หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 [35] 36 37 38 39 40 41 42 ... 44
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ลงทุ้นลงทุน  (อ่าน 241050 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้


ซื้อหวยเถอะครับ  น้องดำ
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
งั้นรอสัก 17 ก่อนค่อยซื้อล่ะกัน  อ๊าง~
บันทึกการเข้า

ติดตามรายวันเลยเรื่องทอง
เพื่อนซื้อกันเยอะครับ ทองรูปพรรณ ซื้อกันตอนโบนัสหน่ะ ตอนนี้ลุ้นยิ่งกว่าหวยว่า จะลงอีกถึงเมื่อไหร่ พรุ่งนี้จะลงกี่ร้อยบาทน้า  ฮ่าๆ ฮือๆ
บันทึกการเข้า

ราคาทองคำ ก็อย่างที่หลายๆคนบอกว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าในตัวเอง ราคามันเกิดจากการซื้อขายของคนที่เอามันไปเก็บไว้แล้วเอามาใช้แทนมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนเงิน

1. ทองไม่มีลง มีแต่จะขึ้นไปเรื่อยๆ
เป็นความเห็นของคนที่ลงมาในสนามทองใหม่ๆ

1.1 มือใหม่สุดๆ
เพราะถ้ามองย้อนไป ช่วงที่คนสนใจทองมันเกิดจาก Surge ของราคาจากตอน 22000 พุ่งเป็น 26000 ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์เมื่อปีที่แล้ว
ช่วงนั้นข่าวเยอะ คนสนใจมาก ทำให้เกิดการมองย้อนหลังไป4-5ปี แล้วเกิดความรู้สึกว่าทองมันมีแต่ขึ้นนี่หว่า ซื้อเก็บไว้ไม่เสียหาย

ช่วงนั้นถึงทองจะตกลงมาที่25000 24000 คนก็ยังซื้อ เพราะเชื่อว่ามันจะขึ้นต่อ
1.2 มือกลางๆ
กลุ่มนี้มองกราฟใน 5 ปี แล้วลงทุนทองในช่วง2-3ปีนี้ ด้วยความเชื่อว่าทองจะขึ้นไปเรื่อยๆ กลุ่มนี้ตั้งเป้าไว้ว่าทองจะขึ้นไปได้ถึง 28000 - 30000 ในกลางปี2013

หมอกฤษณ์เป็นหนึ่งในนั้น

1.3 มือกลางเก่า
กลุ่มนี้มองภาพยาวๆตั้งแต่ตอนที่ทองราคา6000-8000 เค้าจะมองว่าราคาทองที่ขึ้นใน5ปีหลังนี้ ขึ้นผิดธรรมชาติ การขึ้นช่วงหลังมีการเก็งกำไร
ดังนั้นการพล็อตกราฟ ต้องพล็อตที่ 10ปี พอตั้งแนวขึ้นของทองก็ได้แนวๆนี้

ทำให้ถ้าประมาณราคาทองว่าจริงๆแนวรับแนวต้านตามค่าเงินเฟ้อควรจะเป็น 18000 ถ้าคิดจะถือยาวๆ
ถ้าจะซื้อในราคามากกว่านี้ คือการหวังทำกำไรระยะสั้น

แต่มีอีกกลุ่มไม่มองแบบนั้น

2. ทองไม่มีมูลค่าในตัว มันไม่มีทางมีแต่ขึ้น
กลุ่มนี้มองยาวไปในอดีต
ทองมีช่วงขึ้นสูงตอน1970-1979 ช่วงที่คนไม่มั่นใจในเงินดอลล่าสหรัฐ แล้วแห่ไปซื้อทองจนขึ้นไป 12000-13000 จากนั้นฟองสบู่แตกโป๊ะ
กลุ่มที่ซื้อตอน 1979 ติดดอยไป30ปี  น้องดำ กว่าจะได้ราคาเดิมที่2009 และยังไม่บวกอัตราเงินเฟ้อ


หลังจากนั้นลงมาอยู่นิ่งๆที่7000-8000นานมาก เพิ่งมาเริ่มขึ้นใน10ปีมานี้
ซึ่งเมื่อสรุปแล้วการขึ้นใน 10 ปีมานี้ เกิดจากการที่กองทุนต่างๆหันมาเล่นทอง ซึ่งตอนนี้กองทุนต่างๆเลิกเล่นแล้ว
ที่มันยังขึ้นๆลงๆค้างที่เลข 20000 เพราะมาตรการพิมพ์เงินของสหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งมีสัญญาณว่าจะชะลอ
ไม่นับรวมทองที่ไซปรัสเทขาย และอิตาลีทำท่าจะเทขายอีกราย
ไม่นับรวมผลการผลิตทองที่ยังอยู่ในแนวที่เพิ่มขึ้นอยู่

กลุ่มมองทองในระยะยาว มองว่าทองลงมาได้ถึงระดับต่ำสุดที่8000บาท แต่ว่าด้วยกลไกของกำลังซื้อแมลงเม่า การเก็งกำไรระยะสั้น อัตราเงินเฟ้อ และความที่ทองคือโลหะที่มีจำกัดบนโลก คาดว่าแนวราคาทองจะมีการปรับตัวไปอยู่ราวๆ 12000-13000

สรุป
1. ถ้าต้องการplay safe เอาแบบนักลงทุนระยะยาว ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่ดี นอกจากว่าเราต้องการซื้อใส่ ซื้อเก็บเป็นสิ่งของไม่ใช่ใบหุ้นให้ลูกหลาน
ตั้งแนวต้านไว้ที่ 13000

2. ถ้ายังเชื่อมั่นใจราคาทองในช่วง 10 ปีนี้ แบบที่คนแห่ไปซื้อ
ตั้งแนวต้านไว้ที่ 18000

3. ถ้าเชื่อหมอกฤษณ์
ซื้อเลยครับ 30000 แน่ๆปลายปี2556

4. ถ้าภรรยาจะซื้อ ทั้งๆที่เห็นชัดว่าติดดอย
ซื้อเถอะครับ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยสงบสุขแห่งชีวิต อย่างมากขาดทุนแค่ไม่กี่แสนกี่หมื่น แลกกับความสงบสุขและพึงใจแห่งภรรยา คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
แต่อย่าลืมเอากระทู้นี้ให้ภรรยาที่ซื้อทองดูก่อนซื้อ เพราะไม่งั้นติดดอยที่ 25000 แล้วภรรยามารู้ทีหลัง เจอด่าไปอีก 30 ปี
บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
เห็นว่าน่าสนใจ  เลยก๊อบมาให้อ่านนกัน กรี๊ดดดดด

บัฟเฟตพูดเกี่ยวกับทอง ในอีก 100 ปีข้างหน้า

ในบรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)

อย่างไรก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้

ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน

สิ่งสำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว

นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่าเหตุ

ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …

“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”

ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”

เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)

คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!

นอกจากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด

ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจากนี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น

คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน

ต้องยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้

[บทความนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนลงในนิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012

http://pantip.com/topic/30363911
บันทึกการเข้า

E entao pergunta Se eu estou em paz E eu digo sim, i feel wonderful tonight
 กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า
ก่อนอื่นต้องซื้อสนามเบสบอล fuc yea


// หมอแมว ฮ่าๆ ฮือๆ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
กรี๊ดดดด เลิกๆ เอาเงินที่จะซื้อทองไปซื้อกระเป๋าแทนดีกว่า
19000 ได้ตั้งหลายใบ โวย โวย
บันทึกการเข้า

กรี๊ดดดด เลิกๆ เอาเงินที่จะซื้อทองไปซื้อกระเป๋าแทนดีกว่า
19000 ได้ตั้งหลายใบ โวย โวย
เจ๋ง
ก่อนอื่นต้องซื้อสนามเบสบอล fuc yea


// หมอแมว ฮ่าๆ ฮือๆ
คือเรื่องนี้ จริงๆเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะแอน .... เพราะหลายครอบครัวคนนึงซื้อ อีกคนที่รู้ไม่อยากซื้อ
แล้วตามหลักจิตวิทยาปกติ คนที่ไม่ได้ศึกษาเลยหรือไม่ได้ดูยาวๆ จะชอบซื้อช่วงก่อนขึ้นดอย กับตอนเพิ่งลงดอย

แต่บทสรุปก็เหมือนกัน ...
เงินที่ขาดทุน กับ ความสุขสงบในชีวิตคู่

ขาดทุนไปเลย
 เจ๋ง ผมถือว่าเงินที่ขาดทุนไป คือการซื้อคอร์สสอนวิชาชีวิต

บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
ที่บ้านจะซื้อทองเก็บไว้ 2 กรณี คือ ใส่เอง กับ เก็บไว้เผื่อต้องใช้ไปขอสาวแต่งงาน เพราะที่บ้านมีแต่ลูกชาย 3 คน

ใส่เองนี่แค่พวกสร้อยคอ แหวนเล็กๆ สลึง-50ตังค์ ส่วนมากแม่ใส่ พ่อผมไม่ใส่ทอง

อันที่ไว้ให้ลูกชายไปขอสาว พ่อผมซื้อเก็บไว้เป็นสร้อย เส้นละบาท ประมาณสิบเส้น ตอนที่มันราคาบาทละ 7-8 พัน (ปี 44-45)

มาเริ่มลองซื้อเก็บไว้ขายตอนมันเริ่มขึ้นเยอะๆ นี่แหละ แต่คุยกันแล้วว่า ซื้อไว้แล้วไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่ เอาไปซื้อที่ดีกว่า เลยเอามาขายหมด กร๊าก
บันทึกการเข้า

อืมมม...
ขาดทุนไปเลย
 เจ๋ง ผมถือว่าเงินที่ขาดทุนไป คือการซื้อคอร์สสอนวิชาชีวิต

เมียผมจะต่ออีกคอร์สน่ะครับ ฮ่าๆ ฮือๆ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
บอกเมียเลยฮะ ซื้อทองแท่งได้ทองคำเปลว
http://www.thairath.co.th/content/eco/340074
บันทึกการเข้า
อืม...เอาตังค์ไปซื้อหุ้นกินปันผล+เก็งกำไรเหมือนเดิมดีแล้วสินะ

ส่วนทองก็รอผช.มาขอ หมีโหด~
บันทึกการเข้า
อ่านเป็นเสียงคุณบัญชาแล้วสนุกมากครับ กร๊าก
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
กรี๊ดดดดด ขายเอาเงินไปเที่ยวแม่งเลย  โวย
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 [35] 36 37 38 39 40 41 42 ... 44
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!