หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 [15] 16 17 18 19 20 21 22 ... 26
 
ผู้เขียน หัวข้อ: แผ่เมตตา  (อ่าน 84413 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ถลอกโพสผิดจู๋อีกแล้ว  กร๊าก กร๊าก กร๊าก
จู๋เกาหลีมาแรงอยู่ที่นี่นะ http://www.f0nt.com/forum/index.php/topic,19292.0.html
บันทึกการเข้า
ผมว่าอย่างหนึ่ง ก็คือ หลวงพี่อาจจะอยากตอบทุกคน แต่บางคนมาประเด็นที่หลวงพี่เห็นว่าถามไปแล้วตอบไปแล้ว
ตัวอย่างของกระจู๋แบบนี้มีเยอะนะครับ คนที่เป็นคนตอบบางครั้งก็เลือกตอบบ้างก็ได้ครับ
อันนี้แนะนำอะนะครับเผื่อมีประโยชน์ แต่หากเห็นว่า ผมต่ำต้อยเกินไป ปัญญายังไม่ได้
ก็ไม่เป็นไรครับ หากว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้โพสต์ตอบโต้กันในประเด็นนี้ ผมก็อยากจะบอกว่า
ขอบพระคุณหลวงพี่มากครั้บ ที่กรุณา และอนุโมทนาต่อเจตนาที่จริงใจในการให้ความรู้ครับ
แต่ต้องยอมรับว่าความเป็นตัวตนของหลวงพี่ทำให้เข้าถึงยากพอสมควร ต่อก็ยังรู้สึกยินดีอยุ๋ดีครับ
เรื่องตัวตนนี่เป็นเรื่องไม่แปลกครับเพราะเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าวันใดที่เรารุ็สึกว่านี่คือจริตของท่านได้อย่างจริงใจ
ผมอาจจะเข้าถึงธรรมที่ท่านกรุณาได้มากกว่านี้ อนุโมทนาครับท่าน
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
น้องดำผิวปาก
บันทึกการเข้า

กาก
ถ้าหลวงพี่ยืนยันว่าจะให้ลบจู๋นี้ เดี๋ยวผมจะลบให้นะครับ
รอให้สมาชิกในบอร์ดอ่านกันจนครบก่อน
เพราะบางคนยังอ่านไม่จบ



ขอบคุณมาก ตามนั้นแหละ แค่อย่าเกิน 3 วัน
และไม่ต้องถามหรือโพสต์แสดงข้อความอะไรต่อ
จักกรุณามาก

ข้อตกลงก็คือข้อตกลง ถ้าไม่ทำตามที่ตกลงไว้ก็ไม่ต้องเอ่ยกันแล้ว
ไม่ใช่ไม่เคยกล่าว เมื่อเราไม่ทำก็ไม่ต้องทำ ถ้าทำก็ต้องใส่ใจทำ
ไม่ใช่แค่ทำดีเพื่อตนเองเท่านั้น เราต้องทำดีเพื่อตนและส่วนรวมด้วย
เพราะเรามุ่งแต่ส่วนตน สังคมก็ถึงพัง
ความเมตตามันมี ความกรุณามันมี แต่เราก็ต้องมีวิธีฏิบัติที่ดีต่อกันด้วยปัญญาถึงอยู่กันได้

ตัวตนของใดคนหนึ่งไม่ใช่ประเด็น แต่ตัวตนของทุกคนมารวมกันกระแทกเข้าที่เดียวมันจึงพัง
แต่เมื่อเราทุกคนทำมันพัง เราทุกคนก็ต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
ไม่ใช่คนใดคนไหน เพราะเราไม่รักษาส่วนรวม เราอยากจะได้คำตอบของตน ๆ โดยไม่คำนึงถึงใครอื่นส่วนรวม
ฉะนั้นทำดีเพื่อตนและส่วนรวมด้วยสังคมจึงอยู่รอด
หลวงพี่แค่ให้แนวคิดไว้เป็นแนวทางเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น มันจึงไม่เกิดประโยชน์เมื่อเราไม่ได้ลงมือทำ
ต่อจากนี้ไปสิ่งไหนดี ๆ ก็เก็บจำไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ลบเลือนมันทิ้งไป หรือเก็บจำเป็นบทเรียนไปสร้างสรรค์เอง
ฝึกใจเย็น ๆ รู้จักรอวาระที่เหมาะสมในการกล่าว ฝึกการตั้งคำถาม และรู้จักเรียนรู้วิธีแสดงความคิดเห็น
เพราะสังเกตเห็นว่ามีบางคนฉลาดในการแสดงความคิดเห็นให้ได้เรียนรู้ก็มี มองดูเองและเรียนรู้จากเขา

ตามนี้ครับ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พ.ย. 2011, 20:36 น. โดย Alsmile » บันทึกการเข้า

sometimes you need to let things go.
สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพยาปัชฌา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิดฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 พ.ย. 2011, 12:22 น. โดย Alsmile » บันทึกการเข้า

sometimes you need to let things go.
ตามอ่านไม่หมด เยอะจัง อย่าเพิ่งลบนะ  ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

ชื่อ Earth ครับ เรียกเอิดก็ได้ | Earthchie's Blog
จะสื่ออะไรครับ หมีโหด~
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
ม๊ะ! อ่านทั้งหมดในสองชั่วโมงจบละ มารอถกปัญหาธรรมตรงนี้ด้วยคน กับคนที่เดินออกจากห้องสอบนักธรรมเอก
บันทึกการเข้า

If the world is playground, Play together.
ขอบคุณมาก ตามนั้นแหละ แค่อย่าเกิน 3 วัน
และไม่ต้องถามหรือโพสต์แสดงข้อความอะไรต่อ
จักกรุณามาก

ข้อตกลงก็คือข้อตกลง ถ้าไม่ทำตามที่ตกลงไว้ก็ไม่ต้องเอ่ยกันแล้ว
ไม่ใช่ไม่เคยกล่าว เมื่อเราไม่ทำก็ไม่ต้องทำ ถ้าทำก็ต้องใส่ใจทำ
ไม่ใช่แค่ทำดีเพื่อตนเองเท่านั้น เราต้องทำดีเพื่อตนและส่วนรวมด้วย
เพราะเรามุ่งแต่ส่วนตน สังคมก็ถึงพัง
ความเมตตามันมี ความกรุณามันมี แต่เราก็ต้องมีวิธีฏิบัติที่ดีต่อกันด้วยปัญญาถึงอยู่กันได้

ตัวตนของใดคนหนึ่งไม่ใช่ประเด็น แต่ตัวตนของทุกคนมารวมกันกระแทกเข้าที่เดียวมันจึงพัง
แต่เมื่อเราทุกคนทำมันพัง เราทุกคนก็ต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
ไม่ใช่คนใดคนไหน เพราะเราไม่รักษาส่วนรวม เราอยากจะได้คำตอบของตน ๆ โดยไม่คำนึงถึงใครอื่นส่วนรวม
ฉะนั้นทำดีเพื่อตนและส่วนรวมด้วยสังคมจึงอยู่รอด
หลวงพี่แค่ให้แนวคิดไว้เป็นแนวทางเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น มันจึงไม่เกิดประโยชน์เมื่อเราไม่ได้ลงมือทำ
ต่อจากนี้ไปสิ่งไหนดี ๆ ก็เก็บจำไว้ สิ่งไหนไม่ดีก็ลบเลือนมันทิ้งไป หรือเก็บจำเป็นบทเรียนไปสร้างสรรค์เอง
ฝึกใจเย็น ๆ รู้จักรอวาระที่เหมาะสมในการกล่าว ฝึกการตั้งคำถาม และรู้จักเรียนรู้วิธีแสดงความคิดเห็น
เพราะสังเกตเห็นว่ามีบางคนฉลาดในการแสดงความคิดเห็นให้ได้เรียนรู้ก็มี มองดูเองและเรียนรู้จากเขา

ตามนี้ครับ.

ผมว่าเรื่องให้ลบอย่าให้เกินสามวันเจ็ดวันอะไรนี่
บางทีมันก็ลำบากนะครับ
เพราะผมเชื่อว่าเนื้อหาสาระในจู๋นี้ก็มีประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
และสมาชิกหลายคนๆ ก็ยังติดตามอ่านกันอยู่
แต่ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างเยอะและต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ
ซึ่งถ้าลบไปก่อน คนที่ติดตามและได้ประโยชน์จากจู๋นี้ก็จะสูญเสียโอกาสไป

ผมตั้งใจว่าจะดูจำนวนอ่านถ้ามันไม่เพิ่มขึ้นเลยเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
พอจะอนุมานได้ว่า สมาชิกที่ติดตามอ่านอย่างเดียวก็คงจะอ่านกันครบแล้ว
ผมก็คิดว่าจะลบหลังจากนั้นครับ  ไหว้

การที่เราทำอาหารให้คนอื่นทาน
แล้วเขาบอกเราว่ามันไม่อร่อย
ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจทำอย่างปราณีตและคิดว่ามันอร่อยแล้ว
ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่มีใครผิดนะครับ ทั้งคนกินทั้งคนทำ
เพราะมันเป็นเรื่องของรสชาติซึ่งเป็นเรื่องของปัจเจกมากๆ นะครับ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พ.ย. 2011, 21:56 น. โดย ณต » บันทึกการเข้า
ตามนั้นแหล่ะครับ ภายใน 3 วัน ใครทันก็ทันไม่ทันก็คือหมดเขตไปแล้ว
มันไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเมื่อเรารู้จักกำหนดขอบเขตและลงมือทำตามนั้น

วิธีการหาความรู้ความจริงมันมีหลายทาง
ไม่ได้จากที่ตรงนี้เขาก็หาได้จากที่อื่นครับ การเข้าถึงความองค์ความรู้ทุกวันนี้มันง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะ
หลวงพี่ก็ไม่ได้รู้เองโดยปราศจากการสั่งสมองค์ความรู้มา
แต่เมื่อเราพูดคำว่าหยุดก็คือ เราต้องยอมรับว่าหยุดให้ได้จริง ๆ

เมื่อมันพ้นวาระของการตัดสินใจไปแล้ว
ถ้ายังต่อความอีกหลวงพี่จะตามลบทุกโพสต์เองทั้งหมด จริงครับ
ของบางอย่างเราได้มา แต่ไม่รู้จักรักษามันก็เคลื่อนจากไป ไม่มีอะไรแน่นอน
โยมจงใช้สติปัญญาแสวงหาเองเถิด มันไม่ได้ยากอะไร ถ้าเราใส่ใจทำ
เมื่อวาระนั้นมาถึงจงยอมรับ ละ วาง ปล่อยไป
ไม่จากกันในเร็ววันนี้ พรุ่งนี้ หรือสักวันมันก็ต้องจากกันไปจนได้อยู่ดี
ดังนั้น จบคือจบ ครับโยมณต หลวงพี่เข้าใจเจตนาตรงนี้และขอบคุณมาก
นี่คือความจริง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 พ.ย. 2011, 18:01 น. โดย Alsmile » บันทึกการเข้า

sometimes you need to let things go.
อี enter ยาวๆนั่นมันอะไร  กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า

กาก
ทำบุญมาก ได้มากใช่ไหมครับ



ที่จริงเคยตอบประเด็นนี้ก่อนหน้าแล้วว่ามันขึ้นกับเจตนา วัตถุ บุคคล และประโยชน์ที่จะใช้ของวัตถุ
ในความเป็นจริงการทำบุญมุ่งสละออกซึ่งการสะสมผูกพันยึดมั่นกับวัตถุ หากทำบุญหวังผลมันก็ขัด ๆ กันนะครับ
แต่มันได้รับความสุขอยู่แล้วครับ แต่เราต้องมองเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบในสิ่งที่เราทำด้วยครับ
เกณฑ์เรื่องเจตนา วัตถุ บุคคล และประโยชน์ที่จะได้ใช้วัตถุที่เราทานนั้นละครับ



แล้วทำบุญโดยเลี้ยงเด็กกำพร้า กับ บริจาคสร้างมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกละครับ
บันทึกการเข้า

กินรอบวง
เห็นคำถามของตั้งแล้วก็สงสัยเหมือนกัน

เคยอ่านเจอว่าการทำทาน ยังได้บุญน้อยกว่ารักษาศีล การรักษาศีลก็ยังได้บุญน้อยกว่าการภาวนา
แต่การทำทานก็ขึ้นอยู่กับว่าเราทำทานกับใคร เนื้อนาบุญก็สำคัญ
อย่างการทำทานกับสัตว์เดรัจฉาน ได้บุญน้อยกว่าทำทานกับมนุษย์ มนุษย์มีศีล ฯลฯ ตามลำดับไป

เปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน เราคงไม่มีโอกาสทำทานกับพระพุทธเจ้า
ถ้าสมมติว่าเราทำทานกับพระอรหันต์ หนึ่งครั้ง กับการภาวนาหนึ่งครั้ง โดยความตั้งใจมั่นทั้งสองประการ
อย่างไหนได้บุญมากกว่ากันครับ

ใครตอบก็ได้ครับ ไหว้
บันทึกการเข้า

ต๊กต๋าเปิ้นเป๋นดีไค่หัว ต๊กต๋าตัวเป๋นดีไค่ไห้
เวลาผมคิดผมคิดอย่างงี้นะครับ  ให้ เปรียบกับที่เราเข้าใจง่ายๆ 
สมมติว่า พระอรหัน คือคนที่รู้จริง ปฏิบัติดี สรุปคือ เพอร์เฟค 
โอกาสที่เขาจะสอนคน ช่วยคนมีสูง ยิ่งเพอร์เฟคเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสช่วยคนให้ดี ให้รู้จริงได้มากเท่านั้น
ถ้าสมมติเรา มีความตั้งใจจริงมองเห็นข้อนี้จริงๆ และช่วยส่งเสริมเขาให้เขาได้ทำ สมมติด้วยกำลังใจที่เป็นข้าวหนึ่งมื้อ
เขามีแรงจากการกินข้าวองเราหนึ่งมื้อบวกกับการให้กำลังใจแบบสุดๆ (การให้กำลังใจก็คือการอนุโมทนามัยอะนะครับ) จากเรา
คิดว่าแรงจากข้าวหนึ่งมื้อกับกำลังใจที่สุดเมพของเรา จะทำให้เขาสร้างประโยชน์ได้เท่าไรอย่างไรบ้างครับ (อันนี้ทศไว้ในใจก่อน)

มาด้านภาวนา การภาวนานี่ต้องเน้นไปที่การวิปัสนา เจริญสตินะครับ  ให้เปรียบว่าขั้นตอนนี้เป็นการฝึกเราให้รู้จริง
ให้มีสติ คิดพิจารณา  ก็คือฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนเพอร์เฟคแบบคนข้างบนนะครับ  ทีนี้ถ้าเราได้อะไรก็แล้วแต่มาจากการฝึกนี้
เราจะใช้มันได้อย่างคนข้างบนหรือเปล่าและเท่าไร (เอาตัวที่ทศเอาไว้ข้างบนมาเปรียบเทียบดูครับ)

ดังนั้นถ้าถามว่า สองอย่างนี้ อันไหนมากกว่ากัน มันขึ้นอยุ่กับปัจจัยนะครับ ปัจจัยสำคัญคือตัวเราครับ
ดังนั้น ผมจึงเชียร์เรื่องการภาวนา ว่า มีโอกาส ทำประโยชน์ได้มากกว่าครับ

เหมือนเราจะสอนคนอื่นแต่เรามีความรู้นิดเดียว มันก็ได้ประโยชน์นิดเดียว
เราไม่มีความรุ้แต่เราส่งเสริมให้คนที่รุ้ไปสอน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคน
ไม่มีความรุ้อย่างเราจะส่งเสริมเขาได้จริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง สมบุรณ์หรือไม่สมบูรณ์

แต่ถ้าเราหันกลับมาส่งเสริมตัวเองให้มีความรู้จริง โอกาสสร้างประโยชน์ก็อยุ่ในมือเราแล้วครับ
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ถ้าผมอยากทำบุญ ก็เพราะจากความรู้สึก สงสาร
ไม่ว่าจะเกิดจาก คน สัตว์ สิ่งของ ที่เราเห็น ณ ตอนนั้น
เจอหมาซักตัวยืนยิ้มอยู่ข้างร้านข้าว ที่ผมกำลังซื้อกับข้าว
ผมก็โยนไก่ทอดไปให้มันชิ้น

ไปเที่ยว
ก็หย่อน 20 บ้าง 30 บ้าง
แล้วก็ยกมือไหว้ คนเอาซองผ้าป่า กฐิน มาให้
ผมก็หย่อนมากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังทรัพย์

ไปช่วยตามโรงเรียน บางทีเงินมันไม่จำเป็นเท่า สร้างห้อง
ต่อสายไฟ ต่อปั๊มน้ำ ผมก็ไม่สนเงินนะ ก็ออกแรงทำนู่นนี่
ได้ประโยชน์กับเขามากกว่า

เจอช้าง เจอม้า เขาลากมาโชว์
ก็ซื้อของ ของเขาที่หิ้วมา ให้มันกิน
บางทีก็ของบนโต๊ะเรา ที่มันกินได้ ก็หยิบใส่ปากมันซะ

ผมไม่ได้คิดหรอกว่า เงิน 20 กับอ้อยถุงนึง
คนจะได้มากเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยช้างมันก็คงหิว
อยากแทะเล่นตอนเดินถนนร้อนๆ บ้าง ใครจะรู้

ฯลฯ ตามแต่ความสะดวก และกำลังที่เราพึงมี
หวังอะไรจากบุญมั้ย ก็ภาวนาให้พ่อแม่ คนที่เรารักบ้างเล็กน้อย
แต่บุญไม่มีจริงๆ หรอก แค่ความรู้สึก สบายใจ ที่ได้มาแค่นั้น
ขึ้นอยู่กับ ใคร จะแลกความสบายใจ ใหญ่หรือเล็ก แค่ไหน

นั่นล่ะ คือทั้งหมดให้การทำบุญของผม
บันทึกการเข้า

nuugo.blogspot.com
instagram.com/nuugo
หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 [15] 16 17 18 19 20 21 22 ... 26
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!