เข้ามาอ่านตั้งแต่หน้าแรก รู้สึกเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น
เพิ่งทำใจได้ไม่นาน คิดถึงย่าิีอีกแล้ว
ใกล้วันแม่ นึกขึ้นมาได้ กลับบ้านครั้งล่าสุด
ขณะทานข้าวเย็นกันทั้งครอบครัว แม่ตูพูดขึ้นมาว่า
หม่อมแม่ : ตั้ม แม่ถามอะไรหน่อยสิ
ชายตั้ม : กำลังแกะปลาทู / อะไรเหรอแม่ ถามมาดิ
หม่อมแม่ : ถ้าแม่ตายไปนะ . .. .. . . (พูดไปเรื่อย ฟังไม่ได้ศัพท์์)
ชายตั้ม : (ปลาทูแทบพุ่งออกมาจากทางจมูก) อะไรนะแม่
หม่อมแม่ : ถ้าแม่ตายไป ให้เอาศพแม่บริจาคให้มหาวิทยาลัยนะ
ชายตั้ม : อึ้ง !!!!! อึ้งอยู่พักนึง / แล้วมาพูดอะไรตอนนี้เนี่ย คนกำลังกินข้าวววว
หม่อมแม่ : ก็แม่จะพูดมานานแล้ว วันนี้อยุ่พร้อมหน้ากัน ก็เลยถามเราก่อน พี่ชายคนโต
ชายตั้ม : จริงๆไม่อยากจะพูดนะเรื่องแบบนี้ ไหนๆก็จะคุยแล้ว ตั้มถามหน่อยว่า แม่รู้รึเปล่าว่าเค้าจะเอาแม่ไปทำอะไรมั่ง
หม่อมแม่ : ไม่รู้ รู้แต่ว่าเดี๋ยวน้องหมอเค้าจะเอาไปเรียน
ชายตั้ม : รู้แค่นี้ใช่มั๊ย
เค้าต้องเอาไปดองก่อนนะ แล้วก็เล่าให้แม่ฟัง (กบนอกกะลา)
หม่อมแม่ : อ้าวเหรอ (ทำท่าคิด) แม่ว่า มันดีกว่าที่แม่จะต้องไปนอนรอในหลุมรอเตี่ย หรือให้เตี่ยนอนรอ เหมือนกับย่่าที่รอก๋งนะ (ที่บ้านนับถือคริสต์)
เตี่ย : หันมาค้อนควับนึงตรงที่แม่บอกว่า ไม่อยากให้เตี่ยนอนรอ
หม่อมแม่ : แม่คิดว่ามันเป็นประโยชน์กว่ามาก อีกอย่าง แม่เป็นคนไม่ชอบทำบุญมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม่ก็คิดว่าแม่จะทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการทำบุญน่ะ เราเห้นว่ายังไงล่ะ
ชายตั้ม : แล้วแม่คุยกับเตี่ยรึยัง
หม่อมแม่ : ยัง
เตี่ย : หันมาทำหน้าไม่รู้เรื่อง แล้วก็ทำท่าเหมือนจะว่าแม่ว่าเมาแล้ว พูดเยอะเกินไปแล้ว
ชายตั้ม : ไม่รู้เหมือนกันน่ะแม่ แต่ถ้าแม่อยากให้เป้นแบบนั้นก็แล้วแต่นะ ตั้มไม่ได้อะไรนะ แล้วแม่ไม่คิดจะบริจาคตาหรืออวัยวะเหรอ อันนั้นน่าจะดีกว่านะ
หลังจากนนี้ก็ถกเถียงกันในบ้านกันใหญ่ ว่าถ้าบริจาคอวัยวะแล้ว ยังสามารถให้ร่างกายไปเป็นอาจารย์ใหญ่ได้หรือไม่ (กลายเป็นเรื่องสนุกไป)
ปากก็พูดไปแบบนั้นแหละ เรื่องยอมให้ตามใจแม่แต่ในใจ เครียดทีเดียว สำหรับตูก้แล้วแต่แม่จริงๆนะ แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำใจได้ขนาดไหน จะรับได้หรือไม่ถ้าเค้าจะาเอาแม่ไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนี่ย ทำให้เข้าใจระดับนึงเลย สำหรับคนที่บริจาคร่างกายตัวเอง เพื่อให้เป็นอาจารย์ใหญ่่ เข้าใจลูกๆและญาติๆ ของท่านเหล่านั้นระดับหนึ่ง
ตั้งแต่วันนั้นรู้เลยว่า แม่ตูเนี่ยเจ๋งจริงๆ
รักแม่นะ