งานนี้ ดูแล้วผมขำนะ ไอเรื่องไม่เป็นเรื่องก็มาทำให้เป็นเรื่องกัน
จะฟังให้คลั่งสถาบันขึ้นมาก็ทำได้ จะฟังให้เป็นเรื่องตลกก็ทำได้
อัตตากันละครับ ที่ทำให้ดราม่ามันเฟื่องฟู
ผมเชื่อแหละครับว่าทุกเรื่อง คนทุกคนเข้าซ่อมเหมือนกัน
ได้ความรู้สึกไปไม่เท่ากันหรอกครับ บางคนอาจจะได้ความขมขื่น บางคนแม่งมันส์
บางคนได้เพื่อน บางคนได้ศํตรู บางคนคิดว่าถูกลดความเป็นคน บางคนคิดว่าเออได้รู้จักตัวตนและความเป็นคน
ไอคนที่ตัดสินคนนั่นแหละ ที่ลดความเป็นคนให้คนอื่น ไม่ว่าจะฝั่งศิลปากรเองก็ดี ฝั่งคำผกาเองก็ดี...
ถ้าฝั่งศิลปากรฟังแล้ว คิดว่าเอออิเจ๊นี่แม่ง ไม่เข้าใจสักนิดแล้วมาพูด ไม่ต้องมานั่งแหกปากโอดโอยเหมือนร้อนตัว มันก็จบ
ผมก็ยังเชื่ออยู๋ดีครับ ว่าถึงไม่ได้เป็นระดับโลกกันหมด แต่เราก็ภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเราได้อยู๋แล้ว ถ้าเราเก๋าพอ
ไม่ต้องรอให้ใครเอาอะไรมาวัดเราได้หรอกครับ
โห เจ๋งมากเลยครับพี่
สรุปเรื่องให้ฟังสั้นๆ
1. สัปดาห์ก่อนหน้านี้ วันศุกร์ มีการชุมนุมรุ่นใหญ่ๆที่คณะ
เพื่อถกเถียงหารือกันเรื่องรับน้องปีนี้ เรียกปี 4 มาถกด้วยกัน
เพราะทุกปีต้องมีการปรับเปลี่ยน หรือเน้นย้ำหาเหตุผลบางเรื่อง
ให้กับปี 4 ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ว่า ห้าทำอะไรที่มันไม่มีเหตุผล อำนาจนิยม ฯลฯ
แต่ส่วนที่ว้ากมันก็มีอยู่ และเหตุผลบางอย่างมันก็ยังเป็นแบบ"ซ่อมน้องๆ"อยู่
เพราะประเด็นมันคือการแสดงละคร จึงมีการถกเถียงกัน โดยผมคนเดียวนี่ล่ะแย้งชาวบ้าน
2. มีงานเสวนาในวันพุธถัดมา ผมไปฟัง จริงๆแล้วผมยกมือจะพูดด้วย
ถ้าใครได้ดูคลิปสุดท้าย ที่มีสาวอักษรจุฬาพูด นั่นคือผมเสียสละให้เธอพูด(แต่เธอไม่รู้หรอก เพราะผมนั่งอยู่หลัง)
เพราะมันจะหมดเวลาแล้ว และเค้าอยู่ในวัยที่กำลังทำงานรับน้อง ควรจะได้รับคำตอบ แหม เท่เชียว
โดยรวมคือ ผมเห็นด้วยกับ อ.พิชญ์อย่างมาก ถึงมากที่สุด
แม้ว่าในคณะ จะมีประเพณีที่ต่างออกไปแค่ไหน ผมเรียกมันว่าประเพณีต้านประเพณีอีกที
และในสถานะของการเป็นประเพณี มันก็มีพลังในการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่
แต่ทั้งหมด ก็มีเค้าโครงของการว้ากและโซตัสอยู่เหมือนกัน
เนื้อหาของการเสวนาน่าสนใจมากสุดๆ ผมว่าเป็นเสวนาที่ดีมาก มัน ฮา
และผมนั่งข้างหลังลุงคนถ่ายคลิปนี่ล่ะ(อุปการณ์แกขนมาเต็มมาก)
ย้อนกลับไปก่อนที่จะเสวนา คนที่จะเดินขึ้นหอประชุมไปฟัง ต้องเดินผ่านเด็กปี 1 โบราณ
ที่นั่งอยู่ใต้หประชุม เตรียมเข้าซ่อม และที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นคือ
หลังจากเสวนาเสร็จ มีการรวมแถวของเด็กเฟรชชี่คณะนึงปิดตรงทางเข้าหน้าหอประชุมไว้
โดยมีพี่ว้ากกำลังทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ตะโกนเสียงดังน่ากลัว
และเด็กยืนก้มหน้า เป็นเรื่องย้อนแย้งที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมาเลย
ผูุ้เข้าเสวนาเดินออกมาเจอ เกิดอาการคัลเจอร์ช็อค
และบังเอิญว่า นั่นคือคณะข้าพเจ้าเอง ผมเลยเดินไปบอกน้องปี 4 ที่รับผิดชอบว่า
ให้แหวกทางให้รอผู้เข้าเสวนาเดินออกมา และวันนี้อย่าเยอะ มีคนนอกมามากมาย
(แถมมาด้วยแนวคิดต่อต้านการรับน้องด้วย) กลัวไปออกยูทู้บน่ะ
ผมเลยยืนคุยกับหลายคนที่พอจะรู้จัก บอกว่านี่เป็นการสาธิตการว้ากให้ชมนะครับ
3. หลังจากนั้น ก็คิดว่าถ้ามันเผยแพร่ไปทั่ว สงสัยจะโลกแตก
ก็เป็นจริงตามนั้น และผมก็ต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านไปเสนอข้อมูลต่างๆเพื่อหวังให้ทุกท่านใจเย็น
จริงๆในคณะมันก็มีคนที่ใจเย็น มีเหตุผลอยู่ปริมาณมาก ก็เข้าไปโต้แย้งคำ ผกา ด้วยเหตุผลนั่นแหละ
มีการคุยกันภายในมากมายว่า อย่าไปปรี๊ดใส่ หน้าที่พวกนั้นให้กลไกอื่นๆของศิลปากรทำไป
(ยังไงก็เยอะอยู่แล้ว) เราทำหน้าที่อธิบายเหตุผล ซึ่งผมมองว่าเหตุผลส่วนมาก
ไม่สามารถโต้แย้งสิ่งที่ อ.พิชญ์ หรือ คำ ผกาอธิบายมาส่วนใหญ่ได้ คือมองประเด็นแต่ว่า
เราได้ประโยชน์อย่างไร สังคมที่เราอยู่ได้ประโยชน์อย่างไร ชีวิตเราได้ประโยชน์อย่างไร
แต่แทบไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงได้ว่า แล้วไอ้ประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อ ตัวเรา-สังคมวิชาชีพเรา
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว มันส่งผลกระทบในภาพกว้างต่อพัฒนาการทางสังคมยังไงบ้าง
ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่นักออกแบบจะจินตนาการออก หรือไม่ต้องนักออกแบบก็ได้
ใครก็ได้ นักวิชาการที่ศึกษามาอย่างดี ก็ยากจะจิินตนาการออก ต้องอาศัยข้อมูล
และเชื่อมโยงอะไรในภาพกว้างทางสังคมมากมายมหาศาล
รวมไปถึงว่า ถ้าเราถูกหล่อหลอมมาโดยเบ้าหลอมทางสังคมแบบนั้น
เราจะได้รับเอาดวงตาในการมองสิ่งต่างๆแบบนั้นมา เราจะมองเห็นฝุ่นในดวงตาตัวเองหรือ
ก็แน่นอนว่าเราจะมองไม่เห็น เพราะเราอยู่ในนั้น
รวมถึงข้อโต้แย้งประเภทว่า คนไม่เคยเข้าร่วมแล้วจะมาวิจารณ์ไม่ได้
อะไรพวกนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สมเหตุสมผล ถ้าเราสามารถวิจารณ์ได้เฉพาะเรื่องเราเคยลงมือทำ
งานวิชาการทุกอย่างในโลกคงไม่มีวันเกิดขึ้น และเราก็คงพูดถึงอะไรได้ไม่กี่เรื่อง
เราไม่สามารถวิจารณ์นักการเมืองได้ เพราะเราไม่เคยเข้าไปทำงานการเมือง
หรือหมอไม่ต้องมาออกความเห็นเรื่องโรคต่างๆ ถ้าหมอยังไม่เคยเป็นโรคนั้น เป็นต้น
4. คำพูดของเจ๊แขก ผมว่าชวนหาเรื่อแน่นอน เรื่องนี้มันขยายใหญ่โตมาก
ผมสรุปไว้บนสเตตัสว่า
" ชอบบรรยากาศแบบนี้แฮะ จากที่คนเรียนศิลปะ ไม่ค่อยมีใครสนใจนักวิชาการ
นักวิจารณ์สังคม หรืองานเสวนาทางวิชาการอะไร ทุกวันนี้ ทุกคนหันมาเอาใจใส่กันอย่างพร้อมเพรียง "
" จะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย จะโต้แย้ง จะชม จะด่า จะเกรียน จะมีเหตุผล
ไม่ว่าจะแบบไหนอย่างไร มันคือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถาม
เพื่อคำตอบที่ได้ จะหนักแน่นและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ "
" ผมว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ถ้าไม่มีเรื่องนี้ การตรวจสอบความคิดประเด็นนี้
อาจจะไม่ได้ไปสู่สังคมวงกว้างถกเถียงกันหลากหลายขนาดนี้ คือถ้าเป็นประเด็นอื่นๆที่เป็นประโยชน์
แต่มันไม่ดราม่า ไม่มีอะไรสะกิดต่อมโมโห ไม่น่าจะมีใครสนใจมากถึงขนาดนี้
รวมถึงคลิปสารคามก็เข้าข่ายนี้ นี่อาจจะแปลว่า ถ้าต้องการให้ประเด็นไปสู่วงกว้างของสังคม
มานั่งพูดกันวิชาการๆกันในห้องเสวนาชืดๆ อาจจะไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ เหมือนหนังสือพิมพ์
ที่ต้องเน้นข่าวมันๆ ก็อสสิปๆ Sensations อะไรแบบนั้นมั้งครับคนถึงจะหันมามอง "
เป็นข้อสรุปที่จริงแต่ขื่นทีเดียว แต่อย่างน้อยผมว่า หลังจากเรื่องนี้แล้ว
คนจะมองประเด็นการรับน้องต่างออกไป
5. ลืมบอก ผมเป็น 1 ใน 3 คนของรุ่นที่ขึ้นซ่อมทุกวัน
เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติมาก ในปีนึงจะมีไม่เกิน คนสองคน
และผมเข้าร่วมทุกกิจกรรมของคณะ เป็นคนนำร้องเพลงคณะ
และเพลงมหาลัยในงานกิจกรรม แต่นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวกับแนวคิดผมต่อการรับน้อง
ผมเข้าใจปัจจัยทางสังคมว่าทำไมการรับน้องมันถึงเหมาะกับสังคมไทย
มันเหมือนกับที่ละครหลังข่าวเหมาะกับสังคมไทยนั่นแหละ