อ่านแล้วปวดหัว
....
จริงๆปัจจัยที่ทำให้ฝ่ายผู้หญิงไปทำแท้งมันมีมากกว่าแค่ผู้ชายเป็นฝ่ายผิดครับ
ความกดดันจากสังคมรอบข้างมันมีเยอะกว่า
รุ่นพี่โรงเรียนผม ตอนอายุ15ไปทำเด็กโรงเรียนสตรีชื่อดังท้อง สมัยนั้นไม่มีทางออกอื่น เขาก็เลยไม่ทำแท้ง พ่อกับแม่และพ่อแม่แฟนไล่ออกจากบ้าน ก็ออกกันไปสองคน ผู้ชายไปขับวินมอเตอร์ไซค์ (ตอนนี้คงจะกลับบ้านเรียนต่อไปแล้วล่ะ)
นั่นคือสังคมกดดันจนเขาทั้งคู่ไม่มีทางออก ก็เลยต้องออกจากบ้าน (ไม่ใช่ไม่มีทางออกแล้วไปทำแท้ง)
จะเห็นว่าทางออกมันมีหลายทางสำหรับบางกรณี
แต่ในบางกรณี มีลูก5คนแล้ว ท้องคนที่6 จะให้ทำยังไงล่ะ.... ก็ต้องไปทำแท้ง
เพราะถ้าเด็กเกิดมา มันก็ไม่มีจะกิน
บางกรณี ผู้ชายผู้หญิงสมยอมกันไปมีอะไรกัน แล้วก็ไปกันคนละทาง... กรณีแบบนี้ไปทำแท้งแล้วจะไปหาผู้ชายที่ไหนมา
บางกรณี ก็สมยอมกัน แต่อายุยังน้อยกันทั้งคู่ สังคมไม่ยอมรับ เก็บเด็กไว้ก็ลำบากกันทั้งคู่
สังคมไทยก็ไม่ยอมรับการที่คนมีถุงยางในครอบครองเท่าไหร่.... เรียกว่า
ตราบใดที่เราไม่มีมาตรการช่วยเหลือมารดาที่ท้องตั้งแต่อายุน้อยหรือไม่พร้อม
ตราบใดที่สังคมไทยยังมีทัศนคติที่ไม่ดีและเลือกปฏิบัติ
ตราบใดที่ยังมีคนมือถือสากปากถือศีล เห็นถุงยางแล้วประณาม เห็นคนท้องก่อนแล้วด่าลูกเดียว
ก็ทำแท้งมันไปเถอะครับ เป็นความรับผิดชอบร่วมของสังคม ไม่ใช่แค่ของคู่นั้นๆ
ใช่คะ^^ ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงทำแท้ง มันมีมากกว่ากรณีที่ผู้ชายเป็นฝ่ายผิด
ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเราควรจะมีวิธีอย่างอื่นด้วย ที่จะแก้ปัญหานี้ นอกจากออกกฎหมายเพิ่มขึ้นมาเพื่อลงโทษผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กในท้องด้วย
เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับ ผู้หญิงมี่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม มาหลายเรื่องค่ะ
บางเรื่องก็อ่านไม่จบ (ร้องไห้ซะก่อน
) ก็เห็นว่ามันมีหลายสาเหตุมาก
-บางกรณีก็เป็นเพราะฐานะทางครอบครัวที่ไม่พร้อม คือบางคนที่จนอยู่แล้ว ขนาดเงินที่จะใช้กิน ยังแทบไม่มี ถ้าจะให้ไปซื้อถุงยาง+ยาคุม... ก็คงไม่มีเงินพอไปซื้อ แต่เรื่องsex มันคงห้ามกันยาก(ระหว่างสามีภรรยา) แล้วพอท้องขึ้นมา ก็คงไม่อยากให้เด็กเกิดมาในสภาพที่ฐานะครอบครัวไม่พร้อมแบบนั้น
-หรือถ้าเป็นกรณีถูกข่มขืนมา กระบวนการทางยุติธรรม บางทีก็ไม่อำนวยให้หญิงแจ้งความ เพราะเคยไปอ่านเจอว่า ตอนไปแจ้งความว่าถูกข่มขืน ตำรวจก็จะถาม ซักนู่นซักนี่ คิดดูว่าสภาพจิตใจของหญิงที่ถูกข่มขืนมาตอนนั้นเป็นยังไง แล้วยังมาโดนตำรวจซักแบบไม่ถนอมน้ำใจกันอีกจะเป็นยังไง แถมยังมีการถามอีกว่าตอนที่โดนน่ะรู้สึกมั้ย มีอารมณ์มั้ย...
ดูถามเข้าดิ งี้ใครเค้าจะไปพูดไรได้ ตอบไม่ได้ก็ไล่กลับบ้าน ไม่รับแจ้งความ ร้องทุกข์
แค่ผู้หญิงเค้ามาแจ้งความ เค้าก็อายจะแย่อยู่แล้ว แล้วยังจะต้องมาเล่าเรื่องให้ตำรวจผู้ชาย แถมซักซะละเอียดยิบอีก(ถึงจะทำตามหน้าที่ก็เถอะ)
มันน่าจะมีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง แล้วก็เป็นคนที่เรียนจิตวิทยามานะ จะได้รู้จักใช้คำถามที่ผู้หญิงจะสามารถตอบได้ อะไรพวกนี้น่ะ
แล้วพอผู้หญิงท้องขึ้นมาจะทำไงได้ เพราะการทำแท้งที่กฎหมายอาญากำหนดว่าไม่มีความผิด ตามมาตรา 305(2) ต้องได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 276,277,282,283 หรือ284แล้ว...
-แล้วก็ยังมีกรณีที่ผู้หญิงไปฉีดยาคุมที่โรงพยาบาลตลอดอีก แต่ก็เกิดผิดพลาดผู้หญิงเกิดตั้งท้องซึ่งเค้าก็ไม่พร้อมที่จะมีลูก แล้วคิดดูว่าไปฉีดยาคุมแล้วก็ยังท้องอีก อย่างนี้เค้าจะทำยังไงได้ แล้วก็มีกรณีที่ไปทำหมันแล้วเกิดท้องขึ้นมาด้วย ซึ่งก็ควรคิดหามาตราการตรงนี้ด้วย
แต่ว่าประเด็นที่พูดมา เพื่อนเค้าเอาไปเสนออาจารย์ก่อน ก็เลยต้องเอาประเด็นที่จะออกกฎหมายมาลงโทษผู้ชายด้วยน่ะ
คือ อย่างที่บอกว่ามันมีความผิดสำหรับผู้ใช้ ตัวการ ผู้สนับสนุน...อยู่แล้วในกฎหมายอาญา^^
มันถูกต้องแล้วจ้า ก็เลยคิดประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะว่าการทำแท้ง ก็เปรียบเสมือนการฆ่าคน แต่ที่ไม่ผิดฐานฆ่าคนเพราะยังไม่มีสภาพบุคคลตามกฎหมาย ยังไม่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก.....^^
เลยอยากจะให้มีการลงโทษผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบจนเป็นเหตุให้ผู้หญิงต้องทำแท้งด้วย
ผู้ชายจะได้ระวังตัวมากขึ้นไงคะ จะได้ไม่โยนความรับผิดไปให้หญิงที่ทำแท้งรับผิดแค่ฝ่ายเดียว
เป็นการออกกฎหมายขึ้นมาเพื่อคุ้มครองทารกในครรภ์มารดาอีกวิธีหนึ่ง นี่เป็นกรณีที่ชายไม่รับผิดชอบนะ แต่ถ้าชายพิสูจน์ได้ว่ารับผิดชอบแล้ว แต่หญิงไม่ยอมเอาเด็กไว้เอง ชายก็ไม่ควรต้องรับผิด หญิงคนนั้นควรจะต้องรับผิดฝ่ายเดียว^^
สังคมทุกวันนี้มันเสื่อมโทรมขึ้นทุกวัน สมควรแล้วที่จะต้องมีการปลูกจิตสำนึกกันขนานใหญ่
แต่อาศัยแค่จิตสำนึกยังไม่พอ ไม่งั้นคงไม่มีข่าวฆ่ากันตายลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวันแบบนี้
เพราะคนที่มีจิตสำนึกคงไม่ทำกัน คนบางคนก็ควรจะต้องได้รับโทษที่เค้าก็ให้เกิดบ้าง ไม่งั้นก็ไม่รู้จักหยุด ไปทำคนอื่นเค้าท้องไปทั่ว
เครียดไปรึเปล่านี่