The Period of Avalon Prologue ภายใต้ความมืดมิดในยามค่ำคืน คบไฟนับร้อยถูกจุดขึ้นสว่างไสวขับไล่ความมืดที่บดบังออกไปเป็นวงกว้าง เผยให้เห็นไม้กางเขนสีขาวที่ตรึงร่างผู้หญิงคนหนึ่งไว้
ท่ามกลางเสียงตะโกนสาปแช่งของชาวบ้านที่ดังกลบเสียงร้องไห้วิงวอนของเด็กน้อยคนหนึ่ง กองฟางหลายสิบกองถูกนำมาวางสุมรวมกันใต้ร่างของหญิงคนนั้น ชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานก้าวออกมากลางลานกว้างนั้น
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า...หญิงคนนี้เปรียบดั่งแม่มดตัวแทนของซาตาน นำความโชคร้ายความวิบัติต่างๆนาๆมาสู่บ้านเมืองของเรา บัดนี้ถึงเวลาสำเร็จโทษแล้ว...อาเมน..."
เมื่อกล่าวจบ ชายผู้นั้นก็รับคบเพลิงจากคนอื่นก้าวเข้ามาหาเด็กน้อยพลางยื่นคบเพลิงให้
"เจ้า!...เจ้าต้องเป็นคนทำ..." สีหน้าของเด็กน้อยซีดเผือด
"ไม่! ไม่มีทาง!...กรุณาเถอะ...ปล่อยพวกเราไปเถอะ..." เด็กน้อยพยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิต แต่เสียงตะโกนของเหล่าชาวบ้านกลับยิ่งดังขึ้นมากกว่าเดิม
"ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!..." ระลอกคลื่นฝูงชนรุมล้อมกันส่งเสียงสาปแช่งดังกระหึ่ม ราวกับกระแสแห่งความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาหาเด็กน้อย
"รับไปซะ! รับคบเพลิงนี่ เผาแม่ของเจ้า! เผานังแม่มดนั่นซะ!...แล้วเจ้าจะได้เป็นอิสระ..." ชายผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เปลวไฟจากคบทำให้ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวดูน่ากลัว ไม่ต่างอะไรจากปีศาจเลยแม้แต่น้อย
"รับไปสิ!"
ท่ามกลางความสับสน ความมืดมน และความกดดันในช่วงเวลานั้นเอง ที่มือของเขาจับอยู่ที่ปลายคบ
"ไม่!!!" เด็กน้อยสะบัดมือออกและร้องไห้ออกมา
"...แกต้องทำ!!!" ชายผู้นั้นไม่รีรออีกต่อไป คว้ามือของเด็กน้อยมาจับคบไฟโยนเข้าไปในกองฟางทันที
ในเสี้ยววินาทีนั้น จิตใจของเด็กน้อยคนหนึ่งราวกับจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นถาโถมร่างนั้นราวกับพญามังกรกำลังสยายปีกเริงระบำอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น สายตาของหล่อนจ้องมองเข้าไปในตาของเด็กน้อยที่กำลังแน่นิ่งไป สายตานั้นราวกับเป็นคำพูดสุดท้ายที่จารึกไว้กับโลกระหว่างแม่ลูกในเวลานั้น ชั่วพริบตาก่อนที่เพลิงจะโหมแรงขึ้นกลืนกินร่างนั้นไปตลอดกาล
ฝูงชนต่างโห่ร้องแสดงความยินดีที่ได้กำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากชีวิตของพวกเขา เด็กน้อยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองเปลวไฟนั้นพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ผมที่ขาวโพลนอยู่แล้วยิ่งดูขาวมากยิ่งขึ้น น้ำตาที่หลั่งไหลกลับกลายเป็นเลือดสีแดงสด
"ขำอะไรวะ!" ชายคนนั้นค่อยๆเดินเข้าไปหาเด็กน้อยอย่างช้าๆ พริบตาที่มือยื่นไปแตะ ร่างนั้นก็พลันกระเด็นออกไปทุกทิศทาง เหลือเพียงโครงกระดูกและเครื่องในกองอยู่ตรงนั้น เสียงแห่งการเฉลิมฉลองหยุดลง บริเวณที่ดูสว่างกลับมืดลงอีกครั้ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน
เปลวไฟจากคบเพลิงค่อยๆมอดดับลง ความมืดกลับมาสู่ที่เดิม มืดดำสนิทราวกับหลุมอากาศ ท่ามกลางความมืดนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะๆ เสียงโหยหวนและทรมาน ราวกับได้เผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัส ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในความมืดมิดนั้น
...แสงแดดสีทองรำไรเริ่มจับตัวที่ขอบฟ้า ไม้กางเขนสีดำเถ้าถ่านเพราะไฟหักโค่นลง เถ้าสีเทาขาวที่อยู่ใต้ไม้กางเขนปลิวไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน
เด็กน้อยยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลออกไป และค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดลง
เด็กผู้หญิงลักษณะท่าทางภูมิฐานกำลังอยู่ในอารมณ์ตกใจสุดขีด ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง เศษเนื้อระคนกับเศษกระดูกกองทับถมกระจัดกระจายไปทั่วลาน เลือดสีแดงสดชโลมตัวตึกไหลนองเต็มพื้นส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
ชาวบ้านนับร้อยบัดนี้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตมาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้แม้แต่ผู้เดียว
เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืน ผมสีขาวที่เกรอะกรังไปด้วยเลือดตกลงมาปิดดวงตาของเขาไว้ เขาแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว เอ่ยเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ เด็กสาวเห็นดังนั้นจึงพยายามรวบรวมกำลังลุกขึ้นมา ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
"...ลา...ก่อน......มาเรีย..." เด็กน้อยพูดด้วยเสียงที่ขาดหายเป็นช่วงๆ ก่อนที่จะเดินโซซัดโซเซออกไป
"ดะ...เดี๋ยว!...รอก่อน..." เด็กหญิงส่งเสียงตะโกนเรียก "เธอจะไปไหนน่ะ...ไกเซอร์!..." เด็กหนุ่มค่อยๆเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองราวกับไม่ได้ยินเสียงเล็กๆนั้น มุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งลับตาไป...
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเจ็ดปีเต็ม เจเนซิสถูกก่อตั้งขึ้น สร้างความปั่นป่วนให้กับทุกอาณาจักรบนผืนแผ่นดินที่เรียกว่าอวาลอนนี้ โดยมีผู้นำหนุ่มเป็นแม่ทัพผมขาวที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน...นามว่า..."ไกเซอร์"... รูปไกเซอร์ แม่ทัพแห่งเจเนซิส
เว็บไซต์
http://period.exteen.com ติดตามงานของน้องเค้าได้ที่ นิทรรศการศิลปะนิพนธ์มัณฑนศิลป์ 3-19 เมษายนนี้ ที่หอศิลป์ทั่วทั้ง ม.ศิลปากร วังท่าพระ
http://f0nt.com/forum/index.php?topic=9485.0ขอบคุณครับ