ออกตัวก่อนว่า ภาษาตูก็ยังห่วย
ถ้าไม่ได้เป็นเรื่องที่เรารู้และเข้าใจ
พูดบางเรื่องบางทีก็ยังเป็น Broken English
ทั้งๆ ที่อยู่เมืองนอกมาตั้งหลายปี
ตูจะบอกว่า ถ้ามาเรียนภาษา
ก็เจอแต่คนต่างชาติที่ภาษามันก็ห่วยเหมือนกับเรา
เรียนในห้องมันก็แบบนึง ดูเหมือนว่าเออ เหมือนภาษาจะดีขึ้น
เวลาดูบีบีซี ก็เข้าใจดิบดี
แต่พอมาเจอคนอังกฤษท้องถิ่นจริงๆ พูด
เราก็จะไม่เข้าใจ เพราะสำเนียงไม่ชิน
และคนอังกฤษส่วนใหญ่ไม่ได้พูดสำเนียงแบบ บีบีซี
เคยมีเพื่อนอเมริกันบอกว่า พูดภาษาอังกฤษกับคนอังกฤษเนี่ย
แม่งยากที่สุดในโลกแล้ว
ส่วนในมหาลัย คณะที่ตูเรียนก็มีแต่เพื่อนแขก
ดังนั้นสำเนียงที่ตูคุ้นชินมากคือสำเนียงแขก
แถมการพูดก็ติดสำเนียงแขกไปโดยไม่รู้ตัว
ดีที่ตูยังไม่พูดไปส่ายหัวไปด้วย
ที่ทำงานตูก็มีแต่คนไทย กับแขก(อีกล่ะ)
แต่ไม่ได้หมายความว่า
การมาเรียนเมืองนอก
จะไม่ได้ภาษากลับไป
เพราะสิ่งที่ได้ นั่นคือการเปิดหู
ให้คุ้นชินกับสำเนียงนานาชาติ
นั่นคือเราก็จะฟังคนทั่วโลกพูดภาษาอังกฤษออก
เรื่องต่อมาคือเรื่องของการออกเสียง
เราจะออกเสียงได้ถูกต้องมากขึ้น
ยกตัวอย่างคำว่า Road
คนไทยจะออกเสียงว่า โร๊ด (เสียงสูงๆ)
แต่ในความเข้าใจของฝรั่ง
ถ้าออกเสียงอย่างนั้นจะเป็นคำว่า Wrote
คำว่า Road จริงๆ ต้องออกเสียงว่า โร่ด (เสียงต่ำๆ)
อะไรทำนองนี้เป็นต้น
สิ่งต่อมาคือเรื่องความเข้าใจในภาษา
ในรูปประโยค หรือในคำศัพท์ที่ใช้ มากขึ้น
เหมือนกับฟังเพลงตอนอยู่เมืองไทย
ก็แปลมาแบบเหมือนว่าจะใช่แต่แอบงงๆ
พอมาอยู่นี่ เลยเข้าใจว่าบริบทนั้นที่เขาใช้
จริงๆ แล้วมันหมายความว่ายังไง
เหมือนกับที่เก้อพูดนั่นแหละ
ว่าเราจะรู้ว่า ถ้าพูดหรือเขียนแบบนี้มันจะแปร่งหู
ในเรื่องของการสื่อสาร ตอนอยู่เมืองไทย
ฝรั่งคนนึงเคยบอกตูว่า เวลาฝรั่งมาเมืองไทย
มันจะพยายามทำความเข้าใจ
ภาษาอังกฤษที่คนไทยพยายามพูดอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าอยู่เมืองไทย ไม่ต้องกลัว
พูดถูกพูดผิด ก็พูดไป ขอให้สื่อสารได้เป็นพอ
ดังนั้นคำแนะนำว่า ถ้าอยากเก่งภาษาใด
ก็จงหาแฟนเป็นเจ้าของภาษานั้นๆ ครับ
(จบอะไรแบบนี้วะเนี่ย
)
ป.ล. อย่างที่เก้อบอกว่า ถ้ามันเข้าใจมันก็พยักหน้าเองนี่
ใช้กับแขกไม่ได้เด้อ เพราะเวลาเข้าใจมันจะส่ายหน้า
ถามมันว่า เข้าใจไหม มันส่ายหน้า แล้วบอกว่า เยส