หน้า: 1 2 [3] 4
 
ผู้เขียน หัวข้อ: แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง  (อ่าน 15067 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
อยากเป็นมั่งอ่ะครับหมอ
ตอนนี้เป็นได้แค่มนุษย์เงินวันอ่ะ
บางวันก็ได้ตรง บางวันก็ได้ช้า
บางวันโดนหลอกไปทำงานฟรีๆเลยก็มี
พักนี้ยิ่งไม่ค่อยมีงานอีก
ไม่มีงาน ไม่มีเงิน
ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีประกันสังคม
ไม่มีไรสักอย่าง
 ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

My Life, My Pride, is Broken
นักวิชาการพยายามบอกว่า
สถานการณ์การเมืองที่เห็นๆ อยู่นี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรมากมายกับการโตหรือหดของเศรษฐกิจช่วงนี้
ผมจะเชื่อได้แค่ไหนครับว่ามันเป็นการปลอบใจ หรือเป็นข้อมูลที่เชื่อได้?
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
นักวิชาการพยายามบอกว่า
สถานการณ์การเมืองที่เห็นๆ อยู่นี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรมากมายกับการโตหรือหดของเศรษฐกิจช่วงนี้
ผมจะเชื่อได้แค่ไหนครับว่ามันเป็นการปลอบใจ หรือเป็นข้อมูลที่เชื่อได้?

มันก็มีทั้งเชื่อได้ และเชื่อไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบส่วนไหนมาวิเคราะห์ ตอนนี้เศรษฐกิจมันเป็นแบบโลกาภิวัฒน์ เกิดความไม่แน่นนอนที่หนึ่งมันก็จะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก เมื่อเช้าเดินผ่านร้านหนังสือพิมพ์ เห็นมีพาดหัวข่าวเรื่องเช็คเด้ง โดยฉพาะในธุรกิจก่อสร้าง และรับเหมา ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณแรก ๆ ที่ส่งออกมาว่าสภาพคล่องของธุรกิจกำลังมีปัญหา ดังนั้นใครรับเช็คก็ระวังหน่อย

บทความนี้จากกรุงเทพธุรกิจ ลองติดตามดู แนวโน้มของโลกไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัวเลย ตราบเท่าที่เรายังต้องใช้น้ำมัน อินเตอร์เน็ต หรือกินแมคโดนัล
 
"ดอกเบี้ยขยับทั่วโลก"สัญญาณกะพริบถึงธปท. 
http://www.bangkokbiznews.com/2006/08/06/v001_126334.php?news_id=126334

แอบอ้าง
4 สิงหาคม 2549 16:07 น.
หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :      เนื่องจากเห็นว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วตลาดการเงินระหว่างประเทศ ท่ามกลางความวิตกถึงสถานการณ์การคุมเข้มนโยบายสินเชื่อของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำว่าจะยังไม่ยุติลงง่ายๆ เพราะเหตุผลหลักในการขึ้นดอกเบี้ยของอีซีบีครั้งนี้ อยู่ที่การควบคุมเงินเฟ้อเป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจยุโรปยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเริ่มมีผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลง และการลงทุนในภาคเอกชนหดตัวลง

อีซีบี ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา 0.25% เป็น 3% ถือเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าอีซีบีพร้อมที่จะคุมเข้มสินเชื่ออีก 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำในปีนี้ คาดว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดีดตัวขึ้นไปยืนที่ 3.5% ในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาคำพูดของนายฌอง-คล็อด ทริเชต์ ประธานอีซีบี ที่ว่า นโยบายการเงินของยุโรปขณะนี้ยังนับว่าผ่อนคลายอยู่มาก ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษสร้างความประหลาดใจด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% เป็น 4.75% พร้อมระบุว่าถึงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายสินเชื่อแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่งและเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวของอีซีบีและธนาคารกลางอังกฤษถือว่าสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกขาขึ้น เฉพาะเดือนที่แล้วเพียงเดือนเดียว มีธนาคารกลางถึง 15 แห่งทั่วโลก ที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 6% ในต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในการประชุมคณะกรรมการเอฟโอเอ็มซีที่จะมีขึ้นในวันอังคารสัปดาห์หน้า (8 ส.ค.) ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมประจำเดือนกรกฎาคมจะออกมาในรูปใด

เราเห็นว่าที่ผ่านมา แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะมีการเติบโตและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรับมือกับต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่การปรับตัวขึ้นในระยะยาวของราคาน้ำมันเริ่มส่งผลกระทบรุนแรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากคาดการณ์ว่า การปรับตัวของราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากผลพวงราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และบรรยากาศการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนก็พลอยได้รับผลกระทบกระเทือนไปด้วย แนวรบทั้ง 2 ด้านนี้กำลังคุกคามให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างโลกชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐและยุโรป

กระแสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลก เป็นสัญญาณที่กะพริบไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า จะดำเนินนโยบายสินเชื่ออย่างไรต่อไป เนื่องจากไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้บริหาร ธปท. ได้แสดงท่าทีที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับเดิมต่อไปเมื่อระบุว่าภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังช่วยผ่อนคลายแรงกดดันเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หากธนคารกลางสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กัน จะส่งผลให้เกิดช่องว่างอัตรามากขึ้น ระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยต่างประเทศ อาจนำไปสู่การถอนเงินลงทุนออกจากตลาดไทยไปยังตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในไตรมาสที่ 2

และแถมอันนี้ อัตราเงินเดือนของมนุษย์เงินเดือนในไทย ของปี 2006 เพื่อนส่งมาให้ ไม่รู้มันได้มาจากไหนเหมือนกัน

http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=48B7E683583EA278

บันทึกการเข้า

[ว่างให้เช่า]






Kelly เขาไปสำรวจเฉพาะบริษัทน้ำมันกับบริษัทฝรั่งหรือเปล่าครับ


ฐานเงินเดือนสูงโอเวอร์


บันทึกการเข้า

งบน้อย
ไม่รู้เหมือนกัน อุ้ยลองเอาผลสำรวจนี้ไปให้เจ้านายดูแล้วกัน แล้วลองถามว่า ทำเงินเดือนผมหายไปหรือเปล่า  (อิอิ)

แต่ดูจากอายุงานที่สำรวจมัน 2-5 ปีนะ ไม่ใช่สำหรับเด็กจบใหม่ ถ้าเงินเดือนเริ่มต้น 18,000 บาท เงินขึ้นปีละ 10%
เริ่มต้น 18,000
ปีที่ 1 18,000 + 1,800 = 19,800
ปีที่ 2 19,800 + 1,980 = 21,780

ก็น่าจะใกล้เคียงนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจุบันเด็กจบใหม่เงินเดือนเริ่มต้นกันเท่าไหร่
บันทึกการเข้า

[ว่างให้เช่า]






สำหรับสายงานโทรคมนาคมและไอที

อยู่โรงงาน 19000

อยู่ออฟฟิศ 18000 ครับ


บันทึกการเข้า

งบน้อย
แล้วแต่บริษัทครับ ของผมเริ่ม 19500 เพื่อนทำมา 1 ปี ตอนนี้มันได้ 25000 นิดๆแล้ว ไอ้มืดหมี
บันทึกการเข้า

เงินเดือนดีกันจริง  เหลือบ

ตูไม่มีเงินเดือน  ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

Today you , Tomorrow me.
เดี๋ยวนี้ฐานเงินเดือนเด็กจบใหม่สูงขึ้นกว่า 4 5 ปีก่อนใช้ได้นะครับ  เจ๋ง
บันทึกการเข้า






แล้วแต่บริษัทครับ ของผมเริ่ม 19500 เพื่อนทำมา 1 ปี ตอนนี้มันได้ 25000 นิดๆแล้ว ไอ้มืดหมี


 ฮือๆ~


บันทึกการเข้า

งบน้อย
ผมนี่ จบใหม่ๆครับ เงินเดือนศูนย์บาท 555 กร๊าก
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
แล้วโตขึ้นเด็กๆ ที่กำลังอยู่ม.ปลาย จะเลือกเข้าคณะไหนดี

แล้วเราจะเดาเศรษฐกิจอีก 4 ปีได้อย่างไรเนี่ย   งง
บันทึกการเข้า

เยิ้ม ...  หยุดปั่น
เคยได้ยินดร.ทณชาติพูด(เคยเป็นที่ปรึกษาของกระทรวง ICT ตอนนี้ไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัท sun ไอ้มืดหมี) ว่าตอนนี้ programming เริ่มตันแล้ว ถ้าจะให้คาดการคงเป็นงานด้านนาโนเทคโนโลยีที่น่าจะบูมในอีก 4 - 5 ปีข้างหน้า ไอ้มืดหมี
บันทึกการเข้า

เชื่อว่าตราบใดที่ทักษิณยังอยู่ในตำแหน่ง ยังครองบรรลังก์จะไม่มีการปล่อยให้เกิดฟองสบู่แตก ตาแม้วจะเลี้ยงให้โตวันโตคืน พอหมดวาระเปลี่ยนมือย้ายพรรคก็ได้เวลา โป๊ะ!สบู่แตกแล้วจ้า

สำหรับปลายปีที่เหลือนี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งมากคนนึง (อาจารย์ที่ปรึกษาตัวเอง) ท่านมักวิเคราะห์วิจารณ์(ด่า/เมาท์)ให้ฟังในคาบเรียนทุกครั้ง "ปีนี้ถึงต้นปีหน้าเศรษฐกิจยังดิ่งลงเหว ยิ่งเลื่อนการเลือกตั้งไปพย. ไม่ต้องหวังลืมตาอ้าปากกันหรอก" บลาๆๆๆ พร้อมคำด่าสรรเสริญบุคคลหนึ่งที่ออกมาโฆษณาสไตล์โทนาฟ

ท่านให้ข้อคิดมาว่า
- ใครที่เอาเงินไปฝากแบงค์ใหญ่ๆ ภาพลักษณ์ดูดี ระวังให้ดีนะ ภาพลักษณ์ที่ดูดีมั่นคงแข็งแรงมันเป็นเพียงภาพลวงตา ถ้าวันใดประเทศชาติเกิดเหตุวินาศสันตโรขึ้นมา ไอ้แบงค์ใหญ่ๆ นี่แหละจะตายก่อนเพื่อน

- ลองคำนวนให้ดีว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับกับอัตราเงินเฟ้อประเทศไทย มันขานรับกันหรือไม่....แนะนำว่าเก็บเงินสดดีกว่าฝากแบงค์ (แต่อย่างปาล์มไม่ได้ทำธุระกิจอะไรก็ฝากแบงค์เหมือนเดิมแหละ เอาไว้กับตัวไม่งอกเงยแถมจะหมดได้ง่ายๆด้วย)

- จังหวะต่อไปของเศรษฐกิจขาลงจมเหว ใครร่ำรวยมีเงินเย็นๆ เก็บในมือ เป็นจังหวะดีที่จะซื้อที่ทางอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าจะได้ราคาถูกแสนถูก แต่ก็ขอให้ดูแนวโน้มคนที่จะมานั่งแท่นนายกต่อไปด้วยว่าจะช่วยชาติให้ดีขึ้นหรือฉุดลงเหวกว่าเดิม

- ไอ้ที่ออกมาโฆษณา ละอายแก่ใจบ้างมั้ย? ด่าเขาอยู่ปาวๆ แล้วก็เอานโยบายเขามาล้อตามหมด เอาชื่อตัวเองมาขายมีหัวคิดรึป่าว <-- อันนี้ไม่เกี่ยว

จบข่าว  ไอ้มืดหมี
บันทึกการเข้า
อ่านมาตั้งแต่หน้าแรก

มึนสุดๆๆ มึนตึ้บ
บันทึกการเข้า

ทหารเกณฑ์
หน้า: 1 2 [3] 4
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!