จากนั้นรถพยาบาลก็มา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นรถพยาบาล ตอนเด็กๆผมอยากรู้ว่าเข้าไปแล้วจะตื่นเต้นมั้ย
แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่สนุกเลย
แม่ยังคุยได้คล่องเป็นปกติ
แต่ผมพูดอะไรไม่ค่อยได้ รู้สึกว่ามันอึดอัดไปหมด แฟนผมคอยปลอบใจผมแต่ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่
หน้าผมเหี่ยวมาก ซึ่งไม่ค่อยมีใครเห็นอารมณ์นี้ของผมมากนัก
.
.
.
.
ระหว่างไปที่ห้องฉีดสี ผมก็ถามพยาบาลว่าฉีดสีนี่ใช้เวลานานมั้ย (ตอนนี้ประมาณบ่ายสอง)
แล้วแม่ก็ไปทำการฉีดสี
ผมกับแฟนก็ไปเดินเล่นรอเวลาในรพ.จุฬานี่แหละ ซึ่งใหญ่และวกวนมาก งง แต่ก็มีร้านเวชภัณฑ์ด้วย
เลยเข้าไปซื้อเครื่องวัดความดันดิจิตอลมาอันนึงหวังว่าจะได้ใช้วัดความดันแม่...
ผมเพิ่งรู้ว่าแม่มีความดันสูงมานานแล้วแต่แม่ไม่บอก แถมกินยาแบบชาวบ้านๆอีกคือซื้อกินเอง
อันนี้ต้องขอบอกทุกคนไว้เลยว่าต้องสังเกตพ่อแม่พี่น้องมากๆนะครับ เพราะเขาไม่มานั่งบอกว่าเค้าเป็นอะไรหรอก
แฟนผมก็ชวนไปกินข้าว ซึ่งจริงๆผมไม่ได้หิวเลย แต่แฟนผมให้ผมไปกินให้ได้
อีกแล้ว...ระหว่างกิน
มีโทรศัพท์เข้ามา ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งก็แปลว่าคงไม่เป็นอันตรายน่า)
แล้วผมก็รีบกินเพื่อจะไปที่ห้องเดิม
ชิบหาย!!หลงทางครับ จำทางกลับไปห้องฉีดสีไม่ได้

จริงๆมันอยู่ไม่ไกลกันมากแต่ผมวนซะรอบเลย
แม่ไม่เป็นอะไรครับ ผ่านพ้นขั้นตอนการฉีดสีมาได้
ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย คุยเล่นกับแม่
แม่บอกว่า "คงไม่เป็นไรเนอะ หมอเค้าคงใช้ยาแล้วม้าก็คงดีขึ้น ม้าไม่อยากผ่าเล้ย"
ผมก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกม้า สบายๆน่ะ"
รอผลจากหมอสักสิบนาที
ผมไปคุยกับหมอ ซึ่งห่างจากแม่เล็กน้อย พอให้แม่ไม่ได้ยิน
คุณหมอที่นี่บอกว่า จุดที่แตกนี่อยู่ด้านนอก(ใกล้ๆกระโหลก) ใช้การอุดไม่ได้ต้องผ่าจากนอกเข้าในจะดีกว่า
แต่ยังไงก็ต้องประชุมกับทางนู้นว่าจะใช้วีธีการยังไงอีกที
ผ่าตัด!!!สมองด้วย
แต่ผมไม่รู้จะบอกแม่ยังไง แต่ยังไงก็คงต้องบอกอยู่ดีเลยพูดไปว่า
"ไม่อุดก็ผ่าแหละม้า"
"เหรอ" แม่ตอบ
"แต่ถ้าผ่าก็ไม่มากเพราะมันอยู่ด้านนอกเนอะ"
หลังจากนั้นก็ย้ายมาที่รพ.กรุงเทพคริสเตียน เข้ามารอที่ห้อง ICU เหมือนเดิม
แม่รู้สึกเหนื่อยและปวดหัวมากขึ้นจากการย้ายที่
ผลสรุปของวิธีการคือ ผ่าตัดจริงๆดั่งคาด
แน่นอนผมต้องถามคำถามเดิมว่าแพทย์ผู้ผ่าคือใครความเสี่ยงมากแค่ไหน
แต่ก็ได้รับทราบว่าแพทย์คืออาจารย์หมอของคุณหมอที่เป็นทีมรักษาแม่อีกที ซึ่งก็ผ่ามาเยอะมากเช่นกัน
แต่ต้องผ่าเลยเพราะว่าปล่อยไว้ จะแตกซ้ำแน่นอน!! ซึ่งไม่รอดแน่ ถ้าตกลงผ่าผมจะได้นัดอาจารย์เลย
แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ 30%น้ำตาเริ่มมาอีกแล้ว เพราะผมได้ยินว่าการผ่าอาจจะมีการแตกระหว่างผ่าด้วยก็ได้ แม่ผมอายุ 68 แล้วด้วย
นัดเลยครับหมอ
แล้วก็มีใบมาให้ผมเซ็นยินยอม
ผมจำได้ว่าอ่านอยู่นานมากก่อนจะเซ็น แต่ผมจำเนื้อหาอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้ผมก็เดินไปกับหมอเพื่อบอกแม่ว่าจะผ่าอีกครั้ง
แต่แม่ไม่ได้ตกใจมากนัก "เหรอคะ" แม่บอก
ส่วนผมก็บอกว่า "ประมาณ ทุ่มนึงล่ะม้า"
แต่แม่กลับบอกผมกับแฟนว่า "แล้วพวกเรากินข้าวกันรึยังล่ะ"
.
.
.
.
อีกแล้วที่ผมต้องรีบออกมานอกห้อง
.
.
.
คราวนี้ร้องไห้หนักเลย คิดถึงภาพวันที่ไม่มีแม่อยู่ ผมรับไม่ได้
เพราะว่าผมคิดว่าผมยังทำให้แม่ไม่เต็มที่เลย
ผมไม่กล้าเข้าไปอีกแล้ว กลัวแม่จะเห็นว่าผมร้องไห้
เลยต้องเข้าไปตอนใกล้ๆจะผ่า
ภาพที่เห็นคือเขากำลังเข็นแม่ผมผ่านห้อง ICU ไปห้องผ่าตัดข้างๆ แม่ไม่กลัวผ่าแต่กลัวการวางยาสลบ
ผมไปพูดกับแม่ว่า "ม้าต้องเข้มแข็งนะ ไม่เป็นไรมากแป๊บเดี๋ยว"
แต่ผมถามพยาบาลได้ความว่าใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
ผมอยากพบแพทย์ผู้ผ่าตัดก่อนที่จะผ่า แต่เขาไปอยู่ในห้องผ่าตัดซะแล้ว
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก แม่ผมกำลังถูกเข็นเข้าไปเพื่อวางยาสลบ
ผมรีบพูดว่า "ฝากแม่ผมด้วยนะครับ"
หวังว่าคงถึงบรรดาทีมผ่าตัดทุกคน รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่แถวๆนี้
ให้แม่ผ่านมันไปได้ด้วยดี
3 ชั่วโมงนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลยนั่งสวดมนต์ ภาวนาขอพระ แฟนผมบอกว่าเราก็ไหว้ขอพระจากที่บ้านให้แล้ว
กะว่าจะไหว้ที่นี่ด้วยแต่ไม่มีศาลพระภูมิ โรงบาลคริสต์ ห้องชื่อว่าห้องหมอบรัดเลย์ เลยขอด้วยเลย
เอ๊ะหมอบรัดเลย์นี่บิดาแห่งการพิมพ์ไทยไม่ใช่เหรอ? น่าจะได้น่ะ
ส่วนรอบๆมีอีกครอบครัวนึงมารอญาติเขาเหมือนกัน
ประมาณ 10 กว่าคน ยกมาทั้งบ้าน กินมาม่าถ้วยระหว่างรอด้วย

เค้าบอกห้ามกินหน้าห้อง
ขำบ้าง เศร้าบ้าง สลับกันไป
แต่จริงๆผมเครียด
พ่อแฟนผมบอกว่าระหว่างนี้ไปเอาเสื้อที่บ้านมั้ยจะได้รีแลกซ์หน่อย ผมก็เห็นดีด้วย เลยลงไปกะว่าจะไปที่รถพ่อ
แต่... พอถึงชั่นล่าง ผมบอกแฟนผมว่าช่วยเอามาให้ทีนะ อยากอยู่ที่นี่น่ะ แล้วก็ส่งกุญแจบ้านให้
ผมรอหน้าห้อง จนครอบครัวนั้นกลับไปหมดแล้ว
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
....
ก่อนที่จะเงียบไปมากกว่านี้ แฟนผมและพ่อแม่ของเขาก็กลับมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ข้างในมีเสื้อผ้าครบครัน
และรู้สึกว่ามีหมอลูกทีมเดินมาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าใช่ทีมที่ผ่าแม่ผมหรือเปล่า แต่เดินตัวปลิวไปเลย
แฟนผมบอกว่าถ้าแช่มชื่นอย่างนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
ผมรออยู่พักใหญ่จนมีพยาบาลออกมาถามหาญาติผู้ป่วย ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็ว
เห็นภาพหมอใหญ่หันหลังอยู่กำลังเขียนอะไรซักอย่าง
ผมอยากเห็นสีหน้าเค้าเร็วๆ เพราะถ้าเห็นหน้าหมอมี่ผ่าตัดปั๊บก็รู้ได้ทันทีว่ารอดหรือไม่
ทันทีที่หมอหันกลับมาพร้อมสีหน้าที่เรียบๆชิวๆ แสดงว่าแม่รอดครับ
แล้วแม่ก็ปลอดภัยจริงๆ
หมอบอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี แล้วก็วาดภาพให้ดูว่าเส้นเลือดที่โป่งนี่มันโป่งถึง 3มิล
เห็นเลือดอยู่ข้างในแต่ยังไม่แตก แต่ทำการหนีบไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเลือดที่ยังค้างอยู่ต้องให้มันไหลออกไปเอง ซึ่งต้องรอดูอาการอีก 1-2 สัปดาห์
(หมอบอกว่าส่วนเลือดที่ค้างอยู่ อาจจะมีปฎิกริยาต่อเส้นเลือดอื่นๆได้ เพราะว่าจะมีการปล่อยสารออกมา ทำให้เส้นเลือดหดตัว)
ผมดีใจมาก
แม้ว่าต้องรอดูอาการต่อไป แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา
แค่วันเดียวเท่านั้นทำให้ผมได้คิดอะไรกับชีวิตมากขึ้น
มันเป็นภาพผู้คนย่านสีลมที่ขวักไขว่ทำงาน กินข้าว และกลับบ้าน
ผมเห็นคนเหล่านั้นคือตัวผมเอง แล้วผมก็คิดว่าคนเราจะทำงานจนไม่มีเวลา
คุยกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องไปเพื่ออะไร
แม้ว่าผมจะอยู่กับแม่นานกว่าคนอื่นก็ตาม (เพราะทำงานที่บ้าน)
ชีวิตคนเรามันสั้นมาก วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะแย่ก็ได้
ผมอยากให้คนที่อ่านทุกคนเห็นความสำคัญของการเอาใจใส่คนในครอบครัวให้มากๆ
แม้ว่าเขาจะดูเหมือนแข็งแรงดีก็ตาม หมั่นสังเกต พาไปตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
หมอบอกว่าถ้า 55 ขึ้นไปต้องตรวจปีละ 2 ครั้ง
วันนี้ผมโชคดีมาก เพราะในขณะที่วันแรกหลังผ่าแม่ผมก็ลืมตาและมีปฎิกริยาตอบสนองแล้ว
และเข้าสู่วันที่สอง แม่ผมเริ่มทานอาหารได้แล้ว แถมยังสั่งให้ผมเติมเงินโทรศัทพ์มือถือได้อีกแน่ะ
แต่เตียงข้างๆแม่ไม่ได้โชคดีแบบผม หมอที่ผ่าแม่บอกบอกว่ารายนั้นแย่ เพราะตอนผ่าเกิดแตกซ้ำ
เลยน็อคไปเลย ส่วนของแม่ผมโชคดีแล้ว ที่เป็นก็ตรงแกนสมองด้วยอันตรายทีเดียว
(ผมเห็นภาพที่หมอเอากล้องถ่ายเส้นเลือดนั้นให้ดูด้วย

)
ขอบคุณคุณหมอและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในโลกนี้ที่ช่วยให้แม่ผมรอดมาได้
และขอให้แม่ผมเป็นปกติในเร็ววันด้วยครับ
คุณอาจจะไม่โชดดีแบบผมและแม่ผมก็ได้ เพราะฉะนั้นพาพ่อแม่ไปตรวจสุขภาพนะครับ