอตลอดคือ กล้องถ่ายรูปรุ่นเก่า ที่เป็นแบบกึ่ง auto เจออะไร พี่เป็นถ่ายดะ ดูหน้าเธอตอนได้ถือกล้องแล้ว เหมือนเด็กได้อมยิ้ม น่ามอง น่ารักจริงๆ
“เออ อย่างงั้นแหละจ้า นิ่งๆ ท่านั้นเลย (แชะ) ขอบใจมากนะ ลุง ยืมตังค์ 20 จะเอาให้เด็ก ”
“ของตัวเองอ่ะ”
“ขี้เกียจล้วงอยู่ในถุง เอาของลุงนั่นล่ะ อย่าหนืดน่า เดี๋ยวกินข้าวเอาให้ เร็วดิ๊ เด็กรอ เห็นไหม”
คุณครับ นี่เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์รึเปล่าครับ ....
และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง
“เฮียจัก ไม่แต่งไม่ได้เหรอ กี้ขอใช้ชีวิตเหมือนคนกะเค้าอีกหน่อยน้า น้าเฮียจักคนดี๊คนดี คนน่าร้าก คนหล่อที่สู้ดดดเลย”
เริ่มเปลี่ยนจากลุงเป็นเฮีย และเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ แหม ผมชอบจังเวลาเธอเรียกชื่อตัวเองเนี่ย ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
“คิดมากน่า กี้ ถึงจะแต่งงานแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนี่ครับ กี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมล่ะ”
“จริงดิ!!!!!!! ไม่ต้องทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า เปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูที่นอน”
“บ้านพี่ มีคนทำงานพวกนี้ครับ”
“เจ๋ง!!!!! งั้นก็นอนกลางวันได้ ออกไปถ่ายรูปได้ ดูหนังได้ ไปค่ายอาสาได้”
ผมผงกหัว กับกิจกรรมทั้งหลาย
“แต่ต้องมีพี่ไปด้วย” เธอหน้าหงิกทันที
“เรื่องไรปล่อยให้เราไปสนุกคนเดียว”
ผมพูดยิ้ม แล้วขยี้ผมเธอด้วยความมันเขี้ยว เธอเลยแล่บลิ้น แบร่
วันแต่งงานของเรา เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม นักกี้แปลงร่างอีกแล้วครับ คราวนี้ยิ่งกว่าวันหมั้นอีก เหมือนไม่ใช่นักกี้ที่ผมรู้จัก ใครเอายายนักกี้จอมยุ่ง จอมซ่าส์ จอมซุ่มซ่าม ยัยเอ๋อของผมไปไหน แล้วผู้หญิงสวย บาดตาบาดใจ ที่ยืนตรงหน้าผมนี่ใคร
“คุณแจ็ค ถึงกับตะลึงเลยเหรอค๊า เจ๊แต่งเองก็ยังทึ่งกับฝีมือตัวเองเลยค๊า แหมน้องกี้น่าจะแต่งหน้าบ่อยๆนะคะเนี่ย”
ช่างแต่งหน้าเพื่อนเธอทักกับอาการตะลึงของผม และถ้ามองไม่ผิด ผมเห็นเธออายผมนะ อิอิ ดูสิ หน้าแดงแข่งกะแก้มเชียว
ช่วงเช้าเราทำพิธีแบบไทย มีการสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง และตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรม เจ้าสาวของผมวันนี้เธอสวยมากจริงๆครับ ผมไม่เคยเห็นนักกี้ตอนแต่งหน้า แต่งตัวแบบเจ้าหญิงมาก่อน
รู้ไหมครับ ประโยคแรกที่เธอทักผมในงานตอนเช้าคืออะไร
“มองอยู่ได้เฮียจัก ไม่เคยดูละครช่อง 7 ตอนเช้าวันเสาร์รึไง แน่ะ ยังมองอีก วุ้ยยย”
ฮ่าๆ ประโยคเด็ดละลายอาการขรึมของผมได้เช่นเคย
และประโยคแรกในตอนเย็น ที่เจ้าหญิงชุดขาวทักผมคือ
“โรคจิต!! ทำยังกะไม่เคยอ่านซินเดอเรลล่า”
คนพูดหน้ามุ่ย แล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ถลกกระโปรงยาวเดินเข้างาน คงจะดีถ้าแม่คุณไม่สะดุดขาเก้าอี้ หรือขาโต๊ะ นั่นๆ ว่ายังทันขาดคำ ล้มโต๊ะไปแล้วหนึ่ง ...
ในงานนี้ ทั้งเพื่อนของผมและเธอต่างทำหน้าไม่เชื่อ เมื่อได้รับการ์ด แม้จะมาอยู่ในงานแล้ว ก็ยังทำหน้าเอ๋อกันไม่หาย ไอ้ที เพื่อนสนิทผม คบกันมาตั้งแต่เรียนมอปลาย มันยังว่า
“ไอ้แจ็ค เอาจริงเหรอวะ ข้าว่า รายนี้มันไม่ใช่สเป๊คเอ็งนา”
“นั่นสิ พี่แจ็คขา ถ้าถูกพ่อแม่บังคับ หรือขู่จะยึดเงิน บอกแนนนี่ได้นะคะ แนนนี่ให้ยืมก่อนก็ได้”
“แจ็ค นี่คุณเสียสติรึเปล่า คิดไงเอาเด็กกะโปโลแบบนี้มาเป็นเมีย ต้องสวย เริ่ด ไฮโซ แบบชั้นสิ คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
และอีกสารพัดประโยคที่ผมเจอในงาน ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ว่า ผมไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับนะ แต่งงานกับนักกี้ด้วยความเต็มใจ ตอนแรกก็เพราะแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น และว่าจะถอนหมั้นซะในช่วงเวลาที่หมั้นกันไว้
แต่เมื่อได้รู้จักเธอแล้ว ผมกลับเป็นฝ่ายถอนตัวจากเธอไม่ได้
ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะ เราคบกันเหมือนพี่น้อง เหมือนเพื่อนน่ะ
ไอ้ที น้องแนนนี่ และ แพทตี้ยังทำหน้าไม่เชื่อ กับสิ่งที่ได้ยินนัก สักพักที่ผมรู้สึกว่า ที่ตรงข้างกายจะว่างนานไปแล้ว จึงขอตัวไปตามหาเจ้าสาว
“ดูมันเห่อเมีย วู้ๆ ไอ้ปลาไหลโดนใบข่อยดักโว้ย วู้วววว” ไอ้ทีแซวตามหลัง ผมไม่สนใจกับคำพูดของเพื่อน เป้าหมายของผมอยู่นั่นไง
อ้อ เธออยู่ที่โต๊ะเพื่อนเธอ โต๊ะที่เสียงดังที่สุดในงาน
เมื่อผมเดินเข้าไปจึงได้ยินเสียง โฮ่ ฮิ้ว มาแต่ไกล ทั้งโต๊ะมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย และสาวๆในโต๊ะนั้น สวย สวยมากๆ ขอย้ำ สวยมากๆ
นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไม่รับข้อเสนอของนักกี้ในวันแรก...
“เฮียจัก มาพอดี นี่ ขอแนะนำเพื่อน และน้องให้รู้จัก เริ่มจากทางขวาคือ แอน อุ๋ม อ้อน อุ้ม ไก่ โชค แวว แมน แล้วทุกคน นี่เฮียจัก”
“ดีคร้าบบบบ ดีค่ะ”
ทุกคนยกมือไหว้ผมทันที จะไหว้ทำไมฟร่ะ ไม่ได้แก่ไรขนาดนั้นสักหน่อย นักกี้หลิ่วตามองผมแซวๆ ว่า แก่แล้วนะ ลุงน่ะ ผมทักทายทุกคนสักพักก็พาเจ้าสาวเดินไปโต๊ะอื่น ระหว่างทาง เธอหัวเราะและมองผมอย่างสมน้ำหน้า
“เห็นมั้ยล่า กี้เสนอไปแล้วนา เฮียจักไม่รับเอง เสียดายล่ะสิ๊”
“ก้อ นิดหน่อยนะตามประสาผู้ชาย”
“ฮ่า สมน้ำหน้า นี่ถ้าตกลงนะ ป่านนี้สบายไปแล้ว ไม่ต้องมาตกระกำอะไรกับกี้หร้อก”
โป๊ก ผมเขกหัวเธอไปทีด้วยความหมั่นไส้ ใครบอกว่าตกระกำลำบาก ผมได้เจอกับสิ่งที่คนอื่นจะไม่ได้ตะหาก
และคืนวันส่งตัวนั่นเอง หลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าห้องหอ ที่เรือนหอ บ้านที่ปลูกแยกมาจากบ้านผม ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ไกลนัก
“แด้ดขา มัมขา อย่าทิ้งกี้ไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนอ่ะ”
หนวดปลาหมึกที่ชื่อนักกี้เกาะพ่อแม่ไว้แน่น
“ยายหนูไม่ต้องกลัวหรอกลูก อย่างที่แม่สอนไงคะ โอเคนะ นะ” แม่ทำท่าโอเค
“นั่นสิหนูกี้ พี่เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงหนูหรอกจ๊ะ ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ แม่จะได้อุ้มหลานสักที ทำเพื่อแม่นะลูกนะ”
แม่ผมที่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองพยายามปลอบใจ
“ผมว่า เราเลื่อนวันส่งตัวไปก่อนไม่ดีเหรอคุณน้อง ลูกหน้าซีดๆ สงสัยจะไม่สบายนะ” พ่อเธอเริ่มออกอาการ
“เอ๊ะ คุณนี่ จะมาหวงลูกสาวอะไรนาทีสุดท้าย ไปๆ ออกไปกันเถอะค่ะ คุณพี่ เชิญค่ะ ให้บ่าวสาวได้พักผ่อนกัน”
"แด้ด มัม เดี๋ยวอย่าเพิ่งปายยยย อย่าทิ้งหนูไว้น๊าาาาาาาาาาา”
ปัง!!!! ประตูปิดลง
เธอหันกลับมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว
ฮะ ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อย แล้วเจ้าลูกหมาจอมซ่าส์ หายไปแล้วครับ แม่คุณ ดูแววตาสิ เหมือนผมเป็นตัวประหลาดน่ากลัวซะเหลือเกิน
เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นเอาผ้าเช็ดตัวให้ผม
“เฮียจักอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวกี้จะเล่นคอมก่อน”
“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ”
แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป อันที่จริงผมก็ไม่ได้หื่นกระหายใคร่ได้เธอนักหรอกครับ ผมยังไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพวกข่มขืนภรรยาตัวเอง ไม่ชอบบังคับใคร ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สมยอม มือระดับนี้ ไม่อยากทำร้ายใคร ถ้าจะเอา คงเอาไปนานแล้ว หุหุหุ
และตามที่ผมคิดไว้
ทันทีที่ผมก้าวออกจากห้องน้ำปุ๊บ เธอรีบวิ่งสวนเข้าไปปั๊บ หอบสารพัดเสื้อผ้า นี่เธอจะซักผ้าตอนกลางคืนรึไง
เวลาผ่านไป ....นาน นาน นาน และนาน
ผมเช็คเมล์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งเล่นก็แล้ว รอแล้วรออีก เธอก็ยังไม่ออกมา เลยปิดไฟข้างผม เดินไปบอกเธอหน้าประตูห้องน้ำว่า
“พี่หลับก่อนนะครับ อย่านอนในนั้นเลย ออกมานอนด้วยกันบนที่นอนนุ่มๆดีกว่า ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก”
...ได้ผล ...
เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา ด้วยชุดที่ .... เอ่อ ผมว่ามันไม่ใช่ฤดูหนาวนะ แต่ดูเสื้อผ้าเธอใส่สิ เหลือรับประทานจริงๆ
“ฮ่าๆ กี้หนาวเหรอ ดู ใส่เข้าไปได้ไง กลัวพี่เหรอครับ”
ลูกแมวน้อยผงกหัวรับ แววตาระแวงผมสุดขีด
เฮ้อ หลังจากเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำสระผมแล้ว เธอก็กลับเป็นยัยนักกี้ ลูกแมวน้อยจอมกวน ที่ตอนนี้ซ่าส์ไม่ออกไปแล้ว
เธอเดินมายืนชิดขอบเตียง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแล้ว
“เฮียจักต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรกี้”
“หืม! อืม ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้ ถ้ากี้ไม่ทำอะไรพี่”
“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง หาว่ากี้จะหน้ามืดไปข่มขืนเฮียรึไง พูดงี้มาต่อยกันเลยมะ”
แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอแล้ววันนี้
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พี่ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ นอนล่ะ”
แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหันหลังให้เธอ
เธอรีๆรอๆ สักพักใหญ่ คงดูว่าผมหลับจริงไหม เมื่อไม่รู้สึกที่นอนข้างๆมันหยุบสักทีผมเลยแกล้งกรน
ครับ ผม(แกล้ง)หลับไปสักพักใหญ่ ก็ลุกมาดูว่าเธอนอนตรงไหน เธอไม่นอนเตียงกับผมครับ เธอนอนบนพื้นข้างเตียง เอาหมอนและหมอนข้างไปเรียบร้อย ......ทุ่มทุนสร้างจริงๆ
เฮ้อ ยัยลูกแมวน้อยจอมซ่าส์เอ๊ย ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู อ่ะ แค่เอ็นดูหรอกนะ ผมไม่ได้รักเธอหรอก แค่สงสารเลยอุ้มเธอขึ้นนอนบนเตียงด้วยกันแค่นั้นเอง
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่าง ผมยังคงนอนตะแคง หันข้างให้คนอีกฝากของเตียง
แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาดิ้นขลุกๆ อยู่ที่หลัง ผมพลิกตัวกลับมาดู นักกี้นั่นเอง เธอนอนกอดหมอนข้าง อมยิ้มเหมือนเด็ก และเอาหัวมาซุกหลังผมเหมือนหาไออุ่น
ผมขยับตัวหามุมเล็กน้อย และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกตัว จึงเริ่มขยับ เปลี่ยนท่านอน ดูเธอสิ อมยิ้มน่ารักเชียว และนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มลง จูบอรุณสวัสดิ์เธอที่หน้าผาก
เธออมยิ้มแต่ไม่ยังลืมตา คงไม่รู้ตัวล่ะสิ ฝันถึงอะไรอยู่น๊า เธอเริ่มดิ้นอีกครั้งเอาหัวซุกกับหน้าอกผม เหมือนเจ้าตัวน้อยที่ดิ้นหาไออุ่นจากอกแม่ของมัน ผมกอดเธอไว้หลวม ลอบมองหน้าเธอตอนหลับ
เฮ้อ นี่เราไปสัญญาอะไรบ้าๆ กับเด็กฟร่ะเนี่ยยยย
ขันตินายแจ็ค ขันติ คิดได้แค่นั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน แต่ก่อนลุก ผมใช้เวลาทำใจอีกนิด ก่อนจะปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมแขน
ครับ ผมแต่งงานมา 3 เดือนแล้วครับ ผมใช้ชีวิตเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแต่ เวลาว่างของผมมักมีภาพใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาให้คิดถึงเสมอ นักกี้และผมเป็นเหมือนคู่แฝด เวลาผมไปฟิตเนส หรือไปเที่ยวไหน เรามักไปด้วยกันเสมอ
และความรู้สึกของผม ที่มีต่อเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้น และรู้สึกคิดถึง... ผมไม่แน่ใจนักว่าควรใช้คำนี้ไหม แค่รู้สึกข้างกายมันโล่ง เวลาไม่มีเธออยู่ด้วย ผมมักคิดถึงผมหอมๆ ที่ชอบแอบมาซุกกับอกผม คิดถึงเจ้าตัวนุ่มนิ่มที่ได้แอบกอดตอนเช้าก่อนไปทำงาน คิดถึงรอยยิ้มตอนหลับที่น่ารักจนผมจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งผมผิดสัญญากับเธอเล่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ คิดได้แค่นั้นก็.... เห่อๆๆๆๆ
“ท่านประธานคะ โครงการนี้ท่านเห็นว่าไงบ้างคะ”
“ท่านคะ ท่าน”
“หา อะไรนะ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกรอบสิ”
ก็แบบนี้ล่ะครับ เธอทำให้ผมเป็นมาตั้งแต่แต่งงาน ทั้งที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่ผมโดนหักอกและเริ่มสวมวิญญาณเพลย์บอย นักกี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงใหม่
มันน่าแปลกมากสำหรับคนที่เกลียดกลัวการผูกมัด กลัวการผูกพันอย่างผม ก่อนที่ผมจะเจอเธอ ผมมีสาวๆแก้เหงาเสมอ แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา ชีวิตเสเพลเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย เพราะรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แต่ผมกลับไม่นักใจเลยที่ต้องสวมมันไว้ ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย
“เฮียจัก กี้ไม่ใส่ได้ม่ะ กลัวหายอ่ะ อันตรายด้วย เกิดโดนแท็กซี่ปล้นอ่ะ น่ากลัวนา ใส่ไปเดี๋ยวทองหมอง เพชรหลุดอ่า เสียดายของแย่ กี้ถอดเก็บไว้นะ นะ”
“ไม่ได้!!!!”
ผมตอบออกไปเสียงดังทันที ทำไม แค่ใส่แหวนแต่งงาน กลัวหนุ่มไหนมันจะรู้ ฮึ ยัยนักกี้
“กี้แต่งงานแล้วนะ กลัวหนุ่มไหนรู้เหรอ ว่าเราไม่โสดแล้วน่ะ ทีพี่ยังใส่ได้เลย พี่สิควรจะรำคาญมัน ไม่ใช่เรา”
“เฮ่ออออออออ ตูละเบื่อ ตาแก่ขี้หึงจริงๆ“
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะกี้ เป็นผู้ใหญ่สักทีสิ”
ผมแกล้งพูดน้ำเสียงจริงจัง กลบอาการเขินเต็มๆ เรื่องอะไรมาว่าเราหึง เหอะ อย่างกะตัวเองจะมีหนุ่มไหนมาสน นอกจากผมงั้นล่ะ เฮอะๆ เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ได้หึง...
“โอ๋ๆๆๆๆ เฮียจัก อย่างอนสิ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปเล่นเกมตู้กัน กี้เพิ่งอ่านหนังสือเกมส์มา มีเกมส์ออกใหม่ ท่าทางหนุกมากเลย ไปด้วยกันน๊าาาาา”
“ไม่ พี่ไม่ใช่เด็กๆ จะให้ไปเล่นเกมตู้น่ะ”
....
“เฮียจัก เล่นดีดีดิ ยิงให้ถูกหน่อย ฝีมือแย่ชะมัด เห็นม่ะพากันตายเลย”
“กี้นั่นแหละ ยิงมั่ว มายิงพี่ทำไม เอาใหม่เลย มา มา คราวนี้ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้”
...
ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับตอนอยู่กับเธอ ช่วงเวลาเด็กที่ผมมักไม่มีเหมือนคนทั่วไป ผมต้องอ่านหนังสือ มุ่งมั่นกับการเรียน ให้ได้คะแนนดีเยี่ยม และศึกษางานของที่บ้านไปพร้อมกัน จนทำให้ผมก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง
จนผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอนี่ล่ะ ถึงทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว ผมไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สิ่งที่ชีวิตผมขาดไปคือ ความสุข ความสดใส นั่นเอง ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะเราแค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง คบกันเหมือนเพื่อนน่ะ
คืนวันอาทิตย์ เพื่อนชวนผมออกมาเหล่สาวตามเคย ทั้งที่ผมบอกปัดมันไปแล้ว อยากอยู่บ้าน นอนดูหนังกะนักกี้บนโซฟา หน้าทีวี ผมชอบแอบดูเธอตอนกำลังลุ้นกับหนัง และบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น เธอจะมาอาศัยไหล่ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าครับ นี่ละที่ชอบ
ผมพยายามอ้าง บอกปัดไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายมันใช้ไม้เด็ด หาว่าผมกลัวเมีย ชะ คนอย่างนายแจ็ค ไม่มีคำว่า "กลัว" ที่ไหนบอกมา ผมขึ้นไปบอกนักกี้ในห้องอ่านหนังสือว่าจะออกไปข้างนอก เธอยิ้มให้ โบกมือบ้ายบาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว นี่หนังสือนั่นมีดีอะไรนัก ถึงละสายตามามองกันไม่ได้เนี่ย ห๊ะ
“เฮ้ยแจ็ค ทำไมเมียเอ็งดียังงี้ว่ะ ออกเที่ยวกลางคืนยั่งงี้ เขาไม่ว่าอะไรเอ็งเหรอ”
ก็ใครมันลากตูออกมาล่ะว้า
“ไม่หนิ”
“งั้นเขาก็ไม่แคร์เอ็งเท่าไหร่น่ะสิ ดีว่ะ แฟนข้านะ บอกจะออกเที่ยว ทำหน้าหงิกยังกะอะไรดี”
“ไม่รู้เขา คงคิดว่าเรานัดกันประจำมั้ง เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรื่องอย่างงี้เท่าไหร่ว่ะ”
“เฮ้ย งั้นเอ็งไปแต่งงานกะเขาทำไมว่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่สนกันหยังงี้อ่ะ ข้าว่าสงสารเด็กมันนา”
“เด็กไร เรียนจบแล้ว” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“เอ่อนั่นแหละ ถ้าเทียบกับเรา เขาก็ยังเด็ก เอ็งคิดมั่งเปล่าว่าไปตัดอนาคตเด็กมัน เขาอาจอยากไปเรียนต่อก็ได้นะเว้ย” ไอ้ทีเริ่มกรึ่ม จึงพูดออกมาตรงๆ
“ข้าว่าไม่นะ เห็นอยู่เฉยๆไปวันๆ คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง”
ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ทั้งที่ตัวผมก็มักทบทวนกับตัวเองบ่อยๆ นี่เราทำอะไรอยู่ ผมเอาแต่ใจตัวเองเกินไปรึเปล่าที่ดึงเธอไว้ด้วยกันแบบนี้ ผมแย่งอนาคต กักขังความฝันของเธอไว้ไหม เธอเพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เธออาจต้องการตามหาฝัน อย่างที่เธอขอเวลาผมไว้ 3 ปี นั้น
เฮ้อ นี่เราทำบ้าไรอยู่ฟร่ะ.... คืนนั้นผมนั่งกรอกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้ที และมันก็นั่งเหล่สาวแทนผมจนดึก
“เฮ้ย บ้านนี้มีใครอยู่มั่ง มาช่วยกันหน่อยโว้ย มาลากไอ้แจ๊คช่วยหน่อย”
“ขา มาแล้วๆค่า”
“ยังไม่นอนเหรอครับ นักกี้ รอหมอนี่ล่ะสิ โทษนะ คืนนี้ดึกไปหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก นายนี่มันไม่ยอมกลับน่ะ ผมเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนมัน แต่วางใจได้ ไม่มีเรื่องผู้หญิง มีแต่เหล้าเพียวๆ จ๊ะ” ... จริงอ๊ะ
“เอิ้ก เอาเหล้ามาอีกกก น้องเติมๆ”
“เติมไรเล่า ถึงบ้านแล้ว ไอ่บ้า (ไม่ต้องมาแกล้งเมาอ้อนเมียเลยนะเอ็ง) ไปนะ นักกี้”
“ขอบคุณพี่ทีค่ะ ทิ้งไว้ตรงโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกี้ให้เด็กมาลากคอไปเองค่ะ”
ชะอุ๊ย ลากคอเลยรึ นายทีนึกในใจ
“เฮียจัก เดินดีดีสิ ฮู้ย เมาแล้วยังมาเดือดร้อนชาวบ้านอีก สำนึกไหมเนี่ย” นักกี้พยายามลากคอผมขึ้นข้างบน
“อืมมมมม นักกี้ เด็กน้อยยยยยย ลูกแมวน้อยของพี่”
มือผมเริ่มเหมือนปลาหมึก พอถึงเตียงเธอโยนผมลง
“เมาหนักเลยแฮะ ทุกทีเห็นกินพอเป็นกระษัย ไม่ใช่เฮียจัก กี้ไม่อยากยุ่งหรอกนะ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่นี่กินแบบไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองแบบนี้ ไง อกหักรึไง”
ว่าพลาง ก็เลื่อนมือเช็ดตัวไปพลาง
“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด พวกขี้เมา”
“รังเกียจนักก็ไม่ต้องมายุ่ง” ผมว่าพลางปัดมือเธอออก
“ไรว้า คนจะเช็ดหน้าให้ เอ่อ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ผ้าอยู่นี่นะ ทำเองแล้วกัน”
“แล้วนั่นจะไปไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน” ผมเลิกแกล้งเมา แล้วถามเธอขึ้น
“เล่นคอมค่า มีอะไรไหมค๊า”
จะเพราะท่าทางของเธอที่นั่งพิมพ์ไปยิ้มไป บางครั้งก็หัวเราะคนเดียว ผมสงสัยจึงเดินไปหาเธอที่หน้าคอม
เธอกำลังเล่น msnอยู่ มีหน้าต่างโผล่ซ้อนกันหลายอัน และคนที่เธอพูดด้วยตอนนี้ก็ใช้คำว่า ครับอยู่ ท่าทางมีความสุขจริงนะ
“ใครอ่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ ยืนมองอยู่หลังเธอ
“เพื่อนน่ะ อยู่ต่างจังหวัด”
“รู้จักกันได้ไง”
“เฮ้อ เฮียจักเป็นไรอ่ะ วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่เห็นยุ่งเลย เมาหนักแฮะ ไปนอนป่ะเฮีย”
“ถามว่ารู้จักกันได้ไง” ผมเริ่มเสียงเข้ม
“ก็ทางเอ็มนี่ไง”
“นานยัง”
“สองปีกว่า ไมเหรอ ถามอีกม่ะมันอายุเท่าไหร่ พ่อแม่ทำงานอะไร ห๊า”
เธอหันไปจดจ่อกับหน้าจอโดยไม่สนใจผม และตอบคำถามแบบขอไปที
“ไว้ใจได้เหรอ เขาอาจหลอกเราอยู่ก็ได้นะ ยิ่งพวกผู้ชายทางอินเตอร์เนตน่ะ ยิ่งไว้ใจไม่ได้รู้ไหม”
“ยุ่งไรอ่ะ ก็บอกแล้วไง ว่ารู้จักกันนานแล้ว นานกว่ารู้จักกับเฮียจักอีก เข้าใจ๊ ”
พรึบ!!!!!!
ผมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกทันที โมโหวุ้ย ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นสำคัญกว่าเรางั้นเหรอ ฮึ่ม!!!
“ทำไรอ่ะ ทำไรงั้นอ่ะ เฮียจักบ้าที่สุด ขี้เกียจต่อเนตใหม่นะ เมาป่วนอ่ะ”
“หิวข้าว หาไรให้กินหน่อยสิ”
“ก็ลงไปดูในตู้เย็นดิ๊”