คนขี้โกง คือ คนที่รู้จักการขี้โกง จะทำไม่ทำอีกเรื่องนะ
เปรียบเป็นคุณแอนไม่รู้จักว่า ข้าวเหนียวเป็นยังไง จะมองออกไหมว่าอันไหนข้าวเหนียว
รู้ว่าการขี้โกงเป็นยังไง ผมใช้ความขี้โกงของตัวเองมองตัดสินความขี้โกงของคนอื่น
คนๆนึง ก็รู้จักหมดยังไงล่ะว่าความฉลาด โง่ ขี้โกง เป็นยังไง
แต่จะทำตัวยังไงเป็นแบบไหน
ผมโพสข้อความนั้นเพราะว่า อยากจะบอกว่า ใครๆก็รู้ แต่จะเอาความฉลาดมาตัดสินนอื่นหรือจะะเอาความโง่มาตัดสิน
เห็นจักรีเขายกเื่รื่องฉลาด โง่ ขึ้นมา เลยบอกว่า คนที่พูดเหมือนคนอื่นโง่น่ะ เอาความโง่ของตัวเองตัดสิน
ถ้าคนโง่ ไม่มีความโง่ จะรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นโง่
เปลี่ยนคำว่า โง่ เป็น สารพัดคุณศัพท์เอาเลยนะ
แอนไม่ขี้โกง แล้ว รู้จักความขี้โกงไหม มีความขี้โกงในใจไหม จะทำไหมนั้นอยู่ที่ความดีเลวของแต่ล่ะคน
--- เพราะมนุษย์ส่วนมากเป็นเช่นนี้ สังคมมันถึงได้มีคนซื่อที่ไม่เคยโกงใคร ถูกหลอกลวง ถูกต้มตุ๋น ถูกเขาโกง มาให้เห็นอยู่เนือง ๆ สินะคะ
เพราะพอไม่รู้จักสิ่งนั้น ก็ไม่รู้ทันสิ่งนั้น และจึงหลบหลีกสิ่งนั้นไม่ได้ =_=''
มาตอบ
ระเบิดที่คุณแอน
โยนถามไว้หน่อย
เห็นแล้วค่อย ๆ คิดนานแล้ว ตอนนี้เพิ้งตกผลึก ต้องรีบพิมพ์ไว้ก่อนไปนอน เพราะนอนแล้วตื่นมาจะลืมหมด เอิ๊ก
ลองมองทางนี้นะ
1. - ทำไม การเข้าใจในเนื้อหาของเพลงต้องไปทำที่โรงภาพยนตร์
2. - คนที่ยืนพอเป็นพิธี ถือว่าไม่รักในหลวงเหรอ?
3. - การร้องเพลงชาติทุกเช้าหน้าเสาธงในโรงเรียน ถือเป็นความรักชาติเหรอ?
ตั้งคำถามแบบนี้ไว้ไม่ได้เป็นการโยนระเบิดถามทางนะ
แต่มันจะโยงไปถึงเรื่องระบอบแม้วทริกซ์ (ได้ไงไม่รู้)
ลองคุยกันเรื่องนี้ดู
1. ไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไหร่นะคะ แต่ถ้าตอบเท่าที่เข้าใจล่ะก็....อาจไม่จำเป็น "ต้องไปทำ"ที่โรงภาพยนตร์ค่ะ เพียงแต่บางคนไม่ค่อยได้สัมผัสกับโอกาสในการนี้ เช่น ที่โรงเรียนหรือที่บ้านอาจจะไม่ได้สอนให้ลึกซึ้ง ก็เหมือนเด็กในระบบการศึกษาปัจจุบันจำนวนมากที่ท่องจำอะไรได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง แต่หารู้ถึงความหมายแท้จริงของสิ่งที่ท่องไม่ โอกาสอันหายากที่เขาจะได้สัมผัส ได้มีช่วงเวลาที่เปิดให้พยายามทำความเข้าใจ จึงไปตกอยู่ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งบางคนอาจจะเลือกที่จะทำความเข้าใจ บางคนอาจจะเลือกที่จะไม่ อันนั้นก็คงแล้วแต่ความสนใจของแต่ละคนกระมังคะ
2. ไม่อาจทราบได้ค่ะ เพราะคนเรามีหลายประเภท พวกที่ "รักนะแต่ไม่แสดงออก" ก็คงมี หรือคนที่คิดว่า ตนเองรักในหลวงด้วยจิตใจที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแสดงออกได้ด้วยแค่การยืน อาจจะมีคนที่คิดถึงขั้นว่า ไม่ยืนดีกว่า เพราะความรักในใจฉันยิ่งใหญ่กว่านี้ ฯลฯ เหมือนในเพลงที่กล่าวว่า Whoa whoa yay yay, I love you more than I can say.... ประมาณว่าแหมรักเหลือเกินจนบรรยายออกมาเป้นคำพูดไม่ได้ บางคนอาจจะมีอาการ
ซึนเดเระรักแต่ไม่แสดงออกแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้
และส่วนตัวแล้ว คนที่เจตนาแสดงพฤติกรรม หรือแสดงออกในที่สาธารณะอย่างแตกต่าง อาจจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเสมอไป
แต่ก็เป็นที่รู้กันค่ะ ว่ามนุษย์เราเมื่อมองด้วยตาเปล่าเฉย ๆ แล้ว ย่อมตัดสินได้จากเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น ยิ่งถ้าไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน มันเป็นไปได้ยากมาก ๆ ค่ะที่จะตัดสินการกระทำของคนคนหนึ่งให้ลึกซึ้งไปถึงจิตใจของเขาได้ ว่าใจจริงเขาคิดอะไร บางคนปากร้ายแต่ใจดี หรือมารยาทแย่แต่น้ำใจงาม อะไรแบบนี้ คนที่แค่เห็นเฉย ๆ ก็ย่อมไม่แปลกที่จะตัดสินจากที่ตัวเองพบเห็น และเมื่อสิ่งที่แสดงออกไปเบื้องนอกนั้น เป็นสิ่งที่คนรอบข้างไม่เห็นด้วย ผลที่ตามมาก็คือ เราต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเองค่ะ ถ้าเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำเอง ก็เท่ากับเราเลือกที่จะได้รับปฏิกิริยาจากคนรอบข้างโดยขึ้นอยู่กับการกระทำของเราด้วย
3. ไม่แน่เสมอไปค่ะ เพราะสำหรับเด็กหรือคนที่ยังคิดด้วยตนเองไม่ได้ หรือคิดได้แต่ไม่ลึกซึ้งพอ อาจจะทำไปโดยไม่รู้ความแมายที่แท้จริงก็ได้ แค่ทำตามคำสั่งไปอย่างงั้น ๆ แต่มันก็เป็นการปูทางอย่างหนึ่ง เหมือนการให้เด็กท่องสูตรคูณนั่นแหละค่ะ ท่องไปเถอะ.... ตอนเด็ก ๆ โมจิก็ต้องท่องเหมือนกัน เวลานั่งรถที่คุณแม่ขับ ไปรับจากโรงเรียน ระหว่างทางกลับบ้านต้องท่องสูตรคูณแม่ ๑ ถึงแม่ ๑๒ ให้จบ คิดหลายทีมาก ๆ ค่ะว่า ท่องไปเพื่ออะไร? ถึงท่องไป เราก็แก้โจทย์ไม่ได้อยู่ดี เพราะเวลาเรียนหรือเวลาสอบ อาจารย์ไม่ได้ให้แต่โจทย์ง่าย ๆ แบบหกคูณแปดได้เท่าไหร่? หรือ สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดได้เท่าไหร่?
แต่พอโตมา ได้เห็นเลยค่ะว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐาน เหมือนไม่สำคัญ เหมือนสักแต่ท่องจำตาม ๆ กันมา มันมีประโยชน์จริง ๆ เพราะเมื่อโตแล้ว หรือเรียนไปมากขึ้นแล้ว เราก็จะรู้จักนำมาปรับใช้ในการหาคำตอบ ถ้าหากไม่ท่องจนจำได้ขึ้นใจ หรือท่องจนสมองมันคิดคล่อง ว่าเท่าไหร่คูณเท่าไหร่ ได้ผลลัพธ์อะไร กว่าจะคูณเสร็จแต่ละข้อ ก็ต้องมานั่งบวก บวก บวก หรือนั่งคูณแบบทีละหลักเอาเอง สูตรคูณที่ท่องจนจำได้หรือจนฝังเข้าไปในระดับสัญชาติญาณ มันช่วยให้พิจารณาโจทย์ และหาผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นกว่าไม่เคยรู้ไม่เคยท่องเลยมากมายนัก
การร้องเพลงชาติหน้าเสาธงทุกวัน ส่วนหนึ่งคือการแสดงออก เท่าที่บุคคลจะสามารถแสดงได้
จะว่ายังไงดีนะ.... ในทางหนึ่งมันคือการเติมเต็มสำหรับจิตใจนะคะ ว่าถึงเราเป็นแค่เด็ก อยู่ในสถานที่นี้ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรที่ช่วยชาติหรือพระเจ้าอยู่หัวได้เลย เราไม่ได้ออกไปรบเพื่อรักษาเอกราชของชาติ เราไม่ได้ปลูกข้าวเลี้ยงประชากรของประเทศ เราไม่ได้ช่วยบริหารบ้านเมือง เราไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนแม้แต่อย่างเดียว แต่อย่างน้อย ชั่วขณะที่เราตั้งใจร้องเพลงชาติ มันเป็นการได้ "ทำอะไรอย่างหนึ่ง" แล้ว เป็นสิ่งที่อยู่ในขอบเขตอำนาจและความสามารถของเราในปัจจุบัน
พอโตขึ้นมา เราอาจทำอะไรได้มากขึ้น สร้างประโยชน์ให้ชาติได้มากขึ้น การร้องเพลงชาติอาจจะไม่สำคัญ หรือไม่ยิ่งใหญ่เท่าการกระทำอื่นของเราอีกต่อไป แต่เวลามองย้อนกลับไป อย่างน้อยเพลงชาติก็เป็นบันไดก้าวแรกที่เราเคยย่างก้าว เป็นก้าวแรกที่นำเรามาในทิศทางนี้
อะไรทำนองนี้อ่ะค่ะ....
ฮู้ว บรรยายไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะว่ายังไง ถ้าเลอะเทอะ อ่านไม่รู้เรื่องก็ขอโทษนะคะ
ส่วนตัวแล้วเป็นเด็กที่ตั้งใจร้องเพลงชาติมาก ๆ คำปฏิญาณตนหน้าเสาธงก็ต้องพูดอย่างฉาดฉานเสียงดังฟังชัด และเข้มแข็งเหมือนครูฝึกทหาร.... (อันนี้มีคนแซวมาค่ะ ไม่รู้จะภูมิใจดีหรือเขินดี
) และสมัยนั้นถ้าเพื่อนข้างเคียงมีใครบังอาจคุยกันน่ารำคาญ จะเจอสายตาตี่ ๆ ของเราเหล่เข้าให้หนึ่งจึก ข้อหารบกวนสมาธิ งืม ๆ
มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ (ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนอื่นส่วนมากที่เค้ายึดถือเหมือน ๆ กันกับเราเขาจะรู้สึกแบบเดียวกัน หรือมีแนวคิดเดียวกันมั้ย เขาอาจจะมีเหตุผลอื่น ๆ ร้อยแปดดพันเก้าก็ได้) เหมือนว่า ก็เนี่ย สิ่งเล็กน้อยสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้ แบบไม่ไกลเกินเอื้อม จึงต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการเคารพและให้เกียรติต่อคนอื่น ๆ ที่ทำในสิ่งยิ่งกว่าเรา ยากกว่าเรา และอาจจะทุ่มเทมากกว่าเราด้วย
สำหรับเรา ถ้าถามว่าทำแล้วได้อะไร สิ่งที่เราได้ คือ "ความสุขใจ" และ "ความภาคภูมิใจ" ค่ะ
ที่น้ำท่วมทุ่งมาจนถึงบัดนี้....ไปพูดให้ใครที่ไหนฟังแล้วอาจจะถูกมองว่าเพ้อเจ้อไปทุกที่ก็ได้นะคะ เพราะคนเรามีมุมมองต่างกัน กับที่อื่นคงไม่กล้าพูดค่ะ อาย ฮ่า ๆ
ถ้าไม่รักจริงไม่พล่ามมากขนาดนี้นะคะเนี่ย
ใครก็ไม่รู้ ตั้งโจทย์ย้ากยาก
// ใกล้รุ่งออกป่านนี้ ยังมีคนตัดหน้า 2 คนอีกเหรอ