เมื่อสนพระทัยเรือรบตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็ทรงซื้อหนังสือมาทรงศึกษา ทรงทราบถึงลักษณะของเรือและการรบทางทะเลของแต่ละลำอย่างดีมาก ทรงแบ่งกันเป็นชาติ รัชกาลที่ 8 ทรงเลือกของเยอรมัน รัชกาลที่ 9 ทรงเลือกของอังกฤษและอเมริกา
เมื่อถึงเวลาสนพระทัยแผ่นเสียงก็แบ่งกันอีก รัชกาลที่ 9 ทรงเลือก Louis Armstrong และ Sidney Bechet รัชกาลที่ 9 ทรงเลือก Duke Ellington และ Count Basie เกี่ยวกับการซื้อแผ่นเสียงนี้ ถ้าเป็นแจ๊สต้องซื้อเอง ถ้าเป็นคลาสสิกเบิกได้
เมื่ออยู่ที่ภูเขาได้เห็นคนที่ไปตามบ้านเพื่อรับจ้างซ่อมหม้อ ทรงเห็นว่าคงสนุกดี เมื่อกลับมาโลซานน์ทรงซื้อเศษตะกั่วที่เป็นท่อนหรือชิ้นที่เขาทิ้งเขาขายตามน้ำหนัก มาละลายในหม้อซึ่งใช้เฉพาะการนี้ เทใส่พิมพ์ที่ทำจากผงพลาสเตอร์ (Plaster) ละลายน้ำ ตอนแรกทำเป็นแท่งทับกระดาษ และสมมติว่าเป็นทอง ต่อไปได้ปั้นดินน้ำมันแทนพลาสเตอร์เป็นรูปหัวกะโหลกและชุบในตะกั่วที่ละลายปนกับดีบุกซึ่งเอามาจากหลอดยาสีฟัน เอาเข็มหมุดปักลงไป ทำเป็นเข็มปักปกเสื้อนอก ครั้งหนึ่งก้อนตะกั่วหนักมากหลุดมือหล่นลงไปในอ่างล้างหน้า ทำให้แตก ถึงแม้ว่าแม่จะเอาใช้เพียงครึ่งราคาก็ยังแพงมาก
การถ่ายรูปเริ่มด้วยกัน แต่รัชกาลที่ 8 เลิกไปภายหลัง รัชกาลที่ 9 ทรงเล่าว่ากล้องแรกราคา 2.50 แฟรงค์ ฟิล์มม้วนละ 0.25 แฟรงค์ ม้วนหนึ่งมี 6 รูป ม้วนแรกนั้นเสียไป 5 รูป และรูปที่ 6 ที่ดีนั้น คนอื่นเป็นผู้ถ่าย
ครัวก็เคยทำด้วยกัน เคยทำเนื้อสันในลูกวัวกับครีม (Mignons de veau) ทำบนเตาของเล่นที่ซื้อมา เนยก็เคยตีด้วยมือจากครีม และเคยช่วยแหนนทำเนยถั่วลิสง (Peanut Butter) แต่รัชกาลที่ 9 ทรงมีอาหารจานหนึ่งที่ทรงคิดขึ้นเองชื่อไข่พระอาทิตย์ เป็นไข่เจียวที่มีเม็ดข้าวเกรียม ๆ เหมือนกับจุดในพระอาทิตย์
สิ่งที่ทรงเล่นมาด้วยกันเป็นเวลานานคือดนตรี รัชกาลที่ 8 ทรงเริ่มด้วยเปียโนเพราะเห็นข้าพเจ้าเรียนอยู่ รัชกาลที่ 9 ขอเล่น หีบเพลง (accordian) เรียนอยู่ไม่กี่ครั้งก็ทรงเลิก “เพราะไม่เข้ากับเปียโน” แล้วรัชกาลที่ 8 ก็ทรงเลิกเรียนเปียโนไป เมื่ออยู่ที่อาโรซ่าเวลาหน้าหนาว ได้ทอดพระเนตรวงดนตรีวงใหญ่ที่เล่นอยู่ที่โรงแรม รู้สึกอยากเล่นกัน ทรงหาแซกโซโฟนที่เป็นของใช้แล้ว (second hand) มาได้ ราคา 300 แฟรงค์ แม่ออกให้ครึ่งหนึ่ง
http://www.swu.ac.th/royal/book6/b6c9t2.htmlเคยค้นคว้าพระจริยวัตรส่วนพระองค์ จำได้ว่าอ่านเจอจากหนังสือเล่มหนึ่งในห้อสมุดพูดถึง เมื่อครั้งทรงพระเยาว์พระองค์ประทับที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พระชนมายุประมาณ 9 (พรรษา/ชันษา
) ทรงปลูกพืชผักสวนครัวแล้วนำมาจำหน่ายภายในตำหนัก และเคยรับจ้างเก็บผลไม้กับสวนหลังบ้านที่ติดกัน.......พระองศ์ทรงขยันและรู้จักคุณค่าของเงินตั้งแต่ทรงพระเยาว์เลยหล่ะ
สมเด็จย่าทรงปลูกฝังให้ยุวกษัตริย์อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย งานบ้านก็ทำกันเอง ทรงแบ่งหน้าที่ให้รับผิดชอบในการทำความสะอาดดูแลพระตำหนัก (ถูพระตำหนักเองด้วยหล่ะ) เมื่อเกิดสงครามโลกก็ไม่ได้กลับเมืองไทยตามคำขอทูลเชิญเสด็จกลับ ทรงเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตบและความกลางของสวิสเซอร์แลนด์ ระหว่างที่มีสงครามนั้นก็ไม่ได้ปฏิบัติพระองค์ต่างไปจากสามัญชนชาวสวิส ทรงต่อแถวเข้าคิวรับส่วนแบ่งอาหาร เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และยังได้สอนยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ให้รู้จักประหยัด ช่วยเหลือตนเอง และแบ่งเบาภาระของแม่ สมเด็จย่าทรงทำแยมผลไม้เก็บไว้เสวยกันเองในครอบครัว ด้วยเล็งเห็นว่าจะสามารถเก็บไว้ได้นาน และช่วยให้ประทังชีวิตไปได้หากเกิดเหตุการณ์ยืดเยื้อ
-/\-
จำได้คร่าวๆ เท่านี้ ส่วนที่ไม่ได้แอบอ้าง คือเคยอ่านมาแล้วพิมพ์้เท่าที่จำได้ ถ้าหาไฟล์แหล่งต้นตอเจอจะเอามาแปะไว้อีกทีนะจ๊ะ
ปล. ถ้าใช้ราชาศัพท์คำไหนผิดช่วยแก้ให้ด้วยนะคะ ไม่สันทัดกรณีจริงๆ