ถ้าพูดเพื่อแขวะเฉยๆ ผมมองว่ามันเป็นการกล่าวหาที่รุนแรงและเสียมารยาทมากเลยนะครับ
ผมว่ามันทำให้คำพูดของชาร์ปไม่มีน้ำหนักเลยแบบนี้
ส่วนเรื่องรสนิยม ตูว่ากรรมการทุกคน
ก็ต้องใช้รสนิยมส่วนตัวในการตัดสินอยู่แล้ว
ไม่มากก็น้อย
แต่ทีนี้คำว่ารสนิยม มันไม่ใช่แค่ว่า ฉันชอบ โดยไม่มีเหตุผลนะ
เพราะกว่าที่คนเราจะมีรสนิยมในเรื่องต่างๆ ได้
มันต้องผ่านประสบการณ์ และกระบวนการเรียนรู้
รวมไปถึงการตรวจสอบความคิดและความรู้สึกของตัวเอง
กว่าที่มันจะตกผลึกออกมาเป็นรสนิยมของตัวเองได้
แล้วยิ่งถ้ากรรมการ เป็นช่างภาพที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยแล้ว
มันมีที่มาที่ไปแน่นอน สำหรับคำว่ารสนิยม
ให้ลองนึกดูว่าตอนเราเริ่มต้นถ่ายรูปใหม่ๆ
เราเปลี่ยนแนวหรือความชอบส่วนตัวไปกี่หนกว่าจะถึงวันนี้
เมื่อเราเห็นงานมากขึ้น ถ่ายรูปมากขึ้น
รสนิยมเราเปลี่ยนไปแค่ไหน
กว่าที่งานจะคลี่คลายและเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว
แต่ทีนี้ การประกวดสาธารณะ
กรรมการจะบอกว่าผมชอบรูปนี้ เพราะถูกรสนิยมผม
มันอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก
เพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้ว
ว่าที่กรรมการเลือกรูปเข้ารอบมา
ก็เพราะถูกรสนิยมของตัวเอง
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากรู้
นั่นก็คือทำไมรูปเหล่านี้
ถึงถูกรสนิยมของกรรมการต่างหาก
เสริมจากพี่ณต อีกอย่างที่เห็นถึงความเข้าใจผิดของชาร์ป
ที่ไป อืมมม... เรียกว่าอะไร เรียกว่าตกหลุมของภาษาแล้วกัน
คือไปเอาภาษามาเล่นเพื่อเอาชนะ เช่น บอกว่า “ รสนิยม แปลว่า กูชอบ ”
ทั้งที่ถ้าหากเรียนศิลปะ หรือสุนทรียศาสตร์ เราก็จะเข้าใจว่า
โลกศิลปะทั้งมวล ก่อตัวขึ้นจากรสนิยมทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเป็นข้อยกเว้น
การไปตบแต่งให้มันกลายเป็นคำว่า กูชอบ นั้น ผมว่ามันคืออาชญากรรมทางสุทรียศาสตร์เลยล่ะครับ
ถ้าหากมันมาจากความเข้าใจผิดจริงๆ ก็ทำความเข้าใจกับมันได้ หรือถกเถียงกันได้
เพราะผมก็อาจจะผิด ชาร์ปอาจจะถูกก็ได้ แต่ถ้าตบแต่งมันเพื่อเอาชนะ ผมว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย
ก็เข้าใจนะครับ ว่าที่พี่ชิตตอบ มันไม่ควรตอบ มันพลาด อย่างที่ได้วิจารณ์มาแล้ว
แต่แย้งในความผิดพลาดนั้นของพี่แกด้วยตรรกะนี้ของชาร์ป ผมว่าก็ผิดเพี้ยนเช่นกัน
ทั้งนี้ ผมเห็นว่าดีแล้ว ที่ชาร์ปคิดอะไรก็แสดงออกมาแบบนี้ล่ะ
เราถึงจะได้ตรวจสอบความคิดความเข้าใจของตนเอง มันต้องเอาความเห็นของเรามาปะทะกับคนอื่นๆแบบนี้
ความขัดแย้ง เห็นต่างนี่แหละ คือการเรียนรู้ด้านศิลปะที่แท้ ดังนั้นที่ชาร์ปแสดงความคิดเห็น
เยอะๆแบบนี้ ผมว่าดีแล้ว นี่คือวิธีการเรียนและพัฒนากระบวนการทางความคิดเลย
ส่วนเรื่องการให้เหตุผลนั้น ผมว่าตัวอย่างความเห็นของเบลในหน้าก่อนๆ
เรื่องการตกหลุมทางภาษา ไปจับเอาคำเล็กน้อย แล้วตบแต่งให้เป็นความหมาย
อย่างที่เราอยากให้เป็นเพื่อแขวะ ไม่มองเจตนา ไม่มองภาพรวม
จริงๆผมนี่ก็กลัวเหมือนกันเวลาถกเถียงอะไรกัน กลัวตัวเองจะตกหลุมนี้น่ะแหละ
ทีนี้ด้วยอาชีพที่ต้องนั่งเขียนบทคิดคำทั้งวัน จึงเบื่อวาทะสำนวนต่างๆมาก
เวลาแสดงความคิดเห็น เลยพยายามทำตัวให้หลุดจากกลลวงของคำของสำนวนทั้งหลาย
แล้วคิดแค่ว่า เราต้องการสื่อสารอะไร เอาความคิดเป็นหลัก ไม่ให้คำหรือใช้คำเพื่อลวง
หรือทำให้ตรรกะมันบิดเบี้ยว จะว่าไปดราม่าทั้งหลาย ก็ก่อขึ้นมาจากอะไรแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
สุดท้าย ที่แขวะที่อะไรกัน ผมก็ไม่เห็นว่าใครจะได้อะไรขึ้นมา นอกจากจะเกลียดขี้หน้ากัน
เคยมีคนอธิบายด้วยว่า สิ่งนี้มาจากอะไร มันคือพื้นฐานวัฒนธรรมไทยเรานี่แหละ
ศิลปะการโต้แย้งของไทยเรานั้นเรียกกันว่า โต้วาที คือใช้วาทะศิลป์เพื่อเอาชนะ
และตัดสินกันที่ใครใช้วาทะศิลป์ดีสุดเพื่อโน้มน้าวคน ไม่ต้องเป็นเหตุเป็นผลเลยก็ได้
อย่างญัตติต่างๆที่ตั้งกัน ถ้าฟังดีๆคิดด้วยตรรกะก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรมันดีกว่าอะไร ไม่ต้องโต้ก็ได้
มันเป็นศิลปะของการใช้วาทะล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของตรรกะและระบบเหตุผลอะไรเลย
พูดให้ถูกเป็นผิดก็ได้ถ้ามีวาทะศิลป์พอ ในขณะที่แบบเรียนมัธยมของตะวันตก สอนเรื่องการให้เหตุผล
ไม่มองด้วยซ้ำว่าความคิดเห็นนั้นถูกหรือผิดไหม ถ้าหาเหตุผลมายันความคิดตัวเองได้
เข้าใจวิธีการให้เหตุผล เขาจึงรับมือกับความขัดแย้งเป็น และนิยมขัดแย้งถกเถียงกัน
และเมื่อขัดแย้งกันเป็นสุดท้ายก็จะได้คำตอบ สิ่งนี้ผมว่าแตกต่างกันมาก (ผมนี่ มาในมาดเห่อฝรั่งอีกตามเคย
)
ถ้าความจำผมไม่เลอะเลือน ในหลายๆกระจู๋ ที่เราหลายๆคนพูดเรื่องรุ่นใหญ่ๆ วงการถ่ายภาพ
ที่เต็มไปด้วยอีโก้ของแต่ละคนซัดสาด น่าเบื่อ ฯลฯ คิดว่าทุกคนคงจินตนาการกันออก
แล้วเราที่ก้าวเข้าไป เรากำลังทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่า? อันนี้ผมว่าต้องตั้งคำถามกับตัวเอง
หลายๆความเห็นในหลายๆหน้าหลังของเรา กำลังกลายเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
เพียงแต่เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน แล้วก็ไปร่วมกันซัดสาดในโน้น เราก็แขวะเค้าไป
บรรยากาศมันเฉียดจะล้ำเส้นที่เราเคยพูด เคยเบื่อ กันเลย ผมก็เห็นว่าหลังๆชาร์ป
และท่านอื่นๆ ก็ตบๆมันเข้าสู่โหมดเหตุผลแล้วล่ะ แต่ว่ายังมองเห็นความรู้สึกเหล่านั้นอบอวล
อยู่ระหว่างบรรทัด ถ้าถามผม ผมไม่คิดว่ามันต่างจากอะไรกับคนที่เราด่าๆกัน
ถึงแม้เราจะคิดว่าเราแขวะแบบนี้เพราะเราอยู่ฝ่ายถูกและมีเหตุผลให้เชื่อว่าเราถูกก็ตาม