วันนี้ผมพบประสบการณ์เฉียดตายวันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ความรู้สึกเฉียดตายของผมให้ฟัง
วันนี้ เวลาประมาณ บ่าย4โมง ใครที่ได้โดยสารรถเมลล์สาย 104จากเดอะมอลล์งามวงศ์วาน เพื่อกลับบ้าน
ณ ป้ายรถเมลล์ตรงข้ามวัดชลประทาน ถนนเส้นระหว่างแยกแคลาย ไปยัง 5แยกปากเกร็ด
คงจะได้ประสพเหตุการเดียวกับผม เหตุการจากพวกเดนนรกที่คุ้นชินตามสื่อต่าง
"อันธพาล ยกพวกตีกันบนรถเมลล์"ผมไม่ขอเรียกพวกมันว่านักเรียน หรือนักศึกษา พวกมันคือปิศาจในหมู่มนุษย์สุจริตชน อย่างคุณ อย่างผม
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากครับ หลังจากรถเมลล์เทียบป้าย เสียงของชายคนหนึ่งด้านล่าง ตะโกนโหวกเหวก ด่าทอด้วยเสียงอันดัง ผมซึ่งนั่งอยู่บริเวณกลางคันรถ หันไปมองตามเสียง เห็นภาพชายในเสื้อชอปคนหนึ่งกำลังชูอาวุธยาว เดินชี้มาทางรถเมลล์พร้อมพวกตามหลังมาอีก 2-3คน เพื่อจะเดินขึ้นมาทางประตูหลัง
ดาบ? มีด? ไม้? อะไรก็ช่างเถอะครับ เสี้ยววินาทีนั้นในใจผมคิดอย่างเดียวว่าเกิดเรื่องแล้ว ภาพข่าวอันธพาลตีกันแล้วคนบริสุทธิโดนลูกหลงผุดมาในหัวแบบเร็วมาก
ผมลุกขึ้น แทรกตัวผ่านฝูงชน หวังจะหนีออกจากรถ ออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด
มีด? ปืน? ระเบิด? อะไรไม่รู้ล่ะครับผมคิดไปเรื่อยผมแหวกฝูงชนที่กำลังเริ่มขยับตัว มีเสียงคนกรีดร้องด้วย ผมกลัวมาก
ในขณะที่อยู่ตรงประตูรถ รถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าครับ
ผมล้ม
ล้มลงข้างรถ
เสี้ยววินาทีนั้น ผมนึกถึงพ่อกับแม่ เหมือนในหนัง ในนิยาย ผมก็เพิ่งเคยเจอความรู้สึกแบบนี้กับตัวเอง ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งแต่นี่คือเรื่องจริง
เสี้ยววินาทีต่อมาผมหันหลังกลับ เห็นล้อรถเมลล์กำลังวิ่งมาใกล้
และผ่านตัวผมไป ผมไม่โดนทับ
ถ้าผมขยับออกไปอีก10ซม. ผมอาจจะพิการ
ถ้่้าขยับอีก 30 ซม. ผมตายแน่นอนในวินาทีนั้นก่อนที่จะรู้ตัวว่าล้อรถผ่านไปแล้ว
ช่วงที่ล้มลง แล้วคิดว่า จะโดนรถเมลล์ทับหรือเปล่า
ผมระลึกความรู้สึกได้อย่างหนึ่ง
"เรากำลังจะตาย"
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง
"เรากำลังจะตาย"
ผมไม่เคยคิดเลยว่าวินาทีที่คำๆนี้จะมาเกิดกับตัวเองในวันนี้
ภาพที่เห็นล้อรถวิ่งมาอย่างช้าๆ ใกล้เข้ามาๆ
คิดถึงพ่อแม่
แล้วก็เห็นภาพ รายการถึงลูกถึงคน เห็นสรยุทธด้วย เห็นภาพพ่อกับแม่ไปออกทีวี ร้องไห้วินาทีที่ล้อรถอยู่ระดับเดียวกับสายตาผม ผมเห็นภาพตัวเองสูญสิ้น
คือเป็นความรู้สึกประมาณว่า มโนภาพเห็นจอดำๆ เหมือนจอทีวีดับ แต่สายตาจริงๆก็ยังเห็นสิ่งรอบข้างครับ แต่เหมือนภาพในหัวมันเห็นเหมือนจอดับ เหมือนจินตนาการถึงความตาย จินตภาพถึงเวลาตัวเองดับสูญไป
กลัวจนตัวแข็งทื่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
หลังจากรู้ตัวว่าตัวเองยังไม่ตาย
ผมลุก แล้วหันหลังวิ่ง
รองเท้าหลุด วิ่งไม่คิดชีวิต วิ่งไปข้างหน้าสุดแรง มือก็ยังหวงสมบัติ ถือกระเป๋าเป้ที่มีแค่ สมุดหนังสือไม่มีราคา
ข้างหน้าผมก็มี วัยรุ่น2คนวิ่งนำอยู่ก่อน ผมก็ไม่แน่ใจว่า 2 คนนี่เกี่ยวกับการตีกันนี้หรือเปล่า จึงหันกลับไปดูว่ามีใครวิ่งตามมาไหม ปรากฏว่าไม่มีใครตามมา
ผมจึงหยุดวิ่ง
เหตุการณ์รวมทั้งหมด คิดว่าไม่ถึง 20วินาทีครับ ถ้านับเวลาจากในรถ จนลุกขึ้นวิ่งน่าจะไม่เกิน 5-6วินาที
แล้วค่อยๆกลับไปที่เกิดเหตุกับวัยรุ่นตีนไวอีก2ท่าน
ก็เจอป้าคนนึง ล้มบาดเจ็บจากการตกรถเมลล์เหมือนกับผม
พวกมันหายไปหมด
รถเมลล์ก็ไปแล้ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมก็ยืนทำใจอยู่พักนึง ตั้งสติ จ้องหน้ามองกันกับผู้เสียหาย 4คน
คนเราเวลาเจอภัยพิบัติ มันจะรู้สึกรวมกลุ่มกันได้ง่ายๆแบบนี้เอง ผมพูดๆๆๆๆสิ่งเกิดขึ้นเหมือนอยากระบายออก
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้าย
หลังจากผมไปร้านขายยา ทำแผลตัวเองเสร็จ ก็โทรหา 191
ครั้งแรก บอทตามสายบอกว่าคู่สายเต็ม ไม่มีคนรับ
รออีก 10นาที โทรไปอีกรอบ จึงมีคนรับ
และได้แจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ไปตามที่เห็น
หลังจากนั้นก็รีบไปหาเพื่อน นั่งกินข้าวกันเพื่อยืนยันว่านี่เราไม่ได้เป็นวิญญาณใช่มั้ย เรายังมีชีวิตอยู่ เล่าเรื่องที่ผ่ามาเหมือนเรื่องตลก
สรุป สิ่งที่เจอ
1.จริงๆผมไม่ควรตระหนกเกินไป ผมควรหลบไปพร้อมกับฝูงชน มากกว่ารีบวิ่งหนีออกมาคนเดียว ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพวกมันเข้าใจผิดแล้วคิดว่าผมเป็นคู่อริจึงวิ่งหนีจะเกิดอะไรขึ้น
2.ผมไม่ควรกระโดลงจากรถเมลล์เลย ควรให้รถหยุด แล้วลงพร้อมคนส่วนใหญ่ นี่ถ้าโดนรถทับไป ทุกอย่างก็จบ อนาคตที่วาดฝันไว้ หน้าที่การงาน ความทะเยอทะยานต่างๆ ความฝันที่จะสร้างบ้านให้พ่อแม่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตอนแก่(จริงๆวันนี้ก็แก่ๆกันแล้วแหละ -_- )ความฝันที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูก เลี้ยงลูก แก่เป็นคุณปู่ก็จะหายไปหมด
3.การตอบสนองในสภาวะคับขัน จะเป็นไปโดยสัญชาติญาณจริงๆ เวลานั้นไม่มีเวลามาคิดเลย ทุกอย่างเป็นไปตามโปรแกรมของแต่ละคน ผมเคยคิดเล่นๆเผื่อรับสถานการณ์แบบนี้ไว้เหมือนกัน คือจะต้องหนีออกจากที่เกิดเหตุให้เร็ว และร่างกายก็ไปตามที่ตั้งโปรแกรมไว้ และผมพบแล้วว่าสิ่งที่ผมคิดมาตลอดนั้นผิด การโดดลงจากรถเมลล์ที่กำลังออกตัวเป็นเรื่องอันตรายมากๆๆๆๆ
4.ผมคิดได้บางอย่าง
หลังเหตุการณ์ไม่รู้ทำไมผมคิดถึงเรื่องการเมือง
เพื่อนผมคนนึง เป็นคนเลือกข้าง จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายนึงมากๆ ผมไม่ขอบอกละกันว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน แต่เพื่อนคนนี้เป็นคนระดับแฟนพันธุ์แท้ของฝ่ายหนึ่งในประเทศไทยตอนนี้
หลังรอดตายผมมาคิดดู
มันไม่เห็นมีความหมายเลย
จะทะเลาะกันหาอะไร
ใครจะเป็นนายก ใครจะเป็นรัฐบาล ประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตย จะเป็นเด็จการทหาร จะยกย่องคนรวยหรือคนจน จะยกย่องอำมาตย์หรือเสรีนิยม
ไม่เห็นสำคัญตรงไหน ถ้าตายก็จบ ก็สูญหมด เท่านั้นเอง
5.ปกติผมคิดว่านับถือ
ศาสนาการ์ดจอ คือไม่ค่อยเชื่อถือพระ เชื่ออะไรพวกนี้เท่าไหร่ แม้จะกลัวผีกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่ค่อยชอบพิธีกรรม ไม่ค่อยยำเกรงศาสนา คิดว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างหัวสมัยใหม่ อะไรแบบนั้น อินดี้ เท่
ซึ่งมันก็แสดงออกมาเวลาใกล้ตาย การนึกถึงพ่อแม่ก็ดีอยู่ แต่สรยุทธนี่สิ มาจากไหนวะ?
คงเพราะไม่มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจมากมายนัก
ที่เค้าว่ากันว่า เวลาตายถ้านึกถึงพระ นึกถึงสิ่งดีๆจะไปเกิดในภพดีๆ ถ้านึกถึงความเลวความชั่ว ก็จะไปเกิดในที่ชั่วร้าย แล้วนึกถึงสรยุทธถ้ากูตายไปกูจะไปไหนวะนี่?
ณ ตอนพิมพ์นี้ ผมก็ยังช้อคๆค้างอยู่นิดหน่อยครับ ไม่รู้ว่าผมควรทำตัวยังไงต่อดี ความรู้สึกบางอย่างมันเปลี่ยนไป เหมือนกับว่า พอความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว มันคิดเหมือนว่า จะทำอะไรก็น่าจะรีบๆทำ ตายไปก็หายหมด
เฮ้อ...
และไม่คิดว่าจะเอาเรื่องแบบนี้มาเขียนเป็นการ์ตูนได้ครับ