เห็นตรงนี้ แล้วคงไม่ติดใจอะไร
ถ้าครูหยกไม่ใช่คนสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด
นักเรียนทุนภูมิพล เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ึคงไม่ใช่ มั่วๆ แล้วจะได้มามั๊งครับ
มันต้องมีเคล็ดวิชา หรือแนวคิดอะไรแน่ๆ
ที่สามารถปรับวิธีคิดให้มีความสุข
ซึ่งในที่สุดแล้วความเป็นเลิศก็จะตามมา
(แบบนั้นหรือเปล่า
)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ดูจากภาพถ่ายของครูนี่แหละครับ
ว่ามันดูเรียบง่าย แต่งดงาม และมีความสุขแฝงอยู่
อยากรู้ว่า มีเคล็ดลับอะไร ในการปรับแนวคิดนะ่ครับ
ท่านณต -..- บอกสรรพคุณซะครบเชียว ตอบยาวชัวร์เรื่องนี้ เหตุปัจจัยมันเยอะจ้ะ
คำถามณตนี่ถามใครดีเนี่ย หยกตอนนี้หรือหยกตอนเด็ก? หยกว่าหยกคงตอบคล้ายๆ ที่ลุงเป็ดตอบค่ะ (ขี้ขโมยมะ
)
ถ้าตอบแบบรวมๆ .. มันอยู่ที่เป้าหมาย
สิ่งที่เราตั้งเอาไว้อันดับแรก คือการมีชีวิตที่ดี
ซึ่งการมีชีวิตที่ดีโดยไม่บีบคั้นมากเกินไป ก็คือการสร้างเหตุที่ดี ไม่มุ่งที่ผล
(เหตุดี ผลมักดี ถ้ามันไม่ดีก็ช่วยไม่ได้ เหตุบนโลกนี้มันเย๊อะเยอะ -*-)
จริงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่หยกไม่ได้คิดตั้งแต่ตอนเรียน
เพิ่งมาคิดแบบนี้ในระยะหลังๆ เอง (ตั้งแต่เริ่มเป็นครูโรงเรียนวิถีพุทธ)
อันนี้เป็นหลักคิด ส่วนการกระทำก็มีทั้งสร้างเหตุดีเหตุห่วย ไปตามกำลังสติค่ะ
ตอนเรียนหยกคิดแต่ว่าเรามาเรียน ทำยังไงไม่ให้เสียเวลาที่มาเรียน
(เพราะมีคนเตือนไว้เยอะ คนหนึ่งที่ทำให้จำได้แม่น คือพนักงานใน บ.ของแม่
เขาบอกว่าตอนที่เรียน เขาลอกเพื่อนตลอด จบมาไม่ได้อะไรเลย เราก็จำไว้ ว่าจะไม่ทำ)
ตอนเด็กๆ จะตั้งเป้าไว้เป็นเป้าหมายใกล้ๆ คือจบมาแล้วหางานที่เราถนัด แล้วก็หาเงิน
และใช้ชีวิตไปตามสเตป (เช่น แต่งงาน มีลูก เลี้ยงพ่อแม่)
เรียกว่ายังไม่รู้เลยว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม (ตอนนี้รู้นิดหน่อย
)
ถ้าถามเรื่องเรียนให้
"ได้เกรด" หยกว่าไม่ได้ต่างจากการทำมาร์เกตติ้ง
ก็คิดว่าอยากได้อะไร ก็ทำอย่างนั้นให้ถูกทางถูกใจเหตุปัจจัยรอบๆ
ถ้าถามว่าอยากได้คะแนนดีๆ ไหม อยากได้นะคะ เพราะเป้าหมายเรามีอยู่แล้วคือเรื่องหางาน
คิดว่าถ้าเรียนไม่ดี ท่าทางงานดีจะหายาก มันเป็นเหตุเป็นผลของสังคมโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่
ทีนี้อยากได้คะแนนดีต้องทำไงบ้าง
หยกก็ดูแนวแล้ว ด้วยความที่เราความจำดี (ตอนนั้น
) ก็เลยไม่ค่อยเห็นปัญหาในการอ่านหนังสือสอบ
หยกจะมีปัญหาพวกวิชาคำนวณ (ซึ่งตอนเรียน ป.ตรี ไม่มีวิชาพวกนี้ เพราะเรียนแต่ภาษาซึ่งเป็นสิ่งที่เราถนัดล้วนๆ)
การพูด ฟัง เขียน เราก็มีเหตุเก่ามาแล้ว คือที่บ้านก็เชื้อสายจีน (แต่คนละจีนกับที่เรียน)
ตอนเด็กๆ ก็เคยเรียนภาษาจีนบ้างเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เราก็เลยเรียนได้
จะเห็นเลยว่าปัจจัยรอบๆ ส่งเสริมเราได้มหาศาล ตัวเราเองไม่ได้ออกแรงมากนัก
เรื่องอ่านหนังสือสอบ จริงๆ เห็นแนวตัวเองเลยว่าเราขี้เกียจ ไม่ชอบอ่าน
เราก็เลยเน้นว่าตั้งใจเรียนในห้อง (ถ้าอ่านคือการอ่านเพื่อจำเนื้อหาล้วนๆ -*-)
เวลาเรียนหยกจะไม่คุยเล่น จะมีสมาธิ แต่ถ้าถามว่าเครียดกับการเรียนให้ได้ที่ 1 ไหม
อันนี้หยกไม่ใช่เครียดไม่เครียด แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าต้องได้ที่ 1
(ขอที่ 2 ก็พอ รู้สึกสบายดี
)
คือเราอยากได้งานดีๆ เราไม่ได้อยากได้ที่ 1 นั่นคือที่จำความได้
(งงอยู่เล็กน้อย ตอนที่โตแล้ว เจออาโกว อาโกวบอกว่าตอนอนุบาลไม่ไปโรงเรียนเพราะกลัวไม่ได้ที่ 1
ตอนนั้นฟังแล้วก็ช็อคๆ .. เฮ้ย.. ฉันนี่ตอนเด็กๆ ท่าทางบ้าไม่เบา
หยกว่าความบ้าคงติดมาบ้างแหละ แต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยบ้าแบบนั้นตอนอนุบาลด้วย
)
เรื่องวิธีคิด ครอบครัวมีส่วนมากที่สุด
ทางบ้านเลี้ยงมาแบบไม่เคยคาดหวังคะแนน เราก็เลยไม่กดดัน
ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ไม่เคยบอกว่าต้องเรียนให้ได้ที่ 1 หรืออะไรเลย
แต่จะเน้นให้ตั้งใจเฉยๆ แล้วก็ไม่ให้ทำอะไรเลย (เช่น งานบ้าน -*-)
ยังดีว่าเรื่องกิจกรรมเรายังทำบ่อย (โดยไม่ได้เจตนา)
รู้สึกว่าตั้งแต่ประถมแล้ว คนทำกิจกรรมหายาก พอไม่มีใครทำ เราเลยต้องทำ -*-
มักเป็นไปด้วยความจำเป็น ไม่ได้อยากทำ ส่วนใหญ่เรียนเสร็จก็กลับบ้าน
เป็นแบบนี้จนถึงมหาวิทยาลัย ตอนอยู่ ป.ตรี กิจกรรมที่ทำจะเป็นเนื้อเป็นหนังมาก
ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกหรือเล่น แต่ทำเพราะต้องช่วยอาจารย์ หรือเป็นไปตามโอกาส
ถ้าขนาดใช้คำว่าเคล็ดลับ ก็คงเป็นคำตอบแบบเบๆ คือ
มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่ ตั้งใจแต่พอประมาณ ไม่เครียด รู้ทางตัวเองนี่สำคัญจริงๆ นะคะ (สำหรับหยกเนี่ย)
เพราะเท่าที่สังเกตตัวเอง เครียดนี่ตัวดีเลย ถ้ามาปุ๊บ ทำไปเถอะไม่มีดีซะอย่าง ต้องกลับมาทำใหม่ด้วยซ้ำ -*-
แม้แต่ร้านที่ทำอยู่ ก็ต้องขอแม่ (แม่คงเห็นว่าชิล) บอกแม่ว่าหยกขอเป็นแบบนี้นะ
ให้หยกทำมาร์เกตติ้งจ๋า (แบบในตำรา) มันเครียด ขอทำไปแบบสบายๆ ไม่งั้นหยกทำงานไม่ได้
การปรับวิธีคิด.. หยกว่าเราไปปรับความคิดมันยากนะ แต่คือหมั่นรู้ตัว
ณ ตอนนี้คือรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป๋หรือเปล่า เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
การใช้ชีวิตคือค่อยๆ ลองผิดลองถูก
อะไรไม่เข้าท่าก็รู้ตัวไว้ก่อน (ให้แก้เลย แก้ไม่ได้แฮะ ยังมีแต่สมองแต่ปัญญายังไม่มา -..-)
อะไรดีก็รักษาไว้
แล้วที่สำคัญมาก สำหรับตัวเอง เวลาเกิดท้อ ก็ให้อดทน ผ่านให้ได้ก่อน
พอผ่านไปได้แล้ว เหมือนไม่ได้ทำอะไรมาก เรื่องราวก็จะดีขึ้น ไม่มากก็น้อย
ปัญหานู่นนี่ก็มีนะ ไม่ใช่มองโลกมีความสุขตลอด แต่ก็ดี คือมันมีประโยชน์
ตอนอยู่ดีๆ มักไม่รู้วิธีรับมือโน่นนี่นั่นค่ะ วิธีมักจะมาตอนที่เราประสบเรื่องที่ไม่เป็นไปดังหวัง (เครียดนี่ก็ใช่ เห็นชัด)
ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นสูตรว่าทำมากได้มาก บางทีทำมากได้น้อยก็มี
จากการวัดผล ถ้าเรื่องไหนหยก "ตั้ง" ใจขึ้นมาเป็นพิเศษ เรื่องนั้นจะแป่กสุดๆ .. เหลว แถมเครียด
พอมันเป็นแบบนั้นบ่อยๆ แล้วเรารู้ตัวละ เราจะมีท่ารับมือใหม่ในเหตุการณ์ครั้งหน้า
หยกว่าเราควรคอยรู้ตัว ตามตัวเองให้ทัน
หยกว่าใครเห็นตัวเองก่อนได้เปรียบ เห็นชัดกว่ายิ่งได้เปรียบมาก
อย่างสมมติ เรื่องถ่ายภาพ เรารู้ว่าเราเรียนรู้อะไรด้วยการเล่นแล้วจะได้ผล เราก็ใช้วิธีเล่น
ถ้ามันมั่ว ก็ปล่อยมั่วไปดู แต่อย่างไรซะก็อย่าลืมสมาธิบ้าง หยกว่ามันต้องมี
คือสำหรับตัวเองจะเล่นรุ่ยขนาดไหน ก็ยังต้องมีสมาธิโฟกัสอยู่ใน viewfinder
(พวกโลโม่เขาเก่งแฮะ เขาโฟกัสด้วยการปล่อยวาง
)
เรื่องการเรียนรู้นี่ นึกถึงที่โรงเรียน..
เวลาสอนเด็ก สิ่งที่ครูทำ ไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในเด็กนะคะ
ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ ใส่ได้อย่างมากก็แดด น้ำ ปุ๋ย แต่สิ่งที่เราไม่มีวันจะใส่ให้เขาได้ก็คือแก่นแท้ของเขา
ถ้าเขาคือต้นมะลิ เราจะไปบอกให้เขาเป็นต้นกุหลาบคงไม่ได้
สิ่งที่เราทำได้คือการช่วยขุดศักยภาพ ช่วยให้เขาเห็นตัวเองว่าเขาคือต้นอะไร แล้วโตขึ้นสวยๆ เป็นต้นนั้นๆ
เรื่องนี้บางทีไม่ใช่จะไปเร่งรัดอะไรได้ เท่าที่เห็นบางคนเขาจะผลิบานหรืองอกงามออกมาเองเมื่อเวลามาถึง
คือเหตุปัจจัยทั้งหมดมารวมกันได้ที่
คนละทาง คนละแนว
บางคนต้องการเก่งขึ้นเพราะมันเป็นสายงาน เป็นงานที่ต้องทำเงิน และก็เป็นความสุขอย่างนึงด้วย
ถ้าวันนึงผมเขียนเว็บ เขียนได้แต่ html ผมบอกว่า พอแล้ว ความสุขของผม
แต่ดั้นเป็น web programmer ลูกค้าจะเอา flash ,xml , php ,asp ก็ตายซิครับ อดตายแน่นอน
พี่ฉึ่งพูดมาก็ถูกครับ บางทีก็เป็นกิเลส แต่ถ้าทุกคนชิวในสายงานตัวเอง ป่านนี้เราคงอยู่ในถ้ำ ล่าวัวมาย่างสดๆไม่ปรุงรสชาติ ไม่พยายามที่จะพัฒนาอะไร เพราะถ้าอยู่แค่นั้นมันก็พอแล้ว มีที่พัก เครื่องนุ่งห่ม อาหาร พอแล้ว
ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ คือรูปครูก็สวยครับ ดูนุ่มดี แต่บางทีเหมือนโดนว่า ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด
คือผมอาจจะผิดก็ได้นะฮะ ที่ดูไม่เคยพอ ดูจริงจัง ซีเรียสและไม่ใช่คนมีความสุข ผมโดนแฟนว่าประจำครับ ว่าคิดมาก จริงจังเกินไป
แต่ทุกคนมีทางที่จะเลือกใช่มั้ยครับ ผมตั้งใจที่จะทำด้านนี้ให้มันดี ใครอยากจะพัฒนาผมก็แนะนำ ใครอยากชิวผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง โอเคนั้นพื้นที่คุณทัศนคติของคุณ ผมไม่เข้าไปเปลี่ยนหรอก
สรุปมันก็คนละทาง คนละแนวแหละฮะ
อ่านที่คุณอู๋เขียน หยกว่าคุณอู๋มีเป้าหมาย และเมื่อเป้าหมายต่าง วิธีก็เลยต่าง
เพราะเป็นเรื่องเหตุปัจจัย หยกไม่ได้ถ่ายส่งใคร
(จริงๆ ก็คล้ายๆ ที่คุณอู๋บอกนั่นเอง
)
"แต่บางทีเหมือนโดนว่า ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด" งือออ
ไม่มีใครว่าจ้ะๆๆ รู้จักตัวเอง เรียนรู้แบบที่เหมาะกับตัวเอง
บางทีเราอาจมองว่าคนคนนี้ซีเรียส แต่บางทีนั่นคือวิธีที่ง่ายและชิลที่สุดสำหรับเขาแล้ว ในการทำเรื่องต่างๆ
หยกนึกถึงคุณที่สร้างบ้านดิน ที่ชื่อโจน จันได เคยฟังวิธีคิดของเขา รู้สึกว่าเขาเจ๋งมากเลย
เขารู้ว่าคนอย่างตัวเองไม่เหมาะกับวิถีเมือง ไม่ชอบการแข่งขัน เรียนไม่เก่ง ต้องดิ้นรนมากเพื่อวุฒิ(ที่เขาไม่ได้ใช้)
ไม่สามารถอยู่ได้ดีในลักษณะการทำงาน 8 ชม.ต่อวัน พูดง่ายๆ ว่าเขาเป็นทุกข์กับการทำอย่างนั้นในสมัยที่อยู่ในกรุงเทพฯ
เมื่อเขารู้ว่าตัวเขาเป็นแบบนี้ เขาเลยมองหาทางใหม่ ที่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างดี แล้วก็ลงมือทำแบบนั้น
ที่หยกเห็นว่าเขาเจ๋ง มันไม่ได้แปลว่าใครๆ ต้องเอาหลักคิดของเขามาตั้ง แล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ใช่หรือต้องทำตาม
เมื่อเราเห็นเขาเจ๋ง ก็ใช่ว่าเราจะต้องย้ายไปทำเกษตรหรือไปสร้างบ้านดินแบบเขา ..
ที่เห็นว่าเขาเจ๋ง คือเห็นว่าเขามีความเข้าใจตัวเอง ทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ใช่สำหรับตัวเองได้
เรื่องอยากเก่ง ทุกคนอยากเก่งกันทุกคนแหล่ะ
ถ้ามองในแง่กิเลศตัณหา-ความไม่รู้จักพอ
อยากเก่งก็มีหลายแบบ เช่น
เพื่อเอาชนะคนอื่น หรือ
เพื่อสนองตัณหาตัวเอง (ไม่ใช้คำว่าเอาชนะตัวเองนะ มันดูประดิษฐ์คำไป)
อยากเก่ง
เพื่อเอาชนะคนอื่นที่เราตั้งมุ่งหมายเอาไว้ มันก็มีหลายวิธี ทั้งแบบดีและไม่ดี วิธีลัด มักง่าย หรือใช้วิธีแฟร์ๆ
อยากเก่ง
เพื่อสนองตัณหาตัวเอง ...ถ้าอธิบายง่ายๆก็คล้ายๆกับเวลาเราฝึก Drawing
แรกๆแม่งวาดไม่เป็นหรอก สานเส้น ลงน้ำหนักก็อ่อนหัด ...แต่ยิ่งหัดไปเรื่อยๆแล้วเราทำดีขึ้นๆ
มันเหมือนกับความซาดิสอย่างนึง ที่รู้สึกกระหยิ่มยิ้่มย่องในใจว่าเราวาดได้ดีขึ้น
วาดใกล้จะเหมือนแล้ว ใกล้จะเนี๊ยบแล้ว ...บางทีไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆมันงานอย่างเทพเลย
แต่เราก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกกับเพื่อนทำนองว่า
ปล่อยแม่งไปเหอะ ไอ้นี่มันเทพเพียงแต่เี่ราสนใจกับไอ้สิ่งที่เราหมกมุ่นอยู่อย่างเดียว ไม่ได้ใส่ใจกับคนอื่นๆจนเอาเขามาวัดกับเรา
อธิบายเป็นประโยคให้อ่านแล้วเข้าใจลำบาก อ่านแล้วบางคนอาจจะงง
เปรียบแทียบแบบหยาบโลนและเข้าใจง่ายกว่า ....
เหมือนกับชายหื่นๆที่มันเกิดอารมณ์
....คนนึงไปทำตัวเป็นพวกวิปริต เช่น ไปสอยกางเกงในป้าข้างห้อง
....กับอีกคนที่หมกมุ่นกับคอเลคชั่นน้องโซระ มิยาบิ ที่สะสมเอาไว้ก็มีความสุขของมันแล้ว
จะทำกระจู๋เป๋ป่าวเนี่ย....
ไม่งง แต่เป๋เล็กๆ
เอาชนะตัวเอง มันเป็นคำประดิษฐ์เหรอ หยกว่ามันมีนะ เห็นภาพชัดด้วย
(บางทีหมายถึงการรู้จักแพ้อีกแน่ะ
)
อยากเก่ง อืมมมม คืออยากให้มันดีๆ นี่คืออยากเก่งใช่ไหม? งั้นก็คงอยาก
หยกว่าเก่งมันเป็นผลพลอยได้ของเหตุที่เราทำอ้ะคุณ -*- อยากหรือไม่อยากเนี่ย ไม่โฟกัสน่าจะแฮปปี้กว่านะ
เวลาทำอะไร เราก็ตั้งใจ (มันเป็นธรรมชาติเปล่า คือไม่ตั้งใจแล้วจะทำทำไม เสียเวลา -*-)
แต่ถ้ามานั่งตั้งเป็นเป้าหมายว่า "เฮ้ยยยยย เราจะเก่งให้ได้" แค่นี้ก็ขนลุกแล้วอ้ะ สยอง
คือสำหรับตัวเอง ระดับสติปัญญามันหาคำตอบไม่เจอเลยว่า พอเก่งแล้ว มันจะ . . . มันจะดีไง -*- มันดูว่างเปล่ามาก
หรือมันเหมือนที่ตอนเด็กๆ เราอยากได้คะแนนดี เพื่อได้งานดี อะไรแบบนี้หรือเปล่า? เก่งไว้ก่้อนย่อมได้เปรียบอะไรงี้?
ไม่ได้ต่อต้านคนเก่งๆ นะคะ คือหยกอาจจะไม่อินเฉยๆ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ไม่มีความคิดว่่าอยากเก่ง ตอนนี้อยากรู้จักยอมคน เพราะเป็นคนไม่ค่อยยอมคน ไม่ดีๆ
ทำอะไรสักอย่าง ทำให้มันดี ให้มันพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป ก็น่าจะดีแหละค่ะ
แต่.. ขอไม่โกหก.. ลึกสุดใจแล้วแอบเถียงอู๋ในใจ (อู๋กลับมาอีกละ
)
หยกว่าการอยู่ในถ้ำ มันไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลย มันเป็นธรรมชาติของ ณ เวลานั้นๆ
ตอนนี้ทุกอย่างก็แค่เปลี่ยนไป บางอย่างก็เปลี่ยนไปดีขึ้น บางอย่างก็แย่ลง
ซึ่งคำว่าดีขึ้นหรือแย่ลงเนี่ย แต่ละคนก็เห็นไม่เหมือนกันอีกแน่ะ ..
แต่ก็ดีแล้วแหละ ที่เห็นไม่เหมือนกัน สนุกดี
(หยกคิดว่าหยกพอเข้าใจที่อู๋จะสื่อค่ะ ขอบคุณมากที่แลกเปลี่ยน
)
ขอแสดงความเห็นตรงนี้ฮะ...ไม่ใช่ว่าต้องดิ้นรนมุ่งไปสู่ความตั้งใจให้มากที่สุดเหรอฮะ...หรือความเหนื่อยที่ครูหยกว่า มันหมายถึง เหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน
เพราะผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผมทำอยู่ (งานถ่ายรูป) มันเหนื่อยเหมือนกันนะ...แต่พอได้เห็นผลของสิ่งที่ตั้งใจทำลงไปก็รู้สึกดีจริงๆ
คำว่าเหนื่อย อธิบายเหนื่อยแน่ๆ เลยฉัน
ใช้คำว่าทุกข์น่าจะเหมาะกว่าเนอะ
หยกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนให้เราเลือกทางที่ไม่เหนื่อย
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีข้อธรรมจำพวกขันติหรืออิทธิบาท
เหนื่อยได้ แต่เราต้องรู้ตัวว่าเราเหนื่อยเพื่อสิ่งใด
เวลาหยกพูดถึงชิล ก็ไม่ใช่คำเดียวกับ "ขี้เกียจ" นะจ๊ะ
(แม้ว่าที่ทำอยู่จะดูคล้ายๆ
)
//ลืมบอกไป เรื่องทุนภูมิพล
หยกไปถามอาจารย์ด้วยนะ ว่าทำไมหยกถึงได้ เพราะเราไม่น่าจะได้เกรดเฉลี่ยเยอะที่สุด
(เพิ่งรู้ว่ามีทุนภูมิพล ตอนวันที่ได้นั่นแหละ ความรู้รอบตัวช่่างต่ำต้อยยิ่งนัก
)
เท่าที่พอจะจำได้ (
) อาจารย์บอกว่าคณะอาจารย์ดูกันหลายๆ อย่าง เป็นภาพรวม
หยกเคยคุยเรื่องนี้กับเพื่อนที่เป็นอาจารย์
เพื่อนบอกว่า ถ้าเขาให้เขาจะให้กัีบนักศึกษาที่เขาเห็นว่าอยากใ้ห้เป็นตัวอย่าง
ว่าเออนะ ถ้าจะทำ ก็ทำแบบคนนี้ (แปลว่าอาจจะไม่ต้องเรียนเกรดดีสุดๆ ก็ได้)
อันนี้หยกเองก็นึกถึงเด็กนักเรียนที่เคยสอนเหมือนกัน
ถ้าถามถึงความพอใจในตัวเด็กเนี่ย ไม่ใช่คนที่เรียนเก่งแฮะ
แต่มักเป็นเด็กที่อยู่ในระดับกลาง แต่มีภาพรวมที่เราเห็นว่า เออ นี่แหละ แบบนี้ดี แค่นี้พอแล้ว