กลับมาอีกครั้งนึง (หลังจากที่การงานเริ่มลงตัว ก็เริ่มเข้ามาปั่นฟอนต์ต่อได้อีกรอบ)
พอดีพึ่งเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในนิตยสารฉบับหนึ่งไปอ่ะครับ (ใช้นามแฝง แต่ยังคงสะท้อนเด้งกลับมาโดนตัวได้อยู่ดี)
เอาเป็นว่าผมเห็นว่าน่าสนใจเลยเอามาเล่าสู่กันฟังแล้วกันครับ
ก่อนอื่น ขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมไม่นิยมไม้ป่าเดียวกันนะครับ (เกย์ในที่นี้รวมถึงเลสเบี้ยนด้วยนะครับ)
ผมเอามาสรุปเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพราะว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ และอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรงก็เป็นได้ครับ (หลายๆ คนคงมีเพื่อนเป็นชนสีม่วงใช่ไหมล่ะครับ)
เรื่องนี้มันกลายเป็นประเด็นร้อน ฮอตฮิต ติดชาร์ต แถวนี้เพราะว่าโพลหลายๆ สำนักต่างก็ให้ข้อสรุปเหมือนๆ กันว่าชนส่วนใหญ่จะยอมรับเพศที่สามได้ถ้าพวกเขาไม่ได้เลือกที่จะเป็นแบบนั้น แต่นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
"เรื่องเกย์เป็นเรื่องธรรมชาติ" เรื่องมันเลยยาวครับ
นักวิทยาศาสตร์มากมายหลายแขนงต่างก็พยายามพิสูจน์ว่ายีนเกย์นั้นมีจริงหรือไม่
ซึ่งผมขอแบ่งออกเป็นสามพวกละกัน
1) พวกแรกจะพยายามศึกษา ขุด ค้น เจาะลึกเข้าไปในจีโนมของคน และสัตว์มากมาย (โดยมากจะเน้นแมลงหวี่ครับ) เพื่อที่จะหาว่ายีนเกย์มีจริงหรือเปล่า
แล้วก็เจอซะด้วย
แต่อนิจจา สรุปได้แต่ในแมลงหวี่ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยีนที่เกี่ยวข้องกับการรับกลิ่นหรือไม่ก็เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทในสมอง ที่เด่นๆ มีสองยีนครับ ยีนนึงชื่อเจนเดอร์บลาย และอีกยีนหนึ่งเรียกว่ายีนฟรุ๊ตเลส ซึ่งก็มีปัญหาการเมืองอีกตอนตั้งชื่อ)
ยีนสองตัวนี้น่าสนใจครับเพราะว่ามันสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของแมลงหวี่ได้อย่างสิ้นเชิง เรียกว่าแปลงยีนเปลี่ยนเพศโดยไม่ต้องทำศัลยกรรมแต่อย่างใดครับ
แต่สำหรับเรื่องยีนเกย์ในคนนั้นยังคงเป็นที่สับสนกันอยู่ครับ ว่ามีจริงหรือเปล่า เพราะว่ากลุ่มตัวอย่างเล็กเกินไป แล้วก็ยังควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการทำวิจัยไม่ได้
อีกอย่างที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนก็คือ
"ถ้ายีนเกย์มีจริง แฝดร่วมไข่ หรือแฝดเหมือน หรือแฝดฝาเดียว (ชื่อเหมือนหอยฝาเดียวเลยแฮะ) ซึ่งมีพันธุกรรมเหมือนกันเปี๊ยบร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะถอดแบบกันมาจากพิมพ์เดียวกัน ถ้าเป็นเกย์ก็ต้องเป็นเกย์เหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้ที่คนนึงจะเป็นเกย์และอีกคนจะเป็น ช จริงหรือเป็น ญ แท้" แต่คอรีเลชั่น หรือเปอร์เซ็นต์ที่แฝดคู่นึงนั้นจะเป็นเกย์ทั้งคู่มีแค่ 5-7 % เท่านั้นเอง
นั่นหมายความว่า ในแฝดร้อยคู่จะมีแฝดที่เป็นคู่แฝดเกย์แค่ 5-7 คู่เท่านั้น
หรือนั่นจะหมายความว่าเกย์ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม ?? คำถามนี้ตอบยากครับ ดังนั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่สองเกิดขึ้นมา
2) กลุ่มที่สอง ศึกษาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเป็นเกย์
กลุ่มนี้อธิบายหลายๆ อย่างครับ แต่เป็นในแง่ของพัฒนาการเสียส่วนมาก ซึ่งสามารถอธิบาย (บางคนบอกว่าข้างๆ คู) ของการเกิดเกย์ในแฝดร่วมไข่ ไว้ว่าจริงๆ แล้ว แฝดทั้งสอง แม้ว่าจะมีพันธุกรรมเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งคู่อาจจะได้รับฮอร์โมนสารอาหาร และ Growth factor ต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกันไป ทำให้พัฒนาการของสมองของแฝดทั้งคู่ไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจส่งผลให้คนนึงเป็นเกย์ แต่อีกคนไม่
ซึ่งก็มีงานวิจัยออกมาสนับสนุนอีกว่าพัฒนาการทางสมองตอนที่อยู่ในครรภ์นั้น มีผลมาจากสิ่งแวดล้อม (เช่น ฮอร์โมน และอื่นๆ) ค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะเห็นได้จากการศึกษาที่พบว่าสมองของชายเกย์กับชายแท้จะไม่เหมือนกัน
อีกตัวอย่างก็คือ กรณีที่ถ้าครอบครัวใดมีลูกชายมากกว่าหนึ่ง ลูกชายคนรองจะมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นเกย์มากกว่าคนโตถึง 33 %
ดังนั้น ถ้ามีลูกชายสามคน คนสุดท้องก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเกย์ถึง 99% (ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ไว้คุยกันต่อได้ในภายหลังครับ)
3) กลุ่มสุดท้าย ศึกษาพฤติกรรมเพื่อนร่วมโลกของเราว่ามีสัตว์อะไรเป็นเกย์หรือเปล่า
กลุ่มนี้พยายามจะลบคำครหาว่าเกย์เป็นเรื่องผิดธรรมชาติครับ
เพราะว่าหลายๆ คนกระแนะกระแหนว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้นเกิดจากสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู และคนส่วนใหญ่จะโบ้ยข้อกล่าวหานี้ไปให้สื่อ (ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์) เป็นหลัก ที่เป็นต้นเหตุทำให้คนเป็นเกย์มากขึ้น ...
และที่น่าสนใจก็คือ พฤติกรรมรักร่วมเพศในสัตว์มีจริงครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่เป็นอันขาด ... ซึ่งเรื่องนี้ถ้าว่ากันตามจริงก็ยาวสุดๆ อีก
เอาเป็นว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศในสัตว์นั้นมีจริงและพบได้มากในสัตว์ชั้นสูงหลายๆ ประเภท เช่น วาฬ ยีราฟ ลิงบาบูนโบโนโบ นกหลายๆ ชนิดๆ กวาง และสัตว์อื่นๆ อีกมากมายกว่าห้าร้อยชาติพันธุ์
และที่ทำให้ผมเหวอที่สุดก็คือความจริงที่ว่า
"ในสังคมลิงบาบูนโบโนโบนั้น วานรชายร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไบครับ !!!!"เป็นไงบ้างครับ อ่านแล้วน่าสนใจไหมล่ะ แล้วพวกเราคิดว่ายังไงล่ะครับกับประเด็นนี้ ??