-=7วันอันตราย=-
สำหรับปีนี้ก็เช่นเดียวกับทุกปี คือมีโควต้าให้ว่าให้อุบัติเหตุตายได้3ศพในจังหวัดนี้
ของสาธารณสุขดีหน่อย ไม่ค่อยบ้าจี้ตามมหาดไทย ตายเท่าไหร่ก็ได้
ของมหาดไทย / ตำรวจ รู้สึกเหมือนกับว่าการรายงานยังมีผลต่อการพิจารณาความดีความชอบของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน
วานซืนนี้ มีรถคว่ำ ตายไป1ศพ ไม่รู้รายละเอียด เพราะไม่ใช่เวรผม (แต่พยาบาลโทรตามให้ไปช่วย
พอดีอยู่ตลาดไกลจากรพ.1/2ชม. เลยไปไม่ได้)
วันนี้ เมื่อสักครู่ตอนทุ่มกว่าๆ มีมากันสองคน(ศพ) ตำรวจนำส่งเป็นชายหนุ่มอายุ20กว่าๆทั้งสองคน
หยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นแล้วทั้งคู่ ม่านตาขยายแล้วทั้งคู่
พยาบาลในห้องฉุกเฉินตอนนั้นเหลืออยู่4คน พนักงานทั่วไป2คน ดังนั้นต้องแบ่งกันช่วย
พอเริ่มปั้มหัวใจได้สักพักนึง ก็เลยตรวจให้ละเอียดขึ้น
คนแรกใส่เสื้อขาว ม่านตายังขยายไม่มาก เลือดยังสดๆอยู่ ... ช่วยต่อไป
คนที่สองใส่เสื้อเขียว คลำที่ต้นคอเจอลักษณะกระดูกคอหัก ที่หน้าก็เจอรอยหัก ที่กะโหลกก็เจอรอยแตกยุบสองที่ ... ก็เลยตัดสินใจบอกพยาบาลให้หยุดปั้มหัวใจคนนี้ซึ่งไม่มีหวังแล้ว ให้ไปช่วยอีกคนที่ยังพอมีหวังแบบริบหรี่
ผมหยิบท่อช่วยหายใจจะใส่เข้าไป เลือดสดๆไหลปรี่สวนออกมาจนต้องเอาเครื่องดูดมาดูด
ระหว่างหยิบเครื่องดูดตาก็มองไปที่สัญญาณไฟฟ้าหัวใจที่ปราศจากชีวิต จากนั้นก็ดูดเลือดออกมาจากปากได้เป็นแก้วๆ
เสือกท่อช่วยหายใจผ่านสายเสียงเข้าไปแล้วใช้ถุงลมบีบลมเข้าปอด ก่อนจะได้กลับมาเป็นเลือดสดๆที่ขังอยู่ภายในปอด
หลังจากผมสั่งการการให้ยากับพยาบาลแล้ว ก็เดินออกไปหาข้อมูลจากญาติก่อน
เรื่องราวที่ได้จากญาติ ของทั้งสองคนนี้น่าเศร้ากว่าที่เห็นทีแรก
ผมเดินออกไป มีคนรออยู่ข้างนอก4คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยสำหรับกรณีอุบัติเหตุที่มากันสองคน
ก็เลยถามว่าเป็นญาติใคร
ผู้ชาย(ซึ่งหน้าคุ้นๆ)บอกว่าเป็นพ่อของคนที่ถูกปั้มหัวใจอยู่
ส่วนผู้หญิงถามถึงผู้ชายใส่เสื้อสีเขียวอีกคนที่เห็นว่าถูกเข็นไปนอนที่ห้องพักฟื้นและไม่ได้ปั้มหัวใจ
ผมก็เลยบอกไปตามตรงว่าอีกคนนั้นเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนมาแล้ว โดยที่คอหัก ... หลังจากนั้นผู้หญิงสามคนก็ร้องไห้ปล่อยโฮกันหมด
เรื่องราวมีอยู่ว่า สองคนนั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปีใหม่
คนที่ยังปั้มหัวใจอยู่ กลับมาที่บ้านได้1วัน ซื้อขนมเปี๊ยะมาให้พ่อ พอเอาขนมให้พ่อก็บอกว่าจะออกจากบ้านไปข้างนอก
พอออกจากบ้านไป พ่อก็หั่นขนมเปี๊ยะ กำลังเตรียมหยิบจะกิน ก็มีคนมาตะโกนเรียกว่าลูกรถชน
รวมๆระยะเวลาเกิดเหตุจนมาถึงโรงพยาบาลอยู่ที่ราวๆ20-30นาที
ส่วนอีกรายนึงผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก
คนที่เสียใจที่สุดในวินาทีนั้น ณ ตอนนั้น คงไม่พ้นผู้หญิงที่ถามผมถึงผู้ชายเสื้อเขียว
เพราะเธอเป็นยายของชายหนุ่มทั้งสองคน ซึ่งตายแน่ๆไปแล้วคนนึง ส่วนอีกคนก็มีความหวังที่ริบหรี่เลือนลางมาก
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลยังปั้มหัวใจอยู่ ระหว่างนี้ก็มีโทรศัพท์จากอำเภอและจังหวัด สอบถามและให้ส่งรายงานเรื่องผู้ตายเป็นระยะๆเหมือนกับจะไม่สนใจว่าทางโรงพยาบาลกำลังพยายามช่วยคนอยู่
ทางเราตอบไปว่า กำลังช่วยคนเจ็บอยู่ ...
ทางนั้นตอบกลับว่า แล้วคุณเขียนรายงานเสร็จหรือยัง ...
ผมไม่ได้รับโทรศัพท์เอง แต่ดูเหมือนว่าทางฝั่งนั้น ต้องการให้ทางโรงพยาบาลทำรายงาน แต่อย่าเพิ่งส่งfaxไปให้เป็นตัวเลขหลักฐาน เนื่องจากจังหวัดนี้อนุญาตให้คนตายได้3คนเท่านั้น
ผมถามพยาบาลอีกครั้งว่าให้ยาไปเท่าใดแล้ว จากนั้นดูนาฬิกา ... เราช่วยกันมา20กว่านาทีได้ แต่ร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบสนอง เลือดที่ไหลออกจากหูทั้งสองข้างเริ่มจับแข็งและหยุดไหลแล้ว
ผมประเมินม่านตาอีกครั้ง ก่อนจะสะกิดพยาบาลที่นวดหัวใจให้เปลี่ยนกันแล้วก็ขึ้นไปนวดหัวใจแทน เพื่อนวดในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะหยุดการช่วยชีวิตหรือไม่
จากนั้นประเมินอีกครั้งแล้วก็หยุด ...
สัญญาณหัวใจยังเงียบราบเรียบดังเดิม ฟังเสียงปอดและหัวใจก็เงียบสนิท
จากนั้นก็เดินออกไปบอกพ่อของชายหนุ่ม แล้วก็ให้นำศพทั้งสองไปถ่ายเอกซ์เรย์เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอื่นๆ
ระหว่างนั้นก็มีโทรศัพท์จากนอกโรงพยาบาล บอกว่าเป็นแม่ จะสอบถามอาการลูกชาย
พยาบาลบอกเพียงแต่ว่าให้รีบมารพ.เพราะว่าอาการไม่ดี
ส่วนญาติๆของผู้ตายก็ทยอยเดินทางมาเรื่อยๆ บางคนมาถึงเดินไปดูศพก็เป็นลมล้มตึงตรงนั้น ต้องหามกันเข้ามา
ผู้ชายตัวใหญ่ที่เห็นศพญาติสนิท ร้องไห้ดิ้นไปมาบนเตียง ญาติผู้หญิงหลายๆคนร้องไห้อยู่นอกตัวตึก
คุณลุงคนนึงที่ทำงานในโรงพยาบาลสองคนก็มาดูศพ ... ผมลองถามดูก็ปรากฎว่าเป็นญาติของลุง
ผมมาอยู่ที่นี่สามปี มีญาติของลุงที่เสียจากรถจักรยานยนต์คว่ำไปแล้ว4คน ...
เมื่อเอกซ์เรย์เสร็จ ผมเดินกลับไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ก็เห็นผู้หญิงอีกคนนึงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตระหนก ... เนื่องจากมีญาติที่อยู่หน้าโรงพยาบาลบอกเธอแล้วว่าลูกชายของเธอตายแล้ว
ผมไม่ได้พูดคุยอะไรกับญาติอีก
...................................................................
ครั้งนี้ก็คล้ายๆกับทุกๆครั้ง
จะแปลกสักหน่อยที่ครั้งนี้การตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา
อุบัติเหตุมันเกิดได้ตลอดเวลาครับ
คนเราหลายคน ใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความเสี่ยง
บางคนขี่จักรยานยนต์อย่างเร็ว แต่ไม่ใส่หมวกกันน๊อค
บางคนดื่มเหล้าเมา
บางคนจับกลุ่มเป็นแก๊งกัน เที่ยวไปทุกงาน ยกพวกตีกันประปราย
หลายๆคนที่ไม่ตาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บขึ้น เห็นเป็นเรื่องสนุก
บางคนโดนยิงมากระสุนฝังใน ก็จับเอาลูกกระสุนที่ยังฝังอยู่โยกไปโยกมาสนุกสนาน
บางคนกินเหล้าเมามา โวยวายไม่ยอมให้เย็บไม่ให้รักษา ... พอสร่างเมาแล้วก็คุยอวดเพื่อนพ้องเป็นที่สนุกสนาน ถึงความขลังของเครื่องราง ของความกล้าบ้าบิ่นของตน
ผมมองแล้วสะท้อนใจ เพราะท่ามกลางความสนุกสนานของคนเจ็บที่รอดมาได้นั้น มีแต่น้ำตาของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่
ระหว่างที่ลูกนั่งโยกกระสุนที่ตุงตรงขาเล่น แม่นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
ระหว่างที่ลูกนอนโม้เรื่องเครื่องรางของขลังกับเพื่อน พ่อแม่ก็ไหว้พระขอให้ลูกอย่าเป็นอะไรมาก
และสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสลืมตาหรือบอกลาอีกต่อไป พ่อแม่และญาติๆก็ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่รอบๆ
ปีใหม่นี้ ระวังอุบัติเหตุกันด้วยนะครับ