บ้านเป็นหลังๆ กับห้องชุด อะไรพวกนี้มันมีหลายประเภทครับ
ราคาเป็นเครื่องมือแบ่งที่ชัดเจนที่สุด เพราะใช้กำหนดลักษณะของลูกบ้านได้ในขั้นหนึ่ง
ส่วนจะตั้งชื่อเรียกอะไรก็ว่ากันไป มันเป็นเรื่องของการตลาดทั้งนั้น
ตอนจะซื้อก็พิจารณาว่า
1. จะซื้อเพื่ออะไร
เพื่อขายต่อ ให้เช่าต่อ หรือเพื่ออยู่เอง
2. จะอยู่กับมันไปนานเท่าไร
จะอยู่สัก 5 ปี 10 ปีแล้วโยกย้าย หรือจะอยู่กับมันไปยันรุ่นลูกหลาน
3. ทำเล สภาพบ้าน ขนาดของบ้าน เพื่อนบ้าน ฯลฯ อะไรสำคัญที่สุด
จะมีบ้านอยู่นอกเมือง ได้พื้นที่กว้างกว่า ยอมเสียเวลานอนมาฝ่าฟันการจราจรหรือจะมีคอนโดในเมือง พื้นที่น้อยกว่าแต่เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกดี
4. ซื้อกับใคร
ซื้อกับโครงการ เจ้าของโดยตรงหรือผ่านนายหน้า รวมถึงอุปนิสัย
5. มีตังค์พอไหม
อันนี้สำคัญมาก ต้องวางแผนตั้งแต่เงินจอง ทำสัญญา ค่าธรรมเนียมทั้งหลายก็ต้องตกลงให้ดีว่าใครจะจ่าย ค่าปรับปรุงทั้งหลาย ค่าตกแต่ง ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่ารถสำหรับตระเวนงานเอ๊กซ์โปช่วงเห่อบ้าน เดี๋ยวนี้ของมันแพง กระเบื้องแผ่นนึงไม่ใช่จะถูกๆ
ประสบการณ์ส่วนตัว
1. อยากได้ที่อยู่อาศัยไว้อยู่เองสักระยะหนึ่ง พอถึงเวลาก็จะขายต่อ
2. กะว่าอยู่ 5 ปี ก็จะขายต่อ
3. ทำเลสำคัญที่สุด เพราะตูไม่ชอบใช้ชีวิตบนถนนให้มากมาย สภาพบ้านถ้าเป็นมือหนึ่งจะดีมากแต่ถ้าเป็นมือสองก็ห้ามโทรม ไม่เอาพื้นที่เยอะๆ เพราะอยู่คนเดียวจะใช้พื้นที่ตั้งมากมายไปทำไม
ชีวิตของตูตอนนี้จะวนเวียนอยู่แถวที่ทำงาน เซ็นลาด BTS MRT สยาม นานๆ จะไปกินข้าวมันไก่เจ๊อ้วน ตลาดบางเขน หรือบางเสาร์ก็ไปกินฟรีที่ลาดปลาเค้า
ก็เลยสรุปเป็นไม่เขตจตุจักรก็ดอนเมือง
โดยส่วนตัวอยู่คนเดียว ชอบพื้นที่โล่งๆ มากกว่าชอบเปิดประตูหลายๆ ชั้น
ก็เลยชอบสตูดิโอกว้างๆ มากกว่าจะแบ่งห้องนอน
บ้านของพระเอกใน La Belle เป็นบ้านในอุดมคติเลยแหละ
ลงท้ายเป็นห้องสตูดิโอโล่งๆ กว้างๆ ห้องหนึ่งในคอนโดที่ใกล้ที่ทำงานกับเซ็นลาดในระยะเดินได้ไม่เหนื่อย
4. เคยเจอทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่งที่โอเคทุกอย่าง ยกเว้นเจ้าของที่เห็นแก่ได้ หาช่องตอดเล็กโกงน้อย แถมยังปากหมาว่าเราไม่มีปัญญาซื้อของมันอีก ฝันไปเถอะว่าจะตูจะซื้อ
5. ขนาดตูเตรียมเงินสดไว้จนถึงเป็นเงินไว้โปะกับธนาคาร เอาเข้าจริงจะเสียตังค์รายทางเยอะมาก นี่ตกแต่งยังไม่เสร็จตังค์ก็หมดซะละ
เจอผู้รับเหมาไม่ดีก็ซวยซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
เอวัง.