ตัวเองโดนรับน้องสองแบบ แล้วก็เป็นพี่อบรมทั้งสองแบบ
เพราะว่าเป็นลูกครึ่งสองสถานะ (ขี้เกียจเล่า เดี๋ยวยาว)
แบบนึงเป็นว้ากรุ่นโบราณคร่ำครึในคณะตั้งใหม่ที่กำลังก่อร่างสร้างประเพณีของตัวเอง
เกริ่นก่อนว่า คณะนี้มันเรียนด้วยกันแป๊บเดียว (ถ้าเด็กมหิดลคงรู้จักพีไอ)
แล้วก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปเรียนรวมกับหมอคณะอื่น ฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกันก็น้อยมาก เรียนยังแทบไม่ได้เรียนด้วยกัน
สิ่งที่มาแทนคือ หากิจกรรมอะไรก็ได้ให้ทำร่วมกัน จะได้สนิทกัน ไม่ลืมกัน
สร้างสายสัมพันธ์ให้ได้ในเวลาอันสั้น
กิจกรรมนึงก็คือสแตนด์เชียร์นี่แหละ และดันคิดกันว่าการว้ากเนี่ย ทำให้สนิทกันง่ายที่สุดแล้ว
แน่นอนว่ามันเป็นการจำลองสภาวะกดดัน ทั้งแบบมีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
แต่มันดันกลายมาเป็นประเพณีแบบที่ตอนนี้พี่ว้ากก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าว้ากทำไม ตกลงมึงว้ากเพราะมึงถูกพี่ว้ากมาก่อนชิมิ
ตอนตัวเองโดนรู้สึกว่ามันวนลูปไร้สาระมาก เจออารมณ์มากกว่าเหตุผล
เลยพยามปรับเปลี่ยนในวาระที่มีสิทธิ์ ให้มันมีเหตุผลขึ้น
ที่สำคัญคือทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่าที่ตูทำไปนี่แม่งเปล่าประโยชน์สิ้นดี
ก็รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาหน่อยนึง(หน่อยเดียว เพราะมันก็ยังเป็นว้ากไร้สาระอยู่ค่อนข้างมาก)
พอมาปีนี้ เริ่มมีคำสั่งจากอาจารย์ไม่ให้มีว้ากโหดไร้สาระ
ส่วนรุ่นน้องหัวหมอ ก็เริ่มแอนตี้การทำงานคณะตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม โดยอ้างคำพูดอาจารย์
ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะปรับกระบวนกันยังไง คนมีอำนาจในคณะก็มีแต่สายโหด หึหึ
เรามันสายนางฟ้า ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียง
อีกแบบนึงที่เจอก็เป็นการรับน้องโบราณคร่ำครึเหมือนกัน
เพราะเป็นรับน้องที่แรกในประเทศไทยเลย
แต่ที่นี่เราเรียกว่าการอบรม น้องมีหน้าที่นั่งฟังสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยม
คนที่มาพูดก็มีทั้งพูดเรื่องพฤติกรรมดีแย่ หรือประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่
เรามี seniority ก็จริง แต่เป็นการเคารพซึ่งกันและกัน น้องเคารพพี่ พี่ก็ให้เกียรติน้อง
คนมาพูดนี่รุ่นเก่าเก๋ากึกถ้ามีแรงมีเวลาก็ยังมา คุยกับน้อง
อาจารย์บางคนหง่อมขนาดนั่งรถเข็นยังมาเลย
แบบรุ่นพี่ทุกๆ รุ่นให้ความสำคัญกับประเพณีนี้มาก
เป็นอะไรที่อบอุ่นอ่ะ
ที่จริง รับน้องข้ามฟากประทับใจก็จริง แต่ที่ประทับใจมากกว่าน่าจะเป็นการเรียนการสอน
อาจจะเป็นเพราะอาจารย์เกือบทั้งหมดเป็นรุ่นพี่ที่เคยผ่านอะไรมาเหมือนๆ กัน
มันเลยเป็นบรรยากาศแบบพี่สอนน้อง ซึ่งเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก
ติวนอกเวลายังมีเลย ทั้งที่ก็ต้องไปทำงานอย่างอื่นด้วย
ตรงนี้ประทับใจจริงจัง