หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 ... 34
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมเนียมของภาพยนตร์  (อ่าน 114593 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
คนขี้โกง คือ คนที่รู้จักการขี้โกง จะทำไม่ทำอีกเรื่องนะ
เปรียบเป็นคุณแอนไม่รู้จักว่า ข้าวเหนียวเป็นยังไง จะมองออกไหมว่าอันไหนข้าวเหนียว
รู้ว่าการขี้โกงเป็นยังไง ผมใช้ความขี้โกงของตัวเองมองตัดสินความขี้โกงของคนอื่น
คนๆนึง ก็รู้จักหมดยังไงล่ะว่าความฉลาด โง่ ขี้โกง เป็นยังไง
แต่จะทำตัวยังไงเป็นแบบไหน
ผมโพสข้อความนั้นเพราะว่า อยากจะบอกว่า ใครๆก็รู้ แต่จะเอาความฉลาดมาตัดสินนอื่นหรือจะะเอาความโง่มาตัดสิน
เห็นจักรีเขายกเื่รื่องฉลาด โง่ ขึ้นมา เลยบอกว่า คนที่พูดเหมือนคนอื่นโง่น่ะ เอาความโง่ของตัวเองตัดสิน
ถ้าคนโง่ ไม่มีความโง่ จะรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นโง่
เปลี่ยนคำว่า โง่ เป็น สารพัดคุณศัพท์เอาเลยนะ

แอนไม่ขี้โกง แล้ว รู้จักความขี้โกงไหม มีความขี้โกงในใจไหม จะทำไหมนั้นอยู่ที่ความดีเลวของแต่ล่ะคน


--- เพราะมนุษย์ส่วนมากเป็นเช่นนี้ สังคมมันถึงได้มีคนซื่อที่ไม่เคยโกงใคร ถูกหลอกลวง ถูกต้มตุ๋น ถูกเขาโกง มาให้เห็นอยู่เนือง ๆ สินะคะ
เพราะพอไม่รู้จักสิ่งนั้น ก็ไม่รู้ทันสิ่งนั้น และจึงหลบหลีกสิ่งนั้นไม่ได้ =_=''



มาตอบระเบิดที่คุณแอนโยนถามไว้หน่อย
เห็นแล้วค่อย ๆ คิดนานแล้ว ตอนนี้เพิ้งตกผลึก ต้องรีบพิมพ์ไว้ก่อนไปนอน เพราะนอนแล้วตื่นมาจะลืมหมด เอิ๊ก

แอบอ้าง
ลองมองทางนี้นะ
1. - ทำไม การเข้าใจในเนื้อหาของเพลงต้องไปทำที่โรงภาพยนตร์
2. - คนที่ยืนพอเป็นพิธี ถือว่าไม่รักในหลวงเหรอ?
3. - การร้องเพลงชาติทุกเช้าหน้าเสาธงในโรงเรียน ถือเป็นความรักชาติเหรอ?

ตั้งคำถามแบบนี้ไว้ไม่ได้เป็นการโยนระเบิดถามทางนะ
แต่มันจะโยงไปถึงเรื่องระบอบแม้วทริกซ์ (ได้ไงไม่รู้)
ลองคุยกันเรื่องนี้ดู

1. ไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไหร่นะคะ แต่ถ้าตอบเท่าที่เข้าใจล่ะก็....อาจไม่จำเป็น "ต้องไปทำ"ที่โรงภาพยนตร์ค่ะ เพียงแต่บางคนไม่ค่อยได้สัมผัสกับโอกาสในการนี้ เช่น ที่โรงเรียนหรือที่บ้านอาจจะไม่ได้สอนให้ลึกซึ้ง ก็เหมือนเด็กในระบบการศึกษาปัจจุบันจำนวนมากที่ท่องจำอะไรได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่หารู้ถึงความหมายแท้จริงของสิ่งที่ท่องไม่ โอกาสอันหายากที่เขาจะได้สัมผัส ได้มีช่วงเวลาที่เปิดให้พยายามทำความเข้าใจ จึงไปตกอยู่ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งบางคนอาจจะเลือกที่จะทำความเข้าใจ บางคนอาจจะเลือกที่จะไม่ อันนั้นก็คงแล้วแต่ความสนใจของแต่ละคนกระมังคะ

2. ไม่อาจทราบได้ค่ะ เพราะคนเรามีหลายประเภท พวกที่ "รักนะแต่ไม่แสดงออก" ก็คงมี หรือคนที่คิดว่า ตนเองรักในหลวงด้วยจิตใจที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแสดงออกได้ด้วยแค่การยืน อาจจะมีคนที่คิดถึงขั้นว่า ไม่ยืนดีกว่า เพราะความรักในใจฉันยิ่งใหญ่กว่านี้ ฯลฯ เหมือนในเพลงที่กล่าวว่า Whoa whoa yay yay, I love you more than I can say.... ประมาณว่าแหมรักเหลือเกินจนบรรยายออกมาเป้นคำพูดไม่ได้ บางคนอาจจะมีอาการซึนเดเระรักแต่ไม่แสดงออกแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้

และส่วนตัวแล้ว คนที่เจตนาแสดงพฤติกรรม หรือแสดงออกในที่สาธารณะอย่างแตกต่าง อาจจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเสมอไป แต่ก็เป็นที่รู้กันค่ะ ว่ามนุษย์เราเมื่อมองด้วยตาเปล่าเฉย ๆ แล้ว ย่อมตัดสินได้จากเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น ยิ่งถ้าไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน มันเป็นไปได้ยากมาก ๆ ค่ะที่จะตัดสินการกระทำของคนคนหนึ่งให้ลึกซึ้งไปถึงจิตใจของเขาได้ ว่าใจจริงเขาคิดอะไร บางคนปากร้ายแต่ใจดี หรือมารยาทแย่แต่น้ำใจงาม อะไรแบบนี้ คนที่แค่เห็นเฉย ๆ ก็ย่อมไม่แปลกที่จะตัดสินจากที่ตัวเองพบเห็น และเมื่อสิ่งที่แสดงออกไปเบื้องนอกนั้น เป็นสิ่งที่คนรอบข้างไม่เห็นด้วย ผลที่ตามมาก็คือ เราต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเองค่ะ ถ้าเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำเอง ก็เท่ากับเราเลือกที่จะได้รับปฏิกิริยาจากคนรอบข้างโดยขึ้นอยู่กับการกระทำของเราด้วย

3. ไม่แน่เสมอไปค่ะ เพราะสำหรับเด็กหรือคนที่ยังคิดด้วยตนเองไม่ได้ หรือคิดได้แต่ไม่ลึกซึ้งพอ อาจจะทำไปโดยไม่รู้ความแมายที่แท้จริงก็ได้ แค่ทำตามคำสั่งไปอย่างงั้น ๆ แต่มันก็เป็นการปูทางอย่างหนึ่ง เหมือนการให้เด็กท่องสูตรคูณนั่นแหละค่ะ ท่องไปเถอะ.... ตอนเด็ก ๆ โมจิก็ต้องท่องเหมือนกัน เวลานั่งรถที่คุณแม่ขับ ไปรับจากโรงเรียน ระหว่างทางกลับบ้านต้องท่องสูตรคูณแม่ ๑ ถึงแม่ ๑๒ ให้จบ คิดหลายทีมาก ๆ ค่ะว่า ท่องไปเพื่ออะไร? ถึงท่องไป เราก็แก้โจทย์ไม่ได้อยู่ดี เพราะเวลาเรียนหรือเวลาสอบ อาจารย์ไม่ได้ให้แต่โจทย์ง่าย ๆ แบบหกคูณแปดได้เท่าไหร่? หรือ สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดได้เท่าไหร่?

แต่พอโตมา ได้เห็นเลยค่ะว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐาน เหมือนไม่สำคัญ เหมือนสักแต่ท่องจำตาม ๆ กันมา มันมีประโยชน์จริง ๆ เพราะเมื่อโตแล้ว หรือเรียนไปมากขึ้นแล้ว เราก็จะรู้จักนำมาปรับใช้ในการหาคำตอบ ถ้าหากไม่ท่องจนจำได้ขึ้นใจ หรือท่องจนสมองมันคิดคล่อง ว่าเท่าไหร่คูณเท่าไหร่ ได้ผลลัพธ์อะไร กว่าจะคูณเสร็จแต่ละข้อ ก็ต้องมานั่งบวก บวก บวก หรือนั่งคูณแบบทีละหลักเอาเอง  สูตรคูณที่ท่องจนจำได้หรือจนฝังเข้าไปในระดับสัญชาติญาณ มันช่วยให้พิจารณาโจทย์ และหาผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นกว่าไม่เคยรู้ไม่เคยท่องเลยมากมายนัก

การร้องเพลงชาติหน้าเสาธงทุกวัน ส่วนหนึ่งคือการแสดงออก เท่าที่บุคคลจะสามารถแสดงได้

จะว่ายังไงดีนะ.... ในทางหนึ่งมันคือการเติมเต็มสำหรับจิตใจนะคะ ว่าถึงเราเป็นแค่เด็ก อยู่ในสถานที่นี้ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรที่ช่วยชาติหรือพระเจ้าอยู่หัวได้เลย เราไม่ได้ออกไปรบเพื่อรักษาเอกราชของชาติ เราไม่ได้ปลูกข้าวเลี้ยงประชากรของประเทศ เราไม่ได้ช่วยบริหารบ้านเมือง เราไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนแม้แต่อย่างเดียว  แต่อย่างน้อย ชั่วขณะที่เราตั้งใจร้องเพลงชาติ มันเป็นการได้ "ทำอะไรอย่างหนึ่ง" แล้ว เป็นสิ่งที่อยู่ในขอบเขตอำนาจและความสามารถของเราในปัจจุบัน

พอโตขึ้นมา เราอาจทำอะไรได้มากขึ้น สร้างประโยชน์ให้ชาติได้มากขึ้น การร้องเพลงชาติอาจจะไม่สำคัญ หรือไม่ยิ่งใหญ่เท่าการกระทำอื่นของเราอีกต่อไป แต่เวลามองย้อนกลับไป อย่างน้อยเพลงชาติก็เป็นบันไดก้าวแรกที่เราเคยย่างก้าว เป็นก้าวแรกที่นำเรามาในทิศทางนี้

อะไรทำนองนี้อ่ะค่ะ....

ฮู้ว บรรยายไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะว่ายังไง ถ้าเลอะเทอะ อ่านไม่รู้เรื่องก็ขอโทษนะคะ  ง่ะ

ส่วนตัวแล้วเป็นเด็กที่ตั้งใจร้องเพลงชาติมาก ๆ คำปฏิญาณตนหน้าเสาธงก็ต้องพูดอย่างฉาดฉานเสียงดังฟังชัด และเข้มแข็งเหมือนครูฝึกทหาร.... (อันนี้มีคนแซวมาค่ะ ไม่รู้จะภูมิใจดีหรือเขินดี  ฮือๆ~) และสมัยนั้นถ้าเพื่อนข้างเคียงมีใครบังอาจคุยกันน่ารำคาญ จะเจอสายตาตี่ ๆ ของเราเหล่เข้าให้หนึ่งจึก ข้อหารบกวนสมาธิ งืม ๆ

มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ (ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนอื่นส่วนมากที่เค้ายึดถือเหมือน ๆ กันกับเราเขาจะรู้สึกแบบเดียวกัน หรือมีแนวคิดเดียวกันมั้ย เขาอาจจะมีเหตุผลอื่น ๆ ร้อยแปดดพันเก้าก็ได้) เหมือนว่า ก็เนี่ย สิ่งเล็กน้อยสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้ แบบไม่ไกลเกินเอื้อม จึงต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการเคารพและให้เกียรติต่อคนอื่น ๆ ที่ทำในสิ่งยิ่งกว่าเรา ยากกว่าเรา และอาจจะทุ่มเทมากกว่าเราด้วย

สำหรับเรา ถ้าถามว่าทำแล้วได้อะไร สิ่งที่เราได้ คือ "ความสุขใจ" และ "ความภาคภูมิใจ" ค่ะ

ที่น้ำท่วมทุ่งมาจนถึงบัดนี้....ไปพูดให้ใครที่ไหนฟังแล้วอาจจะถูกมองว่าเพ้อเจ้อไปทุกที่ก็ได้นะคะ เพราะคนเรามีมุมมองต่างกัน กับที่อื่นคงไม่กล้าพูดค่ะ อาย ฮ่า ๆ  ปลื้ม

ถ้าไม่รักจริงไม่พล่ามมากขนาดนี้นะคะเนี่ย

ใครก็ไม่รู้ ตั้งโจทย์ย้ากยาก
 ชิ


// ใกล้รุ่งออกป่านนี้ ยังมีคนตัดหน้า 2 คนอีกเหรอ  โวย
บันทึกการเข้า
 ฮิ้ววว + ให้กำลังใจ ในการเขียนยาวๆนะ ยาวแล้วอ่านเพลินมีมุกมีอารมณ์ (ไหนนะนวนิยายน่ะ)
ผมเขียนยาวๆ ไม่เป็น ดีนะ เก่งจัง
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
จะว่าไปเรื่องนี้มันก็คล้ายๆกับตอนที่โรงเรียนผมบังคับใส่เสื้อเหลืองวันจันทร์นั่นล่ะ

ตอนแรกก็ถามตัวเองนะว่าจะใส่ไปทำไมวะ ใส่แล้วได้อะไรขึ้นมาวะ เรารักจากใจไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมต้องตามกระแส ฯลฯ

(แต่ผมมองว่าเรื่องใส่เสื้อเหลืองนี่ต๊องมากเลยนะ  ง่ะ)

สุดท้ายก็ต้องใส่อยู่ดีเพราะเข้าประตูโรงเรียนทุกวันจันทร์ทีไร ถ้าไม่ใส่จะรู้สึกตัวเองว่าแปลกแยกกับคนอื่นแล้วก็ดูเป็นตัวประหลาด (ประมาณว่าเค้าใส่กันเกือบทั้งโรงเรียนตัวเองไม่ใส่คนเดียว เป็นจุดขาวๆเด่นๆ)

คล้ายๆกับคนที่ไม่อยากยืนแต่ต้องยืนล่ะมั้ง ต้องทำตามเสียงข้างมากทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่อยากเท่าไหร่ (ประชาธิปไตยรึเปล่า)(ถ้างั้นทำไมบอกว่าเคารพประชาธิปไตยแล้วไม่ยืนตามคนอื่นล่ะ?)


ส่วนตัวผมยืนนะเพราะรู้สึกว่ามันไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนยืนซัก 1-2 นาทีก็คงจะไม่เป็นโรคข้อเข่าเรื้อรังล่ะมั้ง


//รู้สึกตัวเองพิมพ์งงๆ  เอือม
บันทึกการเข้า
 


นักวิิทยาศาสตร์เขาจะบอกว่าการให้เด็กยืนเคารพธงชาติทุกเช้าเป็นการปลูกฝังความทรงจำนะครับ

เหมือนที่ทำการทดลองให้คนได้ยินเสียงกระดิ่งก่อนได้กินอาหาร

พอทำการทดลองไปซักพัก สั่นกระดิ่งโดยไม่มีอาหารคนเราก็น้ำลายไหลออกมาเอง

ทีนี้พอได้ยินเสียงเพลงชาติก็นึกถึงชาติทันที  หมีโหด~



นี่มันล้างสมองชัดๆ  โวย
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
เรื่องเสื้อเหลืองนี่ผมว่าออกแนวฮาๆมากกว่าครับ

แต่บางความคิดเห็นอ่านแล้วแอบเศร้ากับระบบการสร้างคนของประเทศไทย  ฮือๆ~


ทักษิณเป็นคนดีมีเงินให้ใช้
บันทึกการเข้า
ยืนก็สนุกดีนะ ง่ะ
บันทึกการเข้า

สะพรึบสะพรั่ง ณหน้าและหลัง ณซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด ก็ตรวจก็ตรา ประมวลกะมา สิมากประมาณ
เรื่องเสื้อเหลืองนี่ผมว่าออกแนวฮาๆมากกว่าครับ

แต่บางความคิดเห็นอ่านแล้วแอบเศร้ากับระบบการสร้างคนของประเทศไทย  ฮือๆ~


ทักษิณเป็นคนมีเงินให้ใช้ ดี!!
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
วกกลับมาที่นายโชติศักดิ์
ตูอ่านข่าวต่างๆ แล้ว
เห็นเบื้องหลังนายคนนี้แล้ว

และการที่เรากำลังมาถกเถียงอยู่นี่
เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ(ละในฐานที่เข้าใจ)
ไปอย่างไม่รู้ตัว

...............................

ส่วนตัวเชื่อว่า งานนี้มีเบื้องหลังแน่นอน
โดยการทำตัวให้เป็นข่าว

รู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกนึกว่าเป็นปัจเจกบุคคล
ที่ไหนได้ ดันมีเบื้องหลัง
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ

..............................

ทำไมเราไม่เคยเรียนรู้อะไร
จากบทเรียน 6 ตุลา กันบ้าง

วิธีการต่างๆ ที่จะไม่สร้างความแตกร้าวในสังคม
มันก็มีอยู่ตั้งเยอะ ทำไมไม่เลือกใช้กัน
บันทึกการเข้า
 กระทู้นี้ดีมากครับ ได้เห็นความเห็นของแต่ละคนแล้วชอบยิ่งกว่านักการเมืองบางคนออกมาพูดเสียอีก
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
ผมว่ามันเป็นธรรมเนียมที่เค้าปฎิบัติกัน และมีเหตุผลที่จะกระทำ
บันทึกการเข้า

นักเขียนการ์ตูนรายปี
วกกลับมาที่นายโชติศักดิ์
ตูอ่านข่าวต่างๆ แล้ว
เห็นเบื้องหลังนายคนนี้แล้ว

และการที่เรากำลังมาถกเถียงอยู่นี่
เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ(ละในฐานที่เข้าใจ)
ไปอย่างไม่รู้ตัว

...............................

ส่วนตัวเชื่อว่า งานนี้มีเบื้องหลังแน่นอน
โดยการทำตัวให้เป็นข่าว

รู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกนึกว่าเป็นปัจเจกบุคคล
ที่ไหนได้ ดันมีเบื้องหลัง
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ

..............................

ทำไมเราไม่เคยเรียนรู้อะไร
จากบทเรียน 6 ตุลา กันบ้าง

วิธีการต่างๆ ที่จะไม่สร้างความแตกร้าวในสังคม
มันก็มีอยู่ตั้งเยอะ ทำไมไม่เลือกใช้กัน


ป๋าณต ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างดึงสถาบันลงมาเล่นแล้ว
ในรูปแบบแตกต่างกันออกไป ไม่นานวันหรอก
บันทึกการเข้า

 ฮิ้ววว อ่านแล้วเหนื่อย

เราท่านๆ ในบอร์ดคงได้อยู่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลงกันแหละครับ เอือม

คิดงี้เครียดกว่าเดิมอีก หมีโหด~
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
แต่ถ้าเป็นเพื่อนผมดูหนังกับผม แล้วเกิดไม่ยืน นี่ผมถือว่าไม่ใช่เพื่อนนะ

หนึ่งคือ เค้าต้องการจะโชว์ความคิดที่แตกต่างเพื่อให้คนแค่ไม่กี่คนดู (คิดอวดตัวเอง)

สอง เค้าไม่ห่วงความปลอดภัยของเพื่อน บางครั้งคนอื่นไม่เข้าใจหรอก อาจจะมีปากเสียง หรือถ้าหนักหน่อยก็มีลงไม้ลงมือ
คนเป็นเพื่อนก็จะซวยไปด้วย (ข้อนี้คือไม่คิดถึงคนอื่น)


คิดต่างและแสดงออกโดยการไม่ยืนได้ แต่ไปคนเดียวนะอย่าลากคนอื่นไปซวยด้วยเป็นดี
บันทึกการเข้า

นักเขียนการ์ตูนรายปี
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A6547268/A6547268.html
#4 #15 ฮ้าฮา กร๊าก
ตอนแรกผมไม่ขำมากนะ แต่คคห.ต่อๆมาเน้นเหลือเกินเลยขำ น้องดำ
บันทึกการเข้า

สะพรึบสะพรั่ง ณหน้าและหลัง ณซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด ก็ตรวจก็ตรา ประมวลกะมา สิมากประมาณ
จริงๆแล้วประเด็นที่สังคมไทยถกกันอยู่เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราทำไมถึงต้องมาแตกแยกทางความคิด
จริงๆแล้วจะยืนจะนั่ง ก็เรื่องเล็กๆ มีทุกวันมาตลอด

อย่าแบ่งพวกกัน เราคนไทยทั้งนั้นนะ

พระเจ้าไม่ได้สร้างใครให้เหนือใครและหรือต่ำกว่าใคร

เกรงว่าจะเข้าไปกล่าวถึง เรื่องที่ไม่ทราบแน่ชัด

...

สรุปคือ ตอนนี้ ผมเห็นว่า คุณคนที่เป็นข่าวทั้งหมดในกรณียืนในโรงหนัง ทำเรื่องน่าอับอาย ไม่ผิด จะผิดก็คงผิดที่ไม่อายชาวบ้านเขาบ้าง
แต่คนที่ประโคมข่าว มีจุดประสงค์อื่นแน่ๆ ไม่ทราบแน่ชัด

และอย่าลืมว่า เราอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง มาช้านาน ทำไมเดี๋ยวนี้มีอะไรให้เราต้องคิดแยกคอกัน  ไหว้
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 ... 34
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!