แค่ 5 ปี ลุงยังสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ แล้วถ้าลุงจะอยู่อีก 5 สมัย 20 ปี ประเทศไทยคงเหลือแต่ลุงและพรรคพวกกลุ่มเดียวมั้ง
รอยร้าวของสุวรรณภูมิ กับ ฝันร้ายของ 'นักข่าวมืออาชีพ' โดย ผู้จัดการรายวัน 30 มกราคม 2550 03:36 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000011467 วันนี้ใบหน้าของ 'เป๊ปซี่' เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ ดูสดชื่นขึ้นและในบางจังหวะพอจะเปื้อนด้วยรอยยิ้มบ้าง แต่ขอบตาของเขาก็ยังคงรื่นด้วยน้ำตาแห่งความปีติ หลังจากในช่วงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เขาต้องตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหา ผู้กุข่าวเรื่องรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิร้าว ...
หากใครยังจำได้ก่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิจะเปิดอย่างเป็นทางการราวหนึ่งปีกว่า หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2548 และวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2548 ได้พาดหัวข่าวตัวใหญ่ถึงเรื่องปัญหารันเวย์ร้าวของสนามบินสุวรรณภูมิจนเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ทั้งข่าวดังกล่าวยังส่งผลกระทบในระดับประเทศจนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้นต้องออกมาแก้ข่าวกันเป็นพัลวัน ทั้งนี้นายพงษ์ศักดิ์ในฐานะเจ้ากระทรวงผู้รับผิดชอบโครงการสนามบินสุวรรณภูมิยังถึงกับสั่งให้กระทรวงคมนาคมเดินหน้าฟ้องร้องหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์อีกด้วย
"เราจะฟ้องเพื่อให้เป็นหลักฐานให้ปรากฏแก่ทั่วโลกว่าสื่อฉบับนี้มีความผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร และเราต้องการให้เขาแก้ข่าวไปทั่วโลกด้วย เพราะทำให้เสียหายมาก" นายพงษ์ศักดิ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังจากข่าวรันเวย์สุวรรณภูมิร้าวที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันที่ 9 สิงหาคม 2548 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชื่อเสียงของรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ
"พอข่าวออกไป ได้ยินว่าคุณทักษิณโกรธมาก และสั่งให้มีการไปสืบค้นมาว่าคนเขียนข่าวชิ้นนี้เป็นใคร" เสริมสุข อดีตหัวหน้าข่าวสายความมั่นคงของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์กล่าว
หลังจากกระแสข่าวการประกาศว่าจะฟ้องร้องหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ออกมาได้ไม่นาน บริษัทโพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ก็ประกาศไล่ผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการออกสองคน หนึ่งคือ เสริมสุข และ นายชฎิล เทพวัลย์ บรรณาธิการข่าวออก ในวันที่ 29 สิงหาคม 2548 ขณะเดียวกับกลับไม่แตะต้องนายเดวิด อาร์มสตรอง รักษาการบรรณาธิการบริหารที่นั่งอยู่ในที่ประชุมข่าวและมีส่วนตัดสินใจในการลงข่าวชิ้นดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้การไล่ออกนักข่าวเก่าแก่ที่ทำงานและอุทิศตัวให้กับหนังสือพิมพ์มากว่า 20 ปีดังกล่าว ได้สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับบรรดาพนักงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รวมถึงนักข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นเป็นอย่างมาก จนนักข่าวของบางกอกโพสต์นัดกันแต่งชุดดำเพื่อประท้วงผู้บริหาร
"ผมทำงานสายการเมือง-สายทหารมานานมาก เสี่ยงชีวิตให้กับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาก็ไม่น้อย ยกตัวอย่าง ในปี 2520 กว่าๆ เมื่อตอนที่ผมทำข่าวเกี่ยวกับภาคใต้ ผมขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของแม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นไปทำข่าว แล้วก็มีพวก จคม. (โจรจีนคอมมิวนิสต์) ดักยิงเฮลิคอปเตอร์เกือบตก ถ้าวันนั้นเครื่องบินตกผมก็คงตายไป ส่วนครอบครัวของผมก็คงไม่ได้ค่าชดเชยอะไรมากนัก การทำงานข่าวเสี่ยงภัยของนักข่าวสายทหารอย่างผม นักข่าวไม่เหมือนพนักงานขายที่ได้ค่าคอมมิชชั่นถ้าขายของได้ ในทางกลับกันถ้าข่าวดีหนังสือพิมพ์ก็เครดิต นักข่าวไม่ได้อะไรเลย
"ถึงข่าวของผมจะไม่ถูกต้องจริงๆ แต่การที่ประวัติผมขาวสะอาด ไม่เคยทำผิดพลาดในกรณีอย่างนี้มาก่อน เขาก็ควรจะใช้วิธีตักเตือนเสียก่อน มิใช่ไล่ออกเลย" เสริมสุขเล่าทบทวนความทรงจำและความเจ็บปวดบางส่วนของชีวิตให้เราฟัง
สำหรับเบื้องหลังในการตัดสินใจลงข่าวเรื่องรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิร้าว ชนวนที่ทำให้เขาถูกบริษัทไล่ออกนั้น เสริมสุขเล่าว่าในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม เมื่อเขาระแคะระคายเรื่องรันเวย์ร้าวจากแหล่งข่าว เขาก็พยายามจะตรวจสอบความถูกต้องของข่าวจากหลายแหล่ง รวมถึงโทรไปขอให้ 'เจ๊ยุ' ยุวดี ธัญญสิริ นักข่าวอาวุโสสายทำเนียบของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ช่วยตรวจสอบกับนายกรัฐมนตรีในช่วงเย็น อย่างไรก็ตามเนื่องจากวันนั้นเป็นวันศุกร์ แหล่งข่าวหลายแห่งก็ติดต่อไม่ได้ ดังนั้นในการประชุมข่าวช่วงหัวเย็นเขาจึงเอาเรื่องนี้เสนอเข้าในที่ประชุมเพื่อให้ช่วยกันตัดสินใจว่าจะเอาข่าวชิ้นนี้ลงหรือไม่
"ผมเอาข่าวชิ้นนี้กลับไปที่โต๊ะข่าว เอาเข้าไปเสนอบนโต๊ะและบอกว่ามันน่าสนใจ เพราะเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิก็มีคนรู้อยู่แล้วว่ามันอื้อฉาวเป็นกรณีพิพาท ทุกคนก็คิดว่าต้องเอาข่าวนี้ลงเพราะถือว่าเป็นหน้าที่สื่อมวลชน เป็นการตัดสินใจร่วมกันกับทุกคนที่โต๊ะข่าว ทั้งบก.ข่าว ผม คุณชฎิล ขณะที่คุณเดวิด อาร์มสตรอง ซึ่งตอนนั้นนั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นประธานในที่ประชุมด้วย คือเป็นการตัดสินใจร่วมกัน"
**ระบอบทักษิณแทรกสื่อ
หลังจากถูกไล่ออก เสริมสุขก็ไม่ยอมแพ้ต่อการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของนายจ้าง โดยได้ร้องต่อศาลแรงงานโดยกล่าวหาว่า บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง นั้นเลิกจ้างตนอย่างไม่เป็นธรรม โดยประเด็นที่เสริมสุขนั้นยกขึ้นมาต่อสู้นั้นมีอยู่สองประเด็นก็คือ ความรับผิดชอบของ นายเดวิด อาร์มสตรอง บก.บริหาร ที่มีส่วนตัดสินใจในการลงข่าวทั้งสองชิ้นด้วย และการแทรกแซงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์จากฝ่ายการเมือง
ทั้งนี้ก่อนหน้าที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์จะลงข่าวเรื่องรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิมีรอยร้าวในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 2548 นั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักข่าวว่า เสริมสุขนั้นตกอยู่ในบัญชีดำสื่อมวลชนของทางรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้ว
"ปี 2547 รัฐบาลทักษิณถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงมากจากกรณีปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นกรณีกรือเซะ หรือตากใบ ผมในฐานะนักข่าวที่ทำข่าวทางภาคใต้ก็กล่าววิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณมาตลอด วิจารณ์จนเป็นที่จับตา
"เจ๊ยุ (ยุวดี ธัญญสิริ) เคยเล่าให้ผมฟังและกล่าวยืนยันในศาลด้วยว่าการที่บริษัทโพสต์ไล่ผมออกนั้นเป็นเรื่องการเมือง เพราะก่อนหน้านั้นคนผมขาวใกล้ตัวนายกฯ ก็เคยมาเลียบๆ เคียงๆ ถามแกว่า คนที่เขียนคอลัมน์อินไซด์พอลิติก (Inside Politics) ของบางกอกโพสต์นั้นเป็นใคร ใช่ผมหรือเปล่า" นายเสริมสุขเปิดเผย
มากไปกว่านั้นข่าวสายความมั่นคงของบางกอกโพสต์ก็ยังเคยขุดคุ้ยเบื้องหลังการซิกแซกการเกณฑ์ทหารของ นายพานทองแท้ ชินวัตร จนสร้างความไม่พอใจให้กับบิดาของนายพานทองแท้เป็นอย่างมากอีกด้วย
"เมื่อได้โอกาสเขาเลยกระทืบผมทันที ..." เป๊ปซี่ให้ความเห็น
ขณะเดียวกันมีแหล่งข่าวระบุเช่นกันว่า บริษัทโพสต์ พับลิชชิ่ง ที่ในขณะนั้นนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหารก็ยอมให้การเมืองเข้าแทรกแซงการบริหารหนังสือพิมพ์อย่างหนัก โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดก็ถือการต่อสายผ่านนายสุรนันท์ เวชชาชีวะเข้ามาทางนาย นายศุภกร เวชชาชีวะ (บุตรเขยของนายสุทธิเกียรติ) ที่ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทให้เข้าแทรกแซงการนำเสนอข่าวของกองบรรณาธิการและมีส่วนตัดสินใจไล่นักข่าวทั้งสองคนออก
การแทรกแซงและการกลั่นแกล้งสื่อมวลชนโดยทางการเมืองในกรณีทุจริตสนามบินสุวรรณภูมินั้นไม่ได้เกิดขึ้นในกรณีนี้เป็นกรณีแรก แต่เมื่อหลายปีก่อนเมื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันนำเรื่องการทุจริตการถมทรายของสนามบินหนองงูเห่า (สุวรรณภูมิ) มาเปิดเผยหนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เคยถูกการเมืองเล่นงานมาแล้ว
"ปี 2540 พอหนังสือพิมพ์ผู้จัดการลงข่าวเรื่องการทุจริตการถมทรายในสนามบินหนองงูเห่าก็โดนฟ้องทันที ฟ้องกันทั่วประเทศเลย ทั้งที่ จ.สุโขทัย 0”สุราษฎร์ธานี ฟ้องกันจนขึ้นเครื่องบินกันเป็นแถวทั้งคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) ทั้งผมนะ ขึ้นเครื่องบินไปที่สุโขทัย โจทย์ก็คือสมศักดิ์ เทพสุทิน ..." นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการกล่าว
**เมื่อความจริงปรากฏ
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากข้อเท็จจริงเรื่องการร้าวของแท็กซี่เวย์ และรันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมิปรากฏต่อสายตาสาธารณชน ตราบาปของการเป็นสื่อมวลชนไม่รักชาติที่เสริมสุข เคยถูกตราหน้าจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีก็มลายหายไปทันที ซึ่งนั่นก็หมายความถึง สภาวะทางจิตใจที่ดีขึ้นและการต่อสู้คดีที่ง่ายขึ้นด้วย
“ตอนนี้คดีของผมอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลแรงงาน ที่ผมฟ้องบางกอกโพสต์ โดยในวันที่ 6 ถึง 8 มีนาคมนี้จะเป็นการสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายแล้ว ที่ผ่านมาก็ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน เช่น พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์, ‘อ.ป๋อง’ พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร, ‘เจ๊ยุ’ ยุวดี ธัญญสิริ ที่ช่วยมาเป็นพยานให้ เสร็จจากนั้นก็เป็นการสืบพยานจำเลย” เสริมสุขกล่าว
เมื่อถามถึงแนวโน้มในการต่อสู้คดีและช่วงเวลาในการตัดสินคดี อดีตหัวหน้าข่าวสายความมั่นคงของบางกอกโพสต์กล่าวว่า “ก็คงแล้วแต่การพิจารณาของท่านผู้พิพากษาที่จะดูตามพยาน หลักฐาน ส่วนข้อสรุปของคดีก็น่าจะตัดสินได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ปีนี้ ซึ่งก็แล้วแต่ศาลท่านอีกเช่นกันว่าจะพิจารณาเร็วหรือช้า”
ขณะเดียวกันก็ใช่ว่าบางกอกโพสต์จะเป็นผู้เสียประโยชน์ถ่ายเดียวจากการที่ความจริงเกี่ยวกับรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิปรากฏ เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง เช่นกันจากคดีที่บริษัทตกเป็นจำเลยถูกบริษัทท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ (บทม.) ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและความผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484
โดยในกรณีดังกล่าว นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง และนายโกวิท สนั่นดัง บก.ผู้พิมพ์โฆษณาของบางกอกโพสต์ ให้ความเห็นว่า การเปิดเผยข้อเท็จจริงถึงปัญหาแตกร้าวของรันเวย์และแท็กซี่เวย์ ในสนามบินสุวรรณภูมินั้นนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อฝ่ายจำเลย เพราะถือว่าข้อเท็จจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามีปัญหาแตกร้าวจริง
นอกจากนี้นายสุวัตรยังกล่าวถึง แนวทางการต่อสู้คดีต่อไปด้วยว่า ฝ่ายตนจะนำสืบเพื่อให้ศาลเห็นว่ามี การทุจริตเกิดขึ้นในการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเมื่อนำมาประกอบกับข้อเท็จ จริงที่เป็นที่ประจักษ์แล้วเชื่อว่าจะทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยได้เสนอข่าวไปตามความ เป็นจริง ตามหน้าที่ของสื่อมวลชนไม่ได้หมิ่นประมาทหรือใส่ความโจทก์ตามฟ้อง
ในส่วนของเสริมสุขเมื่อถูกถามถึงการกลับเข้าทำงานในบางกอกโพสต์ หนังสือพิมพ์ที่เขาผูกพันและทุ่มเทชีวิตให้มาหลายสิบปี เขากล่าวว่า ถ้าบริษัทให้กลับเข้าทำงานจริง ตนก็มีเงื่อนไขว่าจะต้องให้เอาบรรณาธิการข่าวคือ ชฎิล เทพวัลย์ กลับเข้าทำงานด้วย
“เหตุการณ์ที่ผ่านมาพี่ชฏิลได้ใจผมมาก เขาไม่เคยบ่นกับผมว่า เอาข่าวอะไรมาลงจนทำให้เขากับผมถูกไล่ออก ไม่เคยเลย ... บริษัทเคยเสนอเงินชดเชยให้ผม 3 ล้านบาท เพื่อที่จะต้องการให้เรื่องนี้จบๆ ไป แต่ผมไม่สนใจเรื่องเงิน ผมอยากให้คดีนี้ถึงที่สุด มีคำตัดสินออกมา ซึ่งไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะเป็นเช่นไร ผมคิดว่าผมได้ต่อสู้ให้คนในวิชาชีพนี้แล้ว และก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักข่าวรุ่นหลัง เป็นกรณีศึกษาให้กับพวกเขาต่อไป” เสริมสุขกล่าวทิ้งท้าย.
ไม่แน่ใจว่ารอยร้าวที่บางกอกโพสต์รายงานตอนนั้น จะเป็นรอยร้าวเดียวกับตอนนี้หรือเปล่า