หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8
 
ผู้เขียน หัวข้อ: วรรคทอง  (อ่าน 54054 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ชอบอีกแล้ว..  กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

บาดแผล ณ ร่างกาย
เหล้าล้างได้ แผลหายดี
บาดแผล ณ ฤดี
ฤ จะมี เมรัยใด-

ราดรดลงลำคอ
บาดทั้งคอ ขมทั้งใจ
ยิ่งราด ยิ่งสุมไฟ
ในฤทัย ยิ่งมืดมน

รินเหล้าอีกสักแก้ว
เพลงแผ่วแผ่ว ผ่านม่านฝน
แผลในฤทัยดล
ให้เริ่มต้น ดื่มอีกครา

ดื่มเหล้า ที่บาดคอ
หวังแค่พอ จะดับไฟ
ไฟรัก ยิ่งโหมใน
บาดหัวใจ บาดลำคอ


เหล้าขมบาดคอ รักขมบาดใจ - ๒๔/๐๔/๔๒

(แหม เขินนะเนี่ย 555)



ชอบกาพย์บทนี้ ของพี่อ๋าห์ มากๆ ครับ  กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า
บาดแผล ณ ร่างกาย
เหล้าล้างได้ แผลหายดี
บาดแผล ณ ฤดี
ฤ จะมี เมรัยใด-

ราดรดลงลำคอ
บาดทั้งคอ ขมทั้งใจ
ยิ่งราด ยิ่งสุมไฟ
ในฤทัย ยิ่งมืดมน

รินเหล้าอีกสักแก้ว
เพลงแผ่วแผ่ว ผ่านม่านฝน
แผลในฤทัยดล
ให้เริ่มต้น ดื่มอีกครา

ดื่มเหล้า ที่บาดคอ
หวังแค่พอ จะดับไฟ
ไฟรัก ยิ่งโหมใน
บาดหัวใจ บาดลำคอ


เหล้าขมบาดคอ รักขมบาดใจ - ๒๔/๐๔/๔๒

(แหม เขินนะเนี่ย 555)



ไอเดียยอดมากครับ ...

แต่สงสัยทำไมสุมไฟแล้วมืดมน สงสัยจุดไม่ติดเหรอครับ อิอิ น้องดำ
บันทึกการเข้า

My handsomeness is toxic to all chics.. :P

๏เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น        ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น 
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน     ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล 
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ                 เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน 
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน             ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง 

                                                                             นิราศพระบาท.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ก.ค. 2008, 22:20 น. โดย เดอะบุ๋ม » บันทึกการเข้า
ชอบกลอนบทนี้ค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเป็นของคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์

         ผิดหวังแล้วหวังใหม่ไม่ลดละ

หวังเพื่อจะผิดหวังอีกครั้งใหม่

แล้วเราก็ผิดหวังสมดั่งใจ

เราจึงไม่ผิดหวังสักครั้งเดียว

ป.ล. ส่วนใหญ่ไว้ใช้ยามชีวิตต้องการแรงใจ  เคยเขียนไว้ในข้อสอบตอนเอ็นทรานส์ด้วยนะเออ
บันทึกการเข้า
ชอบจังค่ะพี่เดียร์  กรี๊ดดดดด


บันทึกการเข้า
ศิลป์ทั้งผองต้องเพื่อเกื้อชีวิต
ของมวลมิตรผู้ใช้แรงทุกแห่งหน
ใช่เพื่อศิลป์อย่างที่นับสัปดน
ใช่เพื่อตนศิลปินชีวินเดียว

"ศิลป์ของใคร" - จิตร ภูมิศักดิ์
บันทึกการเข้า

My handsomeness is toxic to all chics.. :P
รำลึกทวนรอยเท้าแห่งวิถี

นกกระดาษตระหนกพร่านบินร่านร่อน
ว่ายว่อนเวิ้งฟ้าน้ำตาเจิ่ง
โครมครืน...ตื่นเตลิดกระเจิดกระเจิง
เปิดเปิง...ปืนอีโบ๊ะรัวโละเละ

สาดกระสุนลูกชำมะเลียงรัวกระหน่ำ
เจ้าตาคมล้มคว่ำลงโผละเผละ
เลือดตกอกแตกแหลกเละ
หยดหมาดหยาดเหมะดังเม็ดมณี

เนื้อนวลปริแตกแยกออก
ลิ่มหลาวยาวกว่าศอกตอกเต็มที่
โหยกรีดหวีดร้องก้องปฐพี
ค่าแค่เสียงแมลงหวี่ วู่วี่ดัง

โยกเอยโยกเยก
น้ำตาท่วมเมฆมิหยุดหลั่ง
กระต่ายน้อยลอยคอท้อประดัง
เหนี่ยวยอดฟ้าคว้าหวังก็พังครืน

ปีศาจรุ้งพุ่งพาดฟาดสาย
พุ่งปลายทะลวงอกอันตกตื่น
รุ้งดื่มเลือดจนเหือดร่าง...ฟ้าครางครืน
ระคนเสียงประเปรี้ยงปืนกำราบปราม

ต้นมะขามต้นนี้หรือต้นไหน
เปีย จุก แกละ รำไห้สะอื้นถาม
กิ่งนี้หรือกิ่งไหนเล่าไม้งาม
ที่นงราม เจ้าเนื้อแน่นถูกแขวนคอ

ลมวูบ กิ่งไหว ร่างไกวแกว่ง
ถูกตีต่อยห้อยต่องแต่ง...ถีบเตะต่อ
ไม่ครวญคร่ำไม่ร่ำไห้ไม่ตัดพ้อ
เชือกรัดคอแน่นซิหนอจึงเงียบไป

เจ้าตาปลิ้นลิ้นห้อยย้อยถึงคาง
มือสองข้างกำแน่นแค้นไฉน
แค้นเคืองขอให้ขาดพร้อมขาดใจ...
...เขาฌาปนกิจให้ด้วยเผายาง

กระดาษม้วนทำกรวยต่างลำโพง
เขากุข่าวป่าวโปงอยู่โป้งป้าง
ว่าเราเป็นกากเกลื้อนแถมเรื้อนกวาง
ว่าหัวแดง พุงด่าง ก้นเป็นดวง

ว่าแล้วเขาปาระเบิดลูกมะกอก
ปืนอีโบ๊ะหมื่นกระบอกก็รับช่วง
ห่ากระสุนลูกชำมะเลียงก็ลิ่วทะลวง
ปลดชีวิตปลิดร่วงลงนอนราย

ไม่ตายหรอกกรอกลูกหว้ายาวิเศษ
ที่นอนรายตายทุเรศก็พลิกหงาย
ฆ่าไม่ตาย ค่าไม่ตาย ข้าไม่ตาย
เจ็บก็หาย ตายไม่ฟื้น ตื่นใจจริง

ยังไม่ตาย เรายังอยู่สู้ยืนหยัด
ฝันและหวังยังแจ่มชัดจรัสยิ่ง
เลือกจำแนกแยกแยะและคัดทิ้ง
เก็บบางสิ่ง ทิ้งบางอย่างหาทางชนะ

เธอฝ่ายหนึ่ง ฉันฝ่ายหนึ่งพึงแจ่มชัด
แตกต่างอย่างยืนหยัด...ถือสัจจะ
ข้ามขุนเขาอวิชชาสู่อารยะ
เอาชนะด้วยปัญญาสมค่ามนุษย์

เคียดแค้นเคืองใจดังไฟเผา
บาปหนหลังระหว่างเราให้สิ้นสุด
"ศัตรูยังคงอยู่ให้สัปยุทธ์
คือโมหะแห่งมนุษย์ฉุดสำนึก"

เถิด...เหน็บปืนก้านกล้วยไว้ข้างฝา
สร้างเสริมสติปัญญาไว้สู้ศึก
ให้เจนจัดรัดกุมลุ่มลึก
ตรึกตรองครรลองศึกสันติวิธี

หก ตุลา สอง ห้า หนึ่ง เก้า
รำลึกทวนรอยเท้าแห่งวิถี
หักนิ้วนับทีละนิ้วนิ้วละปี
หมดมือตีนพอดีนะเพื่อนรัก

หักนิ้วนับจากวันนั้นถึงวันนี้
ยี่สิบปีพอดีแล้วเพื่อนรัก

 
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ต.ค.  ๒๕๓๙
บันทึกการเข้า
เรียนดอก
เท่าที่แปะๆ มัน
เอามาทั้งดุ้นกันเลยนิ
หรือ หยวนๆ

ถ้าวรรคทองต้อง
แบบนี้มิใช่เร๊อะ ดอก
..........................
ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก

แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน

และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน

เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างกลับร้างไกล


หยก บูรพา//เฉลิมศักดิ์ (ศิลาพร) รงคผลิน
บันทึกการเข้า

ดาวดวงลับล่วงแล้ว.................แลหาย
แสงดาวยังพร่างพราย.............จากฟ้า
ชีพดับลับมลาย......................เป็นดิน
อยู่ยั้งยืนคู่หล้า.......................นั้นคือความดี

คนดั้นด้นค้นหา.......................ล่าฝัน
ไขว่คว้าหาตะวัน......................แจ่มจ้า
ปีนป่ายไปถึงสวรรค์.................นับอยู่
ร่วงลงนรกชั่วช้า......................มิถ้วนหลงทาง

คนลืมตนลืมที่.........................เกิดมา
คล้ายเศษดาวเกลื่อนนภา...........ดวงน้อย
หลุดแตกจากดารา...................อับแสง
ไหลไปตามแรงร้อย..................ดึงดูดดวงดาว

หนึ่งคนชีวิตนั้น.......................แสนสั้น
เร่งรีบทำดีกัน.........................สรรสร้าง   
ยาวไกลในความฝัน.................ยังอยู่
เป็นแรงใจผลักง้าง..................สองเท้าก้าวเดิน

ผมเขียนเอง ตอนปี 2000

จนถึงวันนี้ มีกลอนเยอะแยะที่ผมเขียน
แต่โคลงมีไม่กี่บท ที่เขียนได้ ไม่รู้ทำไม

 กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดด  สุดยอดดดดด  ค่ะ  บวกโลดดดด กรี๊ดดดดด หยี
บันทึกการเข้า

More than in exile...............Dead
More than dead..................Forgotten!!!!!!
เกือบปีละ ขุดมาเล่นด้วยกลอนทึ่ขุดมาเช่นกัน กร๊าก

อีกอันลอกจากหนังสือ ทฤษฎีแห่งความรัก
ของ ท่าน ส.ศิวรักษ์

ว่าเมียเขาเรารักทำควักค้อน
ขึ้นงิ้วอ่อนมือตีนปีนไม่ไหว
แม้สมัครรักเราไม่เป็นไร
จะปีนได้ทุกวันไม่ครั่นคร้าม

ด้วยหนามงิ้วเดี๋ยวนี้มีไม่มาก
เขาคอยถากทุกวันอย่าหวั่นหวาม
จะทำบุญเสียด้วยขวานตระหง่านงาม
ไปถากหนามงิ้วบาดให้ขาดระยำ

นิราศพระปฐม

ตอนท้ายลงที่มาเพียงเท่านี้ ก็เลยไม่รู้ว่าผู้แต่งคือใคร
ผมเคยหาใน นิราศพระประธมของสุนทรภู่ ไม่ยักกะเจอ
คงเป็นงานเขียนของท่านอื่น
ใตรรู้บอกด้วยนะครับ


ว่าแต่ด๊อกเต้อร์ป๋วยหายไปนานแล้วนะเนี่ย
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ผมเห็น ดอกยังออนทุกวัน

ผมยังชอบบทนี้นะ น้าภู
แอบอ้าง
'ระจัน:
ตั้งอ่านดูนะ
...........................
ความคิดเห็นที่ 20

 
บางครั้งการเขียนกลอนแค่บทเดียว ก็อาจกลายเป็นวรรคทองเป็นที่จดและจำของคนทั่วไปได้
ว่ากันว่า (อีกแล้ว) เคยมีนักศึกษาหญิงธรรมศาสตร์คนหนึ่ง เขียนกลอนบทหนึ่งลง
ใน หนังสือวรรณศิลป์ธรรมศาสตร์ ที่ขายกันเล่มละบาทในสมัยนั้น ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๑นักศึกษาหญิงคนนั้นคือ กรรณิการ์ (เฮงรัศมี) หิรัญรัศมี กลอนบทนั้นลงท้ายสอง

วรรคหลังว่า " ถ้าไม่ไปพบเขาเราเสียใจ.........แต่ถ้าไปพบเขาเราเสียตัว "

 

เล่ากันว่า ช่วงนั้นเป็นที่ฮือฮากันมาก ขรรค์ชัย  บุนปาน ซึ่งตอนนั้นทำงานที่สยามรัฐ
ยังยกกลอนสองวรรคนี้ไปลงในข้อเขียนของตัวเอง และเขียนถามว่า " แล้วหนูไปหา เขาหรือเปล่าจ๊ะ "

 

มาอ่านกลอนนี้กันทั้งบทดีกว่า

 

รักที่ต้องเลือก (วันนี้)

 

โอ้วันนี้...วันสำคัญตื้นตันนัก

มิรู้จักเลือกทางอย่างไรได้

ถ้าไม่ไปพบเขาเราเสียใจ

แต่ถ้าไปพบเขาเราเสียตัว


 

กรรณิการ์ (เฮงรัศมี) หิรัญรัศมี

 

หมายเหตุ วรรคทองตอนนี้ คัดข้อความบางส่วนมาจาก คอลัมณ์เรื่อง นักกลอนเก่า ของ
วานิช จรุงกิจอนันต์ จากหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๑๘๙

 จากคุณ : จอมยุทธเมรัย  - 10 มิ.ย. 46 12:52:20
บันทึกการเข้า

++++++++++
น้ำตารินไหลพร่างอย่างเงียบๆ
มันเย็นเฉียบเหมือนเชือดให้เลือดไหล
ทั้งปวดลึกร้าวทั่วเนื้อหัวใจ
วันทำไมจึงมืดยืดยาวนัก...
++++++++++
ในนามของความรัก
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

นี่ก็น่าจะวรรคทองนะคะ กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

~ไม่ใช่คนที่ใช่..ก็ไม่ใช่ จะดิ้นรนจนสิ้นใจก็ไร้ค่า ถ้าใช่คนที่ใช่..ได้สบตา ก็รู้ว่าใช่ที่ใช่ไม่ต้องรอ~
ไปหา   ง่ะ
บันทึกการเข้า

ล้ำลึก คนึงหา ในดวงจิต
ใจเคยคิด ตัดสวาท ให้ขาดดิ้น
ดั่งก้านบัว หักกลาง ชลาสินธุ์
ผิว่าสิ้นไร้ เยื่อยัง เหลือใย

---วีรบุรุษไร้น้ำตา---
      --โก้วเล้ง--
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!