หน้า: 1 [2] 3
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะ สัมพัทธ์กับอะไรไหม  (อ่าน 10067 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ตอนนี้ผมคิดออกอย่างนึง
เป็นอย่างที่จักรีบอกเลยแฮะ กร๊าก



คือธรรมะคือธรรมชาติ
ธรรมชาตินั่นแปรไปตามกาละ เวลา
การจะหาข้อผิดพลาดของธรรมะ เป็นไปไม่ได้ เพราะเราดำรงอยู่ในธรรมชาติ
และแปรตามธรรมชาติ







เอ๊า ก็คิดอย่างนี้ล่ะสิ
ทำให้คิดไม่ออก กร๊าก
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ความว่าง ได้มั้ยคะพี่อ๋าห์
หลุดพ้นจากพันธนาการ

จักรีหรือปิตีไขต่อได้มั้ยคะว่าจะไปสู่ความว่างได้อย่างไร
ไม่แตกฉานอย่างแรง

ความว่างไม่ใช่คำตอบสำหรับมนุษย์ครับ


ความว่างของมนุษย์เป็นได้แค่จินตนาการณ์ เพื่อบำบัดกิเลส หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะผมก็ไม่รู้

แต่เขาบอกมานะว่า คำว่าหลุดพ้นทางพุทธศาสนา ก็ไม่ใช่ความว่าง
แต่เป็นการที่มีสติสัมปชัญญะขนาดที่มองทุกอย่างตามความเป็นจริงดับทุกสิ่งให้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สภาวะแบบนั้ผมในฐานะที่เป็นจักรี ก็ไม่สามารถตอบได้จริงๆ ผมเคยตอบไปเยอะในจู๋ธรรมกายบนหิ้ง จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ผมก็ได้เรียนรู้ว่าผมโง่เกินกว่าจะไปฟันธงขนาดนั้น

แค่ลองศึกษาอาจจะได้แค่ปริญัติ  แต่ไร้ซึงสภาวะธรรมที่จะนำมาอธิบาย



บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
จักรีหล่อว่ะ ตอบเค้าด้วย
อีก 1 ช.ม. ถ้ายังไม่นอน จะบวกอีกที เกย์ออก


สงสัยค่ะว่า  หมีโหด~/
เมื่อหลุดพ้นตามหลักพุทธศาสนาแล้วยังจะมีการรับรู้อยู่อีกมั้ย
หรือว่าดับไปเลย ล้างกระดานไปเลย หรือลอยไปลอยมาที่ไหนซักแห่ง แต่ไร้ความรู้สึก
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
ก่อนอื่นช่วงแถลงไขให้หน่อยว่า " สัมพัทธ์ " ในที่นี่คืออะไรครับ

ไม่ค่อยเข้าใจดี เลยยังไม่อยากเขียนอะไร

ขออภัยแสนชื่น ผมเพิ่งสังเกตเห็นคำถาม
สัมพัทธ์ในที่นี่หมายความตามที่ตาร่มว่านั่นแหละครับ



//ส่วนอันนี้บอกจักรี

คุณไอน์สไตน์ท่านว่า แสง มีความเร็วไม่สัมพัทธ์กะอะไรเลย
อธิบายง่ายๆประมาณว่า เวลาเราปาลูกหินที่หน้าตลาด
ปกติแล้ว ความแรงความเร็วสูงสุดของเด็กชายภูกระดึง ปาได้สามร้อยกม.ต่อชั่วโมง
แต่ ๆๆๆ ถ้าเด็กชายภูกระดึงปาหินบนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วเจ็ดร้อยกม. ต่อชั่วโมง
ความเร็วหินนั้นก็จะเป็น สามร้อย บวก เจ็ดร้อย เป็น พันกม.ต่อชั่วโมง

เช่นกัน ถ้านำไปใช้กับรถไฟในอนาคต ความเร็วเจ็ดล้านไมล์ต่อชั่วโมง
ปาหินด้วยชุดไซบอร์กอาร์มรุ่นล่าสุด ปาได้ความเร็วแปดล้านไมล์ต่อชั่วโมงบนรถไฟนั่น

หินก็จะวิ่งด้วยความเร็วสิบห้าล้านไมล์ต่อชั่วโมง

งงไหม

แต่ถ้าคุณเป็แสง คุณไม่ต้องบวก แสงจะเดินทางด้วยความเร็วตัวเองเป็นปกติไม่ต้องไปบวกความเร็วต้น
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ดูซิโง่ๆ อย่างผมยังเข้าใจอ่ะครับ ลุงอ๋าห์ ไปเป็นครูเด็กประถมได้เลยนะครับเนี่ย  จริงๆ

ทำให้อยากศึกษาทฤษฏีนี้ขึ้นอีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ธ.ค. 2008, 00:53 น. โดย จักรี » บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ขอบคุณลุงเป็ดที่อธิบายครับ ไหว้

ถ้าอย่างนั้นผมว่าธรรมะสัมพัทธ์กับคนครับ
เพราะว่าถ้ามองที่จุดประสงค์หรือCore Concept ของธรรมะแล้ว
คือการสร้างความสงบสุขแก่มนุษย์คนนั้น แล้วคนโดยรอบ

ธรรมมะนั้นสอนให้มนุษย์ดำเนินวิธีชีวิต อย่างมีระเบียบแบบแผน
แน่นอนว่าในสมัยก่อนอาจจะยังไม่มีกฎหมายมาควบคุมดูแล
ธรรมมะในสมัยก่อนก็อาจเป็นวิถีการดำเนินชีวิต + ข้อบังคับนิดๆ


ผมตั้งข้อสังเกตุนิดนึงว่าศาสตร์ที่มีอยู่ทุกวันนี้คือการเข้าใจมนุษย์

แพทย์ศาสตร์ = เข้าใจระบบร่างกายของมนุษย์ เพื่อนำมาผ่าตัด สร้างยา บลาๆๆ
เศรษฐศาสตร์ = เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ ความอยากของมนุษย์ จะได้สร้างวิธีรับมือ (อารมณ์Marketing)
(แนะนำให้ไปหาหนังสือเรื่อง เศรษฐศาสตร์ในกทม เขียนเข้าใจง่าย อธิบายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ได้ดีในมุมมองเศรษฐศาสตร์)
ศิลปศาสตร์ = เข้าใจพฤติกรรมการมองเห็น การรับรู้ การเข้าใจของมนุษย์

ธรรมะนั้นอาจจะเป็นอย่างที่บอกคือ เป็นการเข้าใจในธรรมชาติการเป็นอยู่ และธรรมชาติของมนุษย์
เมื่อเราเข้าใจแล้วก็อาจจะทำให้เรายอมรับตกลงปลงใจอะไรได้

แต่ว่าในการรับสารนั้นแต่ละคนมีระดับขั้นของการตีความไม่เหมือนกัน
บางคนอาจตีความไปอีกแบบเหมือนกับนักเรียนอ่านหนังสือสอบ
อ่านเล่มเดียวกัน คนสอนคนเดียวกัน แต่ได้เกรดไม่เท่ากัน

นึกอะไรออกแล้วมาโม้ต่อ

ปล. ขอบคุณลุงอ๋าครับ แต่ถ้าเขียนเป็นตัวเลข 123 จะเข้าใจง่ายขึ้นครับ ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ธ.ค. 2008, 00:54 น. โดย แสนชื่น » บันทึกการเข้า
ดูซิโง่ๆ อย่างผมยังเข้าใจอ่ะครับ ลุงอ๋าห์ ไปเป็นครูเด็กประถมได้เลยนะครับเนี่ย  จริงๆ

เข้าใจกันแล้วเหรอ
อธิบายด้วย อยากเข้าใจมั่ง ฮือๆ~

จบการเสวนาแล้วช่วยสรุปด้วยได้มั้ยคะ
ว่าพี่อ๋าห์เห็นแนวทางคำตอบสำหรับคำถามที่ตั้งอย่างไรบ้าง ไหว้
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
ยังไม่เห็นแนวทางเลยครับ กร๊าก
อธิบายไม่เป็น สงสัยต้องให้แอนหรือเก้อมาช่วยตอบ
อ้อ ณัฐอีกคน


ผมว่าเรื่องนี้มันยุ่งๆเหมือนกะที่แสนชื่นพยายามจะบอก
คือมันก็จริง ที่แต่ละคนตีความต่างกัน
แต่ว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นมาก
เพราะมันตอบกันยาก

แต่ที่ตั้งคำถามนี่ เหมือนๆกับจะให้ช่วยๆกันคิดดูทีรึ
ว่ามีกรณีไหนไหม ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้า นำมาใช้ไม่ได้
ทั้งนี้ ไม่มีข้อกำหนดเรื่องเวลา หรืออะไรเลย น่ะครับ
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ผมหมายถึงเข้าใจที่ลุงอ๋าห์บอกอ่ะครับ เรื่องกฎสัมพัทธภาพ แต่เข้าใจในแบบที่ลุงห์อ๋าอธิบายนะ แต่เดี๋ยวขขอไปศึกษาเพิ่มเติมอีกที    ไหว้

 
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ที่ผมคิดคือธรรมชาติของมนุษย์พยายามที่จะไขว่คว้าหาความเชื่อบางอย่างที่สามารถเกาะไว้ได้
เพื่อเอาไว้ใช้ในการตัดสินใจ กระทำ บางสิ่งบางอย่าง
และธรรมะก็เป็นไม้ท่อนนึงที่ดูน่าเชื่อถือสามารถเอาเป็นบรรทัดฐานในชีวิตได้
(และก็มีคนไปเกาะกันเยอะพอดู)

จากที่ผมไปคุยมากับพระอาจารย์คือในสุดท้ายแล้วพุทธศาสนา
ก็ยังไม่ได้ไปฟังธงอะไรชัดเจนว่าดีหรือเลว
(อันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนะครับอย่าถาม งงๆ ไม่ล่ะ ต้องรอกลับไปคุยอีกรอบ)

ผมว่มันก็ยังคงจะไม่ชัดเจนเช่นนี้อยู่ตลอดไปล่ะครับ
แต่ผมว่าในความไม่ชัดเจนมันก็มัความสนุกในตัวของมันเองอยู่
(ถึงำให้เรามานั่งคุยกันในนี้ไง กร๊าก)
บันทึกการเข้า
เรื่องหนึ่งที่น่าคิดคือ หลักธรรมชั้นสูงหลายๆข้อนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะกับมนุษย์
อย่างหลักไตรลักษณ์ - อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ว่ากันจริงๆ สามารถใช้อธิบายได้ทุกอย่าง
ลึกลงไปถึงระดับอะตอม โปรตรอน อิเล็กตรอน
(อิเล็กตรอนมีการโคจรเคลื่อนที่ตลอดเวลา จึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอนิจจัง)

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตราบใดที่ยังมีการเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนถ่ายพลังงาน
ไม่ว่าจะในระดับเล็กจิ๋วอย่างอนุภาค หรือระดับมหภาคอย่างสิ่งมีชีวิต ดวงดาว จักรวาล
หลัก "อนิจจัง" ก็จะยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ

อาจมีข้อยกเว้นที่อุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ (-273 องศาเซลเซียส)
ที่ว่ากันว่าทุกสิ่งจะหยุดนิ่ง ไม่มีอนุภาคใดเคลื่อนที่
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าสภาวะเช่นนั้นมีจริงหรือเปล่า
และถึงมีจริง ในสภาวะที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลักธรรมใดๆ ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>
อะ แล้วเต่าว่าไง
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
สัมพัทธ์นี่คือการเปรียบเทียบของสองอย่าง
และไม่ว่าจะตีความ "ธรรมะ" ว่าคืออะไร ผมคิดเห็นว่าก็ไม่น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับอะไรนะครับ
ในความคิดผม ธรรมะเป็นวาทกรรมที่แต่ละความเชื่อสร้างพื้นที่ของตนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ที่คล้ายๆ กัน
นั่นคือหลักของการใช้ชีวิต ควบคุม หรือพัฒนาจิตใจไปสู่อะไรบางอย่าง เช่น ความดี การได้พบพระเจ้า หรือนิพพาน

บางทีก็มีการบอกว่าสรรพสัตว์มีธรรมะเช่นกัน ซึ่งตีความได้สองอย่างว่าเป็นการพูดแบบมนุษย์นิยม คือเอาความคิดของคนไปใส่ในสิ่งอื่นๆ
หรือ ทุกสิ่งมีธรรมะอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นครรลองของโลก
แม้กระนั้นผมก็ไม่ขอสรุปว่าธรรมะจะมีปริมาณ หรือคุณภาพ ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นได้


พูดให้เข้าใจง่ายๆ อีกอย่างว่า สัมพัทธ์นั้นเกี่ยวกับความรู้สึกของคนด้วย
ส่วน่ธรรมะอยู่บนพื้นฐานของปัญญาครับ จึงไม่น่าจะสัมพัทธ์กับสิ่งใด





ปล.เ้ข้าฟอนต์ทีนึงก็มีเรื่องให้คุย ผมชอบจังแหะ *-*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ธ.ค. 2008, 01:53 น. โดย เต่างิ » บันทึกการเข้า
อาจมีข้อยกเว้นที่อุณหภูมิศูนย์องศาสัมบูรณ์ (-273 องศาเซลเซียส)
ที่ว่ากันว่าทุกสิ่งจะหยุดนิ่ง ไม่มีอนุภาคใดเคลื่อนที่
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าสภาวะเช่นนั้นมีจริงหรือเปล่า
และถึงมีจริง ในสภาวะที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลักธรรมใดๆ ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี

น่าจะเป็นคำตอบของคำถามนี้

สงสัยค่ะว่า  หมีโหด~/
เมื่อหลุดพ้นตามหลักพุทธศาสนาแล้วยังจะมีการรับรู้อยู่อีกมั้ย
หรือว่าดับไปเลย ล้างกระดานไปเลย หรือลอยไปลอยมาที่ไหนซักแห่ง แต่ไร้ความรู้สึก

เพราะคงเปรียบได้กับสภาวะนิพพาน ~ สภาวะจิตที่นิ่ง ที่เข้าใจถ่องแท้ถึงสภาวะของกรรม และของการเกิด/ดับ
ซึ่งหากอยู่สภาวะนี้แล้ว จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องหรือสัมพัทธ์กับปัจจัยภายนอกใดๆ รวมทั้งเวลา
บันทึกการเข้า

where there's a will there's a way
บางที กฏทางฟิสิกส์อาจจะเปลี่ยนได้ ในจักรวาลแบบอื่น แบบว่า อะตอมอาจจะไม่เรียงตัวกันแบบนี้ อาจจะเกิดเป็นดวงดาวในรูปแบบอื่น
แต่มันก็ยังยัดลงไปในกฏ ไตรลักษณ์ อันยิ่งใหญ่ได้

คือผมคิดว่า ตัวกฏไตรลักษณ์ มันยังเดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจักรวาลจะระเบิด วายวอด หรืออะไรก็ตาม มันก็ยังไม่ขัดกับไตรลักษณ์  ไม่รู้จะทำยังไงให้มันขัดกัน หรือหลุดออกไปจากกรอบนี้ได้

แต่ว่า อริยะชนระดับอรหันต์ สภาวะจิตเขากลับไม่ขึ้นอยู่กับกฏไตรลักษณ์
แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สัมพัทธ์ กับกฏของธรรมชาติ ยกเว้นอรหันต์ชนที่ทำตัวเป็นเอกเทศเหมือนกับแสง  ว่าไปนั่น
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
หน้า: 1 [2] 3
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!