ถ้าเรียงตามความสำคัญในใจ
ยกครอบครัวให้เป็นที่หนึ่งเสมอนะ
คิดว่าประมาณนี้ ครอบครัว>ตัวเอง>เรียน>เพื่อน
ค่อนข้างเป็นคนสันโดษนะ คนรู้จักเยอะ แต่เพื่อนน้อย
ไม่รู้เราไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรือเพื่อนไม่คบ
มีความสุขดีกับการอยู่กับตัวเอง ทำกิจกรรมก็แบบไปลุยเองเลย เพื่อนหาเอาข้างหน้า
แต่ถ้าเรียงตามเวลาที่ใช้ไปจะเป็นแบบนี้
เรียน>ตัวเอง>ครอบครัว>เพื่อน
ซึ่งก็คง อาจจะเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะเรียนจบ
หรือไม่แน่ก็อาจต้องเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิต
ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจแหละ แต่ก็แอบท้อบ้างเหมือนกัน
โดยเฉพาะช่วงที่เจอข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับอาชีพตัวเอง
ที่กำลังจะกลายไปเป็นผู้ขายบริการทางสาธารณสุขในสายตาคนอื่นมากขึ้นทุกทีๆ
อีกอย่างคือช่วงนี้เปราะบางมาก ใจมั่นเริ่มไม่มั่นคง
รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นหลักให้เรายึดหนี่ยวมันน้อยลง มันสั่นคลอน
ปกติแล้วโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ไม่สนหรอก
เพราะสิ่งหนึ่งที่มั่นใจว่าจะไม่เปลี่ยนแน่คือ ครอบครัว
โลกมันเลวร้ายแค่ไหน กลับไปบ้านก็อุ่นใจ กลับไปบ้าน ก็ยังเป็นบ้าน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว สมาชิกในบ้านจากสี่ เหลือแค่สามคน
เป็นการจากไปแบบที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย
ตอนนั้นนึกอยากให้โลกแม่งรีบๆ แตกไปซะ จะได้ตามไปอยู่ด้วยกันให้พร้อมหน้า
แต่จนทุกวันนี้ก็ยังต้องอยู่รอดปลอดภัยดี ใช้กรรมต่อไปสินะ
ปีนี้เป็นปีที่เจอความสูญเสียพลัดพรากมากจริงๆ เป็นคนใกล้ตัวทั้งนั้น
วันนี้คนใกล้ตัวอีกคนก็เพิ่งมาด่วนจากไป เป็นอาจารย์ที่สอนเมื่อปีที่แล้ว
เป็นคนตลกมาก น่ารักมาก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาจารย์ป่วยจนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง
บางทีก็มาหยุดคิด เออ นี่เราถึงวัยที่ต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้แล้วเหรอ
คนรุ่นพ่อแม่เรา ถึงเวลาที่ต้องจากไปกันแล้วเหรอ
พอคิดแบบนี้แล้ว ยิ่งอยากกลับไปให้เวลากับครอบครัวให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
ถ้าอีกหน่อย ถึงวันต้องทำงานไปทำงานไกลๆ
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะปรับสมดุลชีวิตตัวเองได้ยังไง
จะมีเวลานอกเหนือไปจากงานมากแค่ไหน
แต่พอถึงเวลานั้น ก็คงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วมั้ง
ตอนนี้ก็พยามทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุดไปก่อน
พยามเข้มแข็งมากขึ้นไปก่อน
บางทีก็นึกอยู่เหมือนกัน
ว่าเรากำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่าว่าเราเข้มแข็งพอ
แต่จากที่ผ่านมา ก็คิดว่าค่อนข้างโอเคแล้วแหละ
ทุกอย่างมันก็คงค่อยๆ ดีขึ้นเอง
รู้สึกเหมือนเขียนระบายใจมากกว่าแฮะ