หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ศาสตร์แห่งการคิดไปเอง  (อ่าน 44704 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
กรี๊ดดดดด+ทั้งพี่แอนและพี่เก้อเลยครับ  อย่างงี้งานออกแบบส่วนมากก็เอาแค่ให้ตอบโจทย์ที่ได้รับก็พอหรอครับคือสื่อกะtarget groupรู้เรื่องและสวย(ในสายตาของtarget group)
gimmicหรือทฤษฎี ไม่ต้องสนใจเพราะยังไงคนส่วนมากก็ไม่ได้ดูหรือไม่ได้สนใจที่จะหาความหมายในงานอยู่แล้ว



สิ่งที่พูดมา เรื่องTarget group มันก็คือส่วนหนึ่งของทฤษฎีการออกแบบอยู่แล้วละมังครับ
ผู้ออกแบบคือคนส่งสาร ผู้ชมคือผู้รับสาร ซึ่งเราจะต้องคำนึงถึง

แต่เข้าใจความหมายนะครับ ว่าอิคคิวหมายถึง อย่างทำโปสเตอร์โฆษณายาฆ่าหญ้า
ซึ่งผู้ชมคือพี่น้องรากหญ้า ก็ต้องสีสดๆ เด้งๆ ตัวหนังสือใหญ่ๆ โปรดัคต์ใหญ่ๆ โลโก้เน้นใหญ่ๆ
(สรุปว่าทุกอย่างแม่งใหญ่หมด) ซึ่งทุกอันที่ว่ามา ขัดกับทฤษฎีความงามหมดเลย

ถ้าคำถามคือยังงี้ ก็ต้องตอบว่า ยินดีด้วย ใช่ครับ เราต้องทำตามนั้น กร๊าก
ทางออกเดียวของนักออกแบบคือ เลี่ยงงานประเภทนั้นซะ ยังไงซะ
การที่มีคนจ่ายเงินให้เรา เขาก็ต้องการให้กระบวนการ ส่งสาร(ออกแบบ) ---->ผู้รับสาร
ให้สัมฤทธิ์ผล ถ้าผู้รับสาร พูดภาษาเขมร เราไปพูดนอร์เวย์ด้วย ยังไงเขาก็ไม่รู้เรื่อง
เราก็ไปพูดกับคนที่ฟังนอร์เวย์ออก หรือพอกระดิกแทน

งานออกแบบกับสังคม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนั่นเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจ
สังคมไทยก็เป็นอีกสังคมที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางศิลปะวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
(เราชอบบอกว่าเรามีศิลปะ-วัฒนธรรม แต่เอาจริงๆมันไม่ได้ซึมอยู่ในวิถีชีวิตจริงๆหรอก)
แต่เราสามารถทำให้มันเข้มแข็งขึ้นได้ นักออกแบบอย่างอ.ประชา ก็เน้นย้ำอยู่บ่อยๆ
ว่าบนโครงสร้างสังคมแบบเก่า เราต้องการจะทำงานแบบใหม่ มันอาจจะยาก
แต่เราต้องค่อยๆผลักเส้น ให้มันขยายออกไปเรื่อยๆ เราอาจต้องยอมเจ็บปวดบ้าง
ที่คนไม่เข้าใจ แต่เราค่อยๆทำไปได้ เมื่อก่อนวงดนตรีอินดี้แบบริชแมนทอยก็ไม่มี
หน้าปกซีดีสวยๆแบบเบเกอรี่ หรือสมอลล์รูมในตอนนี้ก็ไม่มี แต่ในที่สุดมันก็มี
คลื่นแบบแฟตหนังสืออะเดย์ ทุกวันนี้ก็กลายเป็นของทั่วไปไม่แปลกประหลาดอะไรแล้ว
ผมว่าปัจจุบันมันเปิดกว้างพอที่เราจะทำอะไรก็ได้แล้ว ในวงกว้างมันก็ต้องใช้เวลา
และมันไม่ใช่ความผิดของใคร ประวัติศาสตร์มันพาเราเดินทางมาแบบนี้
ประเทศเราเป็นมาแบบนี้ ก็เป็นหน้าที่ของเรานี่ล่ะ ที่ต้องช่วยกันผลักให้มันก้าวไปข้างหน้า

ส่วนที่บอกว่า แค่ตอบโจทย์ที่ได้รับก็พอหรือเปล่า
ต้องถามกลับว่า เราเองต่างหากล่ะ ตอบโจทย์นั้น ได้ดีแค่ไหน
อย่างโฆษณาไทยที่ทำมุกควายๆทั้งหลาย(ของพี่ต่อ ฟีโน)
เขาก็มีโจทย์คือ ทำให้ชาวบ้านรากหญ้าเข้าใจ
โจทย์เดียวกัน แต่เขาสามารถตอบออกมาได้อย่างถึงกึ๋นและถึงกลุ่มเป้าหมาย
และยังได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก จากคานส์ที่ว่าเจ๋งๆด้วย

ดังนั้นถ้าจะพิพากษาว่าการทำตอบโจทย์คือฝันร้ายของคนออกแบบ
ก็ต้องถามกลับว่า เราตอบได้ยังไม่สร้างสรรค์พอหรือเปล่า
เอาชนะข้อจำกัดตรงนี้ไม่ได้เองไหม

อย่างรายการเวิร์คพอยต์ตั้งหลายรายการที่ผมเห็นว่าทั้งตอบโจทย์(แบบชาวบ้านร้านตลาดนี่แหละ)
และมีคุณค่าในการออกแบบ หรือความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม
ฉากในชิงร้อยชิงล้านนั่นก็ใช่ทั้งสร้างสรรค์ทั้งชาวบ้านดูฮา, รายการชิงช้าสวรรค์,
หม่ำโชว์, รายการคุณพระช่วย จำพวกนี้

การออกแบบ คือการแก้ปัญหาโดยมีปัจจัยเป็นข้อจำกัดต่างๆเหล่านี้
เราปฏิเสธมันไม่ได้ มันคือ"ส่วนหนึ่ง"ของงานออกแบบ เพราะยังไงเราก็ต้องท่องไว้ในใจ
ว่ามันคือการสื่อสาร ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องทำงานเก็บไว้ดูคนเดียว สื่อสารกับตัวเองคนเดียว

ของเก้อพูดคล้ายๆ ว่า
ที่เราเลือกซื้อของ(โดยเฉพาะเสื้อผ้าเสื้อผ่อน)เนี่ย
เพราะยี่ห้อ เพราะฉลากของมันมากกว่าฟังก์ชันประโยชน์การใช้สอยใช่มะ

นี่ยิ่งตอกย้ำถึงความไร้รสนิยมด้านแฟชั่นของตูยิ่งนัก ฮ่าๆ ฮือๆ

ที่ว่าทุกอย่างพกความหมายมาด้วย ยี่ห้อเสื้อผ้านอกจากจะพกความหมายมาแล้ว
ยังพกมูลค่าทางการตลาดมาด้วย กร๊าก จริงๆก็แบรนด์ของทุกชนิดนั่นแหละ
เหมือนที่เราสนับสนุนให้คนใช้หมาย่างแทนไออี นี่ก็ยี่ห้อ
แต่ก่อนที่คนจะเข้าใจความหมายของมัน ก็เมื่อมีประสบการณ์แล้ว
ความหมายพวกนี้ ประสบการณ์เป็นตัวสร้างขึ้น เรื่องเสื้อผ้านี่ก็ชัดนะครับ
อย่างประสบการณ์กับแฟชั่นของพี่แอนมีน้อย ความหมายของยี่ห้อเสื้อผ้าต่อพี่แอนจึงน้อยตาม
ดังนี้เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไอ้คนเราเนี่ยส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าแค่เพื่อฟังก์ชั่นการใช้สอยแน่ๆ หมีโหด~

บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM
ที่ผมจะถามก็แบบที่พี่เก้อเข้าใจอะครับ 555คือทุกวันตั้งแต่ปี3ที่เรียนมานี่ผมคิดมาตลอดว่า "ถ้ามันเป็นแบบนี้แล้วกูจะเรียนออกแบบทำไม?สู้เรียนการตลาด บริหาร นิเทศน์ แล้วไปnetdesignไม่ดีกว่าหรอวะ" แบบนี้ในที่นี้หมายถึงว่าต้องทำอะไรตามใจลูกค้านะครับ
เหตุผลที่ผมเลือกเรียนแล้วก็อยากทำงานออกแบบเพราะว่าผมคิดว่ามันเป็นอาชีพที่มีอิสระในการคิดมากๆแต่พอเรียนๆไปรู้สึกว่าเฮ้ยทำไมมันมีแต่กรอบที่โดนใครก็ไม่รู้กำหนดก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย

สงสัยต้องไปอ่าน ทำไมถึงต้องเรียนออกแบบใหม่ละครับ
ปล.พี่ต่อนี่ใช่พวกโฆษณาฮอลกะหลอดไฟหรือเปล่าครับ?
บันทึกการเข้า

ผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่างานออกแบบส่วนมากเค้าดูผลสำเร็จหรือดูวิธีการคิดหรือดูที่ชื่อเสียง? 

สมมุติว่าถ้าโปสเตอร์นี้ไม่มีใครรู้ว่าjohn lennonเป็นคนทำหรือถ้าผมเป็นคนทำโปสเตอร์แบบนี้ไปส่งอาจารย์จะเกิดอะไรขึ้น?

ความมีชื่อเสียงก็เป็นอีกมิตินึงของงานออกแบบครับ

ขอยกเคสของพิพิธภัณฑ์ Guggenheim ที่เมือง Bilbao สเปน


โจทย์ของงานนี้ ไม่ได้ต้องการความสวย ไม่ได้ต้องการอาคารที่ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
แต่ต้องการจะฟื้นฟูเมือง เพราะเมืองนี้โดนปัญหาการเมือง โดนตัดหางจากรัฐบาล ไม่ได้รับงบประมาณในการพัฒนาเมือง

ผู้ว่าการรัฐเลยคิดหาวิธีที่จะทำยังไงก็ได้ให้เงินไหลเข้าเมือง โดยไม่ต้องไปง้อรัฐบาล
เลยตัดสินใจหอบเงินก้อนสุดท้ายมาจ้างสถาปนิกที่บ้าที่สุด มาทำสถาปัตยกรรมที่บ้าที่สุด เพื่อให้คนเดินทางมาดู

Frank Gehry คือคำตอบสุดท้าย เพราะเค้าบ้ามาก (คือกวนๆประมาณมูรินโย่ ตอนคุมทีมเชลซี)
แล้วสถาปัตยกรรมของเค้าก็บ้าจริงๆ ผลสุดท้ายคือมันประสบความสำเร็จมากๆ ในเรื่องการดึงคนเข้ามาที่เมืองนี้

คราวนี้มาดูเรื่องงานออกแบบ
เฮีย Gehry เค้าบอกว่า เค้าไม่ได้ออกแบบมั่วๆนะ เค้าออกแบบให้เป็นปลาที่กระโดดขึ้นมาจากน้ำ เพราะพื้นที่ก่อสร้างมันอยู่ติดน้ำ (คือเฮียเค้าชอบทำตึกที่มีที่มาจากปลาอยู่แล้ว...แต่ใครจะดูออกวะว่าเป็นปลา) ...แต่ผมว่านั่นคือคำตอบที่เค้าใช้ตอบพวกนักข่าวเฉยๆ
เพราะจริงๆแล้วเฮียเค้าไม่ได้ใช้บริบทเชิงกายภาพเท่าไหร่ แต่บริบทเชิงเศรษฐศาสตร์ที่มองไม่เห็นต่างหากที่เค้าคิด มันเลยจำเป็นต้องประหลาด ขัดแย้งกับเมืองเก่าๆโทรมๆ ทุกวันนี้เมือง Bilbao เศรษฐกิจดีขึ้นเยอะ หลังจากการเกิดขึ้นของตึกประหลาดหลังนี้






บันทึกการเข้า
จู๋ดีได้ความรู้ กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
 เจ๋ง กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

DiggityDaw aka วัวโหดด
ตอนเรียน (ตูเคยเรียนถาปัดนะ)
พออาจารย์เอาเคสมูรินโย่ (หรือชื่อะไรนะ อตาสถาปนิกปลากระโดดนั่นน่ะ) มาเล่าให้ฟัง
แล้วเปิดสไลด์ไปถึงหน้าที่มีโชว์ว่า ไอ้ตึกบ้านี่พ่นไฟได้

จำได้ว่าตอนนั้นมีเสียงคราง ฮืออออออ มาจากนักเรียนทุกคน กร๊ากกกกก!!!
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
 การคิดไปเองเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเราไม่ควรให้คนอื่นคิดให้

มันอยู่ที่ว่าเราจะมีเหตุผลแค่ไหนประกอบการคิดไปเอง
เอ้า งงไปใหญ่ละทีนี้
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย

โจทย์ของงานนี้ ไม่ได้ต้องการความสวย ไม่ได้ต้องการอาคารที่ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
แต่ต้องการจะฟื้นฟูเมือง เพราะเมืองนี้โดนปัญหาการเมือง โดนตัดหางจากรัฐบาล ไม่ได้รับงบประมาณในการพัฒนาเมือง



ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย
ตอนนี้อยากเข้าใจพวกคุณสถาปนิกpost modernทั้งหลายมากมายอ่ะครับ
พยายามหาหนังสืออ่านว่าแบบเค้าคิดอะไรของเค้าอยู่นะถึงทำอะไรออกมาแบบนี้

ถ้าดูจริงๆแล้วเหมือนว่าเค้าจะคิดอะไรมากกว่าตึกเหลี่ยมๆธรรมดาอีกมั้งนั่น
หวังว่าเค้าคงไม่ได้มั่วๆมาหรอกน่ะนะ ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า
สิ่งที่คนเขาดูกันในรูปนี้ ไม่ใช่ความงามของคอมโพส
ไม่ใช่การจัดไทโป ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
เขากำลังดู"ข้อความ"ที่ 2 คนนี้สื่อสาร

ข้อความที่ไม่ได้หมายถึง คำ แต่หมายถึงอุดมคติที่พวกเขาอยากบอกคนทั้งโลก
การประเมินค่าเรื่องความงามจึงแทบไม่มีความหมายครับ

การออกแบบทั้งหลายบนโลก ก็มีไว้เพื่อการสื่อสาร
เราถึงเรียกศาสตร์ด้านนี้ว่า Visual Communications
คือการสื่อสารด้วยการมองเห็น เราใช้หนทางใดไปถึงก็ได้ ถ้าทำให้การสื่อสารนั้นสัมฤทธิ์ผล
วิธีการหนึ่งก็คือการดึงดูดสายตาผู้คนด้วยความงาม
แต่อย่าลืมว่านี่เป็น"วิธีการหนึ่ง" ในอีกร้อยพันวิธี
คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นพวกฟอร์เวิร์ดเม็วที่เขียนการ์ตูนหัวไม้ขีด
หาความงามอะไรไม่เจอเลย แต่ก็ฮิตถูกใจคน
เพราะมันมีวิธีการเล่าที่ส่งผลกระทบต่อคนดูมาก

หรือการ์ตูน 4 ช่องของหมอแมวก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัด

เหล่านี้คือวิธีการสื่อสาร เขาไม่ได้มองว่าในภาพนั้นคือโปสเตอร์ดีไซน์
แต่เขามองข้อความที่ทั้งสองส่งมาให้ผู้ชม ซึ่งสิ่งที่ยันอยู่หลังข้อความนั้น
ก็คือ บทเพลงที่เป็นอมตะและอุดมคติของเลนนอน ที่เขาทำมาทั้งชีวิต
บทกวีของโยโกะ วิถีชีวิตที่บริสุทธิ์สัมผัสใจคนของทั้งคู่ กิจกรรมทางสังคมต่อต้านสงคราม
ที่ทั้ง 2 อุทิศเวลาทั้งหมดให้ในช่วงนั้น รวมถึงกิจกรรมประท้วงบนเตียง(นอนบนเตียงไม่ลุกไปไหนเพื่อประท้วงสงคราม)
ทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ข้อความนั้นมันหนักแน่น และส่งผลกระทบใจผู้รับสาร
ยิ่งกว่าองค์ประกอบที่สวยงามหลายเท่าครับ

และนั่นเป็นข้อจำกัดที่ดีไซน์ไม่อาจล่วงล้ำไปถึง และไม่มีวันทำได้
การออกแบบ ไม่ได้มีอุดมคติในตัวของมันเอง ถ้าหากมันจะมี
ก็คือไปรับใช้อุดมคติอื่นเท่านั้นครับ ผมเชื่อยังงั้น




ไม่มีอะไรแย้ง
จะคุยว่า ในอดีตงานผมก็เคยฮิตอยู่พักนึงนะ กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย
ตอนนี้อยากเข้าใจพวกคุณสถาปนิกpost modernทั้งหลายมากมายอ่ะครับ
พยายามหาหนังสืออ่านว่าแบบเค้าคิดอะไรของเค้าอยู่นะถึงทำอะไรออกมาแบบนี้

ถ้าดูจริงๆแล้วเหมือนว่าเค้าจะคิดอะไรมากกว่าตึกเหลี่ยมๆธรรมดาอีกมั้งนั่น
หวังว่าเค้าคงไม่ได้มั่วๆมาหรอกน่ะนะ ฮิ้ววว

ผมว่าถ้าดังจริงๆ จะมั่วก็ไม่ยากนะครับ อย่าให้จับได้เป็นพอ กร๊าก
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
ตอนเรียนทำโปรเจ็กต์ส่งจารย์น่ะประจำเลย
ออกแบบมาแล้วค่อยหาคอนเซปต์ไปสวม แถๆ เอา
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ถ้าเป็นงานจริง แล้วเป็นงานใหญ่ๆนี่ มั่วยาก ครับ
เพราะบอร์ดที่จะผ่านแบบนี่ มีแต่สุดยอด

มั่วแล้วผ่าน มักจะไม่มีครับ
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ถามคนที่ทำงานจริงๆดีกว่า
ว่าเวลาออกแบบบ้านออกแบบอาคารเนี่ย
เอาเข้าจริงๆ แค่สถาปนิกธรรมดาอย่างเราๆ
เอาเรื่องคอนเส็ปไรนี่ไปบอกลูกค้า เค้าสนใจกันบ้างมั้ยอ่ะครับ
หรือจะเอาประโยชน์เอาประหยัดไว้ก่อน
ถ้ามีตามนั้นแบบก็ขายออก
คอนเส็ปไว้เอาไปโม้เล่นๆรึเปล่า
บันทึกการเข้า
อยู่ที่ลูกค้าครับ
บางคนก็อยากได้ถูกสุดๆ ไม่สนใจอะไรเลย
บางคนก็อยากได้แบบเจ๋งสุดๆ คำถามแรกคือ คุณเคยได้รางวัลอะไรไหม

สองแบบข้างต้น ผมจะแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มที่ทำงานอย่างที่เขาอยากได้
ไม่รับทำเอง เพราะรังแต่จะสร้างปัญหา (การออกแบบคือการแก้ปัญหา)
สร้างปัญหาเพราะเราไม่สามารถออกแบบอย่างที่เขาต้องการได้ โดยธรรมชาติ(ของเรา)



ส่วนคอนเซ็ป เอาไว้โม้เล่นๆหรือเปล่านี่
คิดว่าไม่นะครับ ถ้ามันมีจริง
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
เอ้า สถาปนิกเองยังไม่แน่ใจเลยว่าคอนเซ็ปมีจริงรึเปล่า  กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!