คราวนี้มาเพิ่มเติมเนื้อหา ตามที่คุณ SOV เม้นมา เกี่ยวกับชื่อ ที่ไปที่มา อันเกี่ยวข้องกับภาษาล้านนา เผื่อมีท่านอื่นๆ ที่สนใจเพิ่ม
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตาม และชื่นชมผลงานของคุณ SOV เป็นผู้ที่มีความคิด ละเอียดละออ ในการสร้างสรรค์
ทึ่งในความสามารถ สนใจศึกษาค้นคว้า เก็บเล็กผสมน้อย คนที่สนใจจริงๆ จึงหายาก มีน้อยลง โดยเฉพาะอักขระภาษาโบราณ
ที่คนปัจจุบันละเลยไม่ได้สนใจกันแล้ว เพราะคัมภีร์ตำราพระไตรปิฎก แต่ละประเทศ ก็มีผู้รู้แปลมาเป็นภาษาของตนโดยเสร็จสรรพ
เราเลยสบาย ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ขาดแต่ปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษารากศัพท์เดิมๆ
ขนาดว่าผมเป็นคนเจ้าถิ่นภาษาก็ตามเถอะ อาจจะยังสู้คนที่สนใจ มาศึกษาค้นคว้าไม่ได้ เพราะยิ่งนานวัน ทักษะการพูด เขียน
ก็ลดลงไป ความศรีวิไล ของยุคสมัยตะวันตกก็ทะลุทะลวงเข้ามาสู่ป่า ซึ่งความเจริญก็มาคู่กับความเสื่อม ต้องคอยปรับปรุงแล
พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง (เริ่มยึดยาวไป รีบหักมุมมา)
ชื่อฟ้อนต์ที่ผมตั้งไว้ ศรีสัปปัญ ก็มีสื่อถึงความหมาย ถ้าเขียนให็ถูกต้องตามอักขระวิธีล้านนาก็ต้องเป็นตัว ศ ศาลา ตัวนี้
แต่ผมเขียนตามสำเนียงการออกเสียงและความนิยมของคนท้องถิ่นเก่า ซึ่งอักขระบางตัว เป็นตัวพิเศษ แล้วก็ยังมีตัว
พิเศษเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง เพื่อให้รองรับกับภาษาบาลี ที่ศาสนพุทธเผยแพร่เข้ามา พร้อมกับการจารบันทึกพระไตร
ปิฏก เพื่อการออกเสียงสำเนียงให้ใกล้เคียงกัน
ศรีสัปปัญ มาจากคำว่า ศรีสัพพัญญู สำนวนพื้นเมือง อ่านออกเป็น สะ-หรี-สัป-ปัน-ยู หมายถึงพระนาม นามหนึ่งที่คน
ทั่วไป หรือแม้แต่ศาสดาของลัทธิอื่น ต่างยกย่ององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นสัพพัญญู ผู้รู้แจ้งโลกสรรพสิ่งอย่าง
คำนี้มาจากภาษาบาลี สพฺพ=ทั้งหมด/ทุกอย่าง/ทั้งปวง +อญฺญู=ผู้รู้ มาจาก ญา ธาตุ แปลว่ารู้ ทำการสนธิสมาส
ตามหลักภาษาบาลีไวยากรณ์ เหมือนคำว่า ปริญญา วิญญูชน ปราชญ์ ปรัชญา(สันสกฤต) ก็มีรากศัพท์ ธาตุ วิภัตติ
ปัจจัย อันเดียวกัน
ภาษาล้านนา จะเขียนตามเป็นสำเนียงการพูด เช่น ร ออกเสียงเป็น ฮ เช่น รัก เป็น ฮัก โรงเรียน เป็น โฮงเฮือน พ. ออก
เสียงเป็น ป .เช่น พี่ เป็น ปี้ แต่จะเหมารวมกันเป็นหลักไม่ได้ บางคำก็เป็นคำเฉพาะ แต่ละท้องถิ่นอาจจะ ผิดเพื้ยนกันไปได้
สำเนียงการผันวรรณยุกต์ ทางเชียงใหม่ก็จะออกต่ำ จนดูว่าพูดช้ามาก ขึ้นมาทางเชียงรายก็จะออกเสียงสูง จึงพูดไวกว่า
คำว่าศรี เป็นสันสกฤต บาลีคือ สิริ ทางเหนือ ทางอีสาน เวลาเขาทำพิธีกล่าวขึ้นคำโอกาสงานต่างๆ เช่นบายศรีสู่ขวัญ ก็จะ
ขึ้นต้นคำว่าศรี นำหน้าก่อน
คำว่าสัพพัญ ก็ออกสำเนียงเป็น สัปปัญ ชาวบ้านเอาไปใช้ว่า สัปป๊ะ หรือ สะป๊ะสัปเป้ด หมายถึง มีทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น
ทุกคนต่างก็กินเหมือนกัน แต่ทำไมภาษาอักษรไม่เหมือนกัน ทุกคนต่างก็อาบน้ำเหมือนกัน แต่ทำไมสะอาดขาวดำไม่เหมือนกัน
คราวหน้าจะนำนิทานตลกเกี่ยวกับภาษามาเล่าสู่กันฟัง
อักขระภาษาล้านนา หรือแม้แต่ภาษาขอม ก็ใช้อักขรวิธีไวยากรณ์เช่นเดียวกันกับภาษาบาลี มีตัวซ้อน ปัดล่าง ปัดบน (นิคคหิต)
มีคำพิเศษเฉพาะทีรู้กันเช่น
มีตัวย่อด้วย ร้ายกาจซะจริงๆ เอ...อธิบายครบหรือยังหนอเรา
มาทางหนังสือตำราเรียนกันบ้าง ผมก็ขุดกรุ ปัดกวาดหยากไย่ เพราะยกบูชาขึ้นหิ้งไป(สูงซะจนลืมเอื้อม)
เล่มนี้เป็นบรมครูของภาคเหนือเลยก็ว่าได้ ยุคประมาณปี34-36
หนังสือเรียน ของอาจารย์มหาอินสม ไชยชมภู (เปรียญธรรม7 อาจจำผิด) อดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย
เล่มนี้ ของอาจารย์ ทวีเขื่อนแก้ว (เปรียญธรรม7)
และเล่มเล็ก
อันนี้เป็นลายมือของอาจารย์ผม สวยมาก หางพริ้ว ขอชม ส่วนลายมือผม ไก่เขี่ยไม่ทันหรอก
ฟ้อนต์ไทย แต่ออกแนวล้านนา ที่มีผู้ทำไว้ ดูตัวอย่าง
ฟ้อนต์ที่ผมใช้ และคิดว่าสวยงามดูดี น่าใช้ที่สุด คือฟ้อนต์ LN_TILOK_V1_57.TTF ดิลก อาจมาจากคำว่าติโลกราช
ของศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ซึ่งท่านสร้างมาเป็นตัวพิมพ์ยุคแรกของวงการ
โหลดฟ้อนต์ LN_TILOK_V1_57.TTF ดิลก ไม่รู้ว่าเขาเคยเอามาปล่อยให้โหลดใน ฟ้อนต์คอมหรือเปล่า
https://drive.google.com/file/d/1UYANWJtW6xwg9VnPOunO3ZnzIv5I_g4g/view?usp=sharingแต่มีปัญหาในการใช้กับ โปรแกรม AI CS6 นอกนั้นใช้ได้ดี เพราะปัดหางไม่ได้ ผิดอักขระวิธี คงต้องอัพเดทใหม่
ส่วนรูปร่างอักษร เสียดายตรงหางสั้นไปไม่สวย อาจจะเป็นไฟต์บังคับในเรื่องการวางตัวพิมพ์ และไม้โท ตัวเขียน
เดิมจริงๆ ก็แค่ปัดหางขึ้น เหมือนไม้หัน หรือไม้กังไหล ใช้แบบเดียกัน ไม่มีหัวงอขึ้น เขาคงจะทำขึ้นมาเพิ่ม
เพื่อจะได้แยกความแตกต่าง
และก็ตำราเรียนจริงๆ ฝากให้คุณ SOV ด้วยเผื่อเป็นทางเลือก ที่จะได้พัฒนาสานต่อสิ่งใหม่ๆ โหลดตำราเรียน
https://drive.google.com/file/d/1yTaG45WgDlx1G-b-tOht7hfkCrPdRdlp/view?usp=sharingส่วนตัวล้านนาที่ผมทำไว้ แต่ยังไม่ได้ทำเป็นตัวพิมพ์
ส่วนตัวขอม ผมไม่ค่อนสันทัด
เอาแค่นี้ก่อนล่ะกัน ค่อนวันแล้ว ผมเป็นคนด้อยหลักการ หากไปยุ่งกับเรื่องคัมภีร์ตำราวิชาการมากๆ ก็จะมึนตึ๊บ เพราะมัน
ไปขัดแย้งกับหัวศิลปะ พวกอาร์ตติส คงจะเป็นกันแบบนี้ เพราะมัวแต่บิ้วอารมณ์ ใส่ใจกับการประดิษฐ์ประดอย เลยมอง
ข้ามวิชาการไป ทำให้ใจเขวออกไปจากศิลปะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยือน สวัสดี