ติดตามเรื่องเครื่องนี่มาหลายวันแล้วเหมือนกัน
รอดูอ.เจษ แทบจะทุกรายการ(ได้ความรู้และความฮาเป็นของแถม)
ตอนนี้ต้องมาติดตามประเด็นหมอพรดริฟท์เพิ่มอีก
- ขอบคุณหมอแมวมากๆครับ จริงๆผมเฉยๆกับหมอพรทิพย์นะครับ(ก็เฉยๆกับทุกคนนั่นล่ะ)
แต่พอคิดว่าแรงผลักดันในการทำงานของแกคืออะไร ก็เป็นเรื่องที่คันคะเยอในใจอยู่เสมอ
เพราะว่าเวลาที่เห็นคนดีมากๆและทำถูกเสมอยังงี้ ก็มักจะทำให้เราตะหงิดในใจใช่ไหมครับ
แต่พอดีว่าที่ผ่านมา มันยังไม่มีข้อมูลคัดค้านชัดๆออกมาสู่สาธารณชนเท่านั้นเอง
เท่าที่มีก็ออกมาจากฝ่ายที่ขัดแย้งกับแก ทำให้น้ำหนักข้อคัดค้านมันเบาหวิว
ที่สำคัญ ข้อถกเถียงทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องยากที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเรา
จะใช้วิจารณญานทั่วๆไปที่เรามี มาตัดสินได้ว่าใครถูกใครมั่ว เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะทางมากๆ
ข้อมูลจากหมอแมว จึงเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อสังคม ขอบคุณหมอแมวไว้ ณ ที่โน้นครับ
ยิ่งตามไปอ่านในบล็อก ยิ่งทำให้เห็นว่าระบบเหตุผลของหมอแมว
ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีปัจจัยที่ชวนให้อคติออกมารบกวนอยู่มากมาย
คำว่าอย่าด่วนตัดสินใคร น่าจะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับสังคมได้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์หลายปีมานี้ ผมก็คิดว่าเป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่างหมอแมว
จริงๆมันก็คือกาลามสูตรนั่นล่ะ การจะตัดสินในเชื่ออะไร มิติที่ว่าคนนั้นเป็นใคร
ต้องยกออกไปวางที่อื่นก่อน (มันก็ต้องใช้ประกอบแหละ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง)
เรื่องการแพทย์-วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องสำคัญต่อสังคมมากชนิดคอขาดบาดตาย
แต่บังเอิญว่าพรมแดนความรู้ของผมเดินทางไปไม่ถึง และคิดว่าคนทั่วๆไปก็คงเช่นกัน
คนไทยโชคดีมากครับ ที่ได้หมอแมวเป็นนายก
- เห็นด้วยกับเดือนในเรื่อง พลังในการต่อรองของสังคมอินเตอร์เน็ต
จริงๆแล้วมันก็คือสังคมธรรมดานี่แหละ นักวิทยาศาสตร์ในนามหว้ากอก็นักวิทยาศาสตร์ทั่วไป
แต่ระบบอินเตอร์เน็ตมันทำให้เราก่อเกิดเป็นสังคมขึ้นมา เมื่อเป็นสังคม
ก็เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูล มันจึงเกิดพลังในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ
มันเลยมีคำว่า Crowdsourcing ที่มาจากคำว่า Outsourcing ที่ความหมายเดิมคือ
การส่งงานออกไปให้คนนอกที่เชี่ยวชาญจัดการทำ แต่พลังของอินเตอร์เน็ตมันทำให้
ผู้คน-Crowd ฝูงชนที่กระจัดกระจายเป็นใครก็ไม่รู้ มารวมกันและมีพลังในการจัดการงานใดๆได้
ถ้าเรามีคนอยู่ 2-3 คน เราอาจจะคึกคะนองชวนกันไปเตะหมาเล่นๆได้
อาจมีคนนึงบอกว่าไม่ดีมั้ง แต่คนมันน้อย คุณค่าความดีก็ยังไม่ถูกบ่งให้ชัด
แต่ถ้ามีสัก 10 คน ก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนด่าไอ้คนต้นคิด
แม้แต่คนที่เฉยๆก็จะเออออ ไปกับคนที่คิดดีกว่าเสมอๆ
แล้วถ้ามีสัก 100 คน บังเอิญมี 2-3 คนบอกว่า เอางี้ ไปช่วยให้อาหารหมากัน
ถ้าในร้อยคนนั่นมีพอมีเวลาก็จะมีคนเออออช่วยเสมอ เกิดเป็นพลังให้อาหารหมาขึ้นมา
Crowd ฝูงชนที่ไม่มีความหมาย จึงกลายเป็น
Crowdsourcing ที่สร้างสิ่งดีๆขึ้นมาได้ ซึ่งก็ด้วยอินเตอร์เน็ตนี่ล่ะ
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องข้อมูลมหาศาลที่ไหลออกสู่สาธารณชนเลยนะ
(ไอ้ GT200 นี่ก็เรื่องนึง อีกมุมหนึ่งของหมอพรทิพย์โดยหมอแมวก็ด้วย)
อีกอย่างนะ ผมว่าเพราะเรื่องนี้มีองค์ประกอบความเป็นดราม่าชั้นเยี่ยม
มีพล็อตหลัก พล็อตรองชนิดสุดยอด(พล็อตรองเรื่องหมอพรดริฟท์นี่ล่ะ)
ตัวละครแต่ละตัววาดลวดลายกันได้เอาใจคนดูสุดๆ เขาก็ทำปกติเขานั่นล่ะ
แต่มองแบบพล็อตหนังมันสนุกน่ะ จริงๆนะ ผมดูอ.เจษ แต่ละทีสะใจคนดูจริงๆ
เราทั้งหลายกำลังเพลิดเพลินกับการเสพดราม่าระดับชาติอยู่
แต่เพลินน่ะดีแล้วครับ เพราะมันยิ่งทำให้เราสนใจติดตามความเป็นไปของสังคม
และถึงยังไง นักเสพดราม่าทุกคน ก็หวังให้ตอนจบมันเป็นไปในทางที่ดีต่อสังคมอยู่แล้ว
หวังว่าคงไม่หักมุมนะครับ