ในวันแม่ที่จะถึงนี้ นอกจาก ipad2 ที่หม่าม๊าอยากเอาไปดูดวงแล้ว ก็มีอีกอย่าง
ที่หม่าม๊าอยากให้ลูกทำให้ ก็คือการเผยแพร่เกี่ยวกับโรค Acromegaly ที่หม่าม๊าพึ่ง
พบเจอมา เพราะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก อีกทั้งยังสังเกตได้ยาก เนื่องจากอาการจะ
ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ผมจะเล่าให้ฟัง
อาการของโรคนี้เกิดจากเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองผิดปกติ จึงมีการสร้าง
“Growth Hormone” ซึ่งตามชื่อก็เป็นฮอร์โมนสร้างการเจริญเติบโต แต่ทว่าเนื้องอก
นี้ทำให้ฮอร์โมนออกมามากเกินไป ในกรณีของเด็กก็ทำให้สูงขึ้น เฉลี่ย 10 - 15 ซม.
ส่วนวัยผู้ใหญ่ที่ไม่มีการเจริญเติบโตแล้ว ก็จะทำให้สรีระเปลี่ยน เช่น หน้าตาจะเปลี่ยน
คิ้วจะโหนกขึ้น จมูกจะใหญ่ขึ้น คางจะขยาย ปากใหญ่ขึ้น คางจะยื่น ฟันห่าง มือเท้าจะ
ใหญ่หยาบกร้าน เสียงพูดจะเปลี่ยนไป ลิ้นคับปาก และอายุไม่ยืน ส่วนระบบภายใน
อาทิ หัวใจและตับ จะโตมากขึ้น ข้อจะเสื่อมเร็ว หลังโก่ง นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้
จะเป็นโรคอื่น ๆ ตามมา เช่นโรคเบาหวาน โรคหัวใจโต อาจหัวใจวายและเสียชีวิตได้
อันที่จริงโรคนี้สามารถรักษาหายขาดได้ ถ้าพบในช่วงแรกๆ แต่อย่างที่บอกไว้
ค่อนข้างจะสังเกตยาก เพราะร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ เด็กที่สูงอย่างรวดเร็ว
พ่อแม่ก็จะไม่คิดว่าผิดปกติในช่วงแรกๆ ส่วนวัยผู้ใหญ่อย่างหม่าม๊า เราก็เพียงคิดว่า
น้ำหนักเพิ่ม มือหยาบใหญ่กันไปตามกาลเวลา ไม่ได้คิดว่าผิดปกติใดๆ เพราะการ
เปลี่ยนแปลงอาจเห็นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบรูปถ่ายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะสาย
เกินไปเสียแล้ว คุณหมอบอกว่าถ้าผ่าตัดช้ากว่านี้อีกปี 2ปี อาจจะตาบอด หรือหัวใจวาย
เพราะไม่ใช่การขยายตัวเกิดขึ้นภายนอกเท่านั้น อวัยวะภายในก็จะขยายตัวด้วยเช่นกัน
ข้อสังเกตที่จะทำให้ทราบว่า คุณหรือคนรอบข้างอาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้
(จากประสบการณ์ของหม่าม๊า และบทความต่างๆ)
1. สรีระที่เปลี่ยนไป ที่กล่าวมาด้านบน สังเกตรูปคุณพ่อคุณแม่ว่า หน้าเปลี่ยนไปใน
ลักษณะนี้หรือไม่ ถ้าลอง Search หารูปที่เกี่ยวกับ Acromegaly จะเห็นชัดเจน
ในกรณีของหม่าม๊า เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่คางและมือค่อนข้างเยอะ
2. เปลี่ยนรองเท้าบ่อยผิดปกติ โดยมากผู้ใหญ่จะคิดว่าอ้วนขึ้น (เราผิดเองที่ไม่ทัน
สังเกต เพราะคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัย)
3. แหวนที่ใส่อยู่ประจำ เกิดใส่ไม่ได้ อาจจะไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่ลองเช็คดูก็ดีนะครับ
4. เสียงเปลี่ยนไป อันนี้หม่าม๊าก็เป็นเหมือนกัน
แนวทางการรักษาโรค หากพบเร็ว ก้อนเนื้องอกยังไม่ใหญ่นัก ก็สามารถผ่าตัด
เอาออกไปได้ คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเปิดกระโหลกแล้ว ใช้ส่องกล้องและผ่าตัด
จากทางจมูกได้ (หม่าม๊ารักษาด้วยวิธีนี้) ถ้าไม่มีปัญหาก็กลับบ้านได้ภายใน 3 วันเลย
แล้วค่อยมาตรวจระดับฮอร์โมนกันอีกทีว่าหายขาดหรือไม่ ถ้าไม่หายก็ยังมีวิธีฉายแสง
แต่โดยมากจะเป็นวิธีสุดท้าย เพราะถึงแม้จะทำลายเนื้องอกได้ แต่เซลล์ดีๆ ก็อาจถูก
ทำลายได้เช่นกัน
กรณีของหม่าม๊านั้น การผ่าตัดราบรื่นดี ออกมาจากห้องผ่าตัดหม่าม๊าแข็งแรงดี
สามารถโชว์พลังที่สั่งสมจากไทเก๊กที่จตุจักรได้ทันที แต่มีปัญหามาเกิดหลังจากนั้น
เพราะหมอบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไร
แต่เคยได้ยินคนที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือดบ่อยมาก เคราะห์ดีที่ยังไม่ครบ
กำหนดออกจากโรงพยาบาล จึงอยู่ใกล้แพทย์และรักษาได้ทันกาล ต้องขอขอบคุณ
คุณหมอเอก คุณหมอวิน และทีมแพทย์ พยาบาล ทุกคนไว้อีกครั้งด้วยครับ
หม่าม๊าเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลรามาธิบดีที่หน่วยตรวจผู้ป่วยนอกศัลยกรรม
คุณหมอที่ผ่าตัดคือ อาจารย์เอก หังสสูตพบ.,วุฒิบัตรประสาทศัลยศาสตร์
http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/opd/surgery.htmlปกติโรงพยาบาลรัฐบาลจะมีคุณหมอฝึกหัด หรือนักศึกษาแพทย์ที่คอย
เดินตรวจอาการคนไข้เพื่อศึกษาเคส (ผมไม่แน่ใจว่าเรียกคุณหมอฝึกหัดจะถูกหรือไม่
ถ้าไม่ใช่ขออภัยด้วยนะครับ) ซึ่งบอกตามตรงว่าช่วงแรกๆ ผมอึดอัดใจมากทีเดียวที่
เห็นหม่าม๊าที่ดูเหนื่อยอ่อน อยากจะนอนพัก ต้องถูกปลุกมาตอบคำถามบ่อยๆ
พอผมหน้ามุ่ยๆ หม่าม๊าก็เตือนสติว่า นี่คือขั้นตอนที่จะสร้างหมอเก่งๆ เลยนา
หมอคนนั้นจะได้มีความรู้กว้างๆ ถึงไม่ใช่เรื่องถนัดแต่ก็บ่งชี้ได้ว่าโรคอะไร และที่สำคัญ
ส่วนการศึกษาเคสนี้ช่วยชีวิตหม่าม๊าไว้เลยนะเนี่ย
หม่าม๊าเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้ฟันเริ่มห่าง คางเริ่มจะยื่น ไปดัดฟันก็ไม่หาย
เผอิญปวดข้อมือด้วย จึงไปหาหมอเชี่ยวชาญกระดูกท่านหนึ่ง
เมื่อคุณหมอจับมือหม่าม๊าก็ผิดสังเกต จึงทักขึ้นมาว่า หมอเคยเห็นเคสของ
โรคนี้ครั้งหนึ่งตอนที่เป็นหมอฝึกหัด เพราะเป็นเคสที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น คุณหมอเลย
ไปเปิดตำราและแนะนำให้มาที่โรงพยาบาลเพื่อเช็คสมอง ซึ่งหมายความว่า
การศึกษาเคสแบบเดียวกันนี้ อาจช่วยเหลือคนได้อีกมากมาย (ถ้าไม่ทราบ ก็อาจ
ทำให้รักษาไม่ถูกทาง เหมือนของหม่าม๊า)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงรักคุณหมอฝึกหัดมากขึ้น และหมอสาวๆ ก็น่ารักซะด้วย คริคริ
แม้ว่าปกติโรคนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้น 1 ต่อหลายแสนคน แต่ในประเทศไทยก็
มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากตอนอยู่ที่ รพ. มีคนเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง
จึงอยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านบทความ ช่วยกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เผื่อว่าอาจ
จะมีญาติพี่น้องของใครซักคน ที่เป็นโรคนี้อยู่ มารับการรักษาได้ทัน ปัจจุบันหม่าม๊า
ของผมอาการดีขึ้น แต่ยังต้องคอยตรวจฮอร์โมนอยู่เสมอ อย่าลืมว่าถ้าพบเร็วก็
หายขาดได้นะครับ และคนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็อาจเป็นได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Medical Upgrade ฉบับ 017
http://www.meedee.net/magazine/med/diag-n-px-line/2752