หน้า: 1 ... 7 8 9 10 11 12 13 [14] 15 16 17 18 19 20 21 ... 37
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ (แตกหน่อ)  (อ่าน 195760 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
 มึนตึ้บ โอ้ว เรื่องนี้ตูนอ่านแล้วอึ้งไปเลยนะ เพราะมันไม่มีในหลักสูตรการเรียนหรอก
ตูนว่ามันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคนมากกว่า ไม่ว่าจะในการดูคน และ การจัดการกับคน
ที่ตูนเรียน ในส่วนวิชาของการจัดการ โดยเฉพาะกับคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ผู้ถือหุ้น หรือ พนักงาน
จะเป็นแนวนี้มากกว่า เพื่อสร้างแรงจูงใจ วางนโยบายอะไรต่าง ๆ และสร้างความเข้าใจให้ไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนเรื่องของผู้ถือหุ้น / การเลือกผู้ร่วมธุรกิจ / การดำเนินธุรกิจกับผู้ถือหุ้น
ส่วนมากมักจะเป็นคนที่มีความคุ้นเคย มีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร
เมื่อมาทำธุรกิจด้วยกัน เปิดร้านร่วมกัน เปิดบริษัทร่วมกัน
ซึ่งด้วยความสนิทสนม ความเป็นเพื่อนกัน พี่น้องกัน คนรู้จักกัน สนิทกัน
ก็อาจทำให้อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หยวน ๆ กันไป ตั้งแต่แรก ๆ จนมันบานปลาย

ถ้าสังเกต บริษัทใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น พนักงาน ผู้บริหาร
ก็จะดำเนินงาน ทำงานภายใต้กฎระเบียบของบริษัทที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
โดยเอามาตรฐานสากลต่าง ๆ มาเป็นหลักอ้างอิง ให้ทุกคนปฏิบัติตาม
เพราะหากเราตั้งกฎ ระเบียบขึ้นมาเอง ส่วนมากคนจะ anti
แต่หากมันเป็นหลักสากล ที่เราควรจะต้องทำเพื่อได้รับการยอมรับจากลูกค้า

การทำแบบนี้ เพื่อให้การทำงานทุกอย่างเป็นไปตามกฎ ระเบียบ มีการตรวจสอบ
มีเอกสารในการเบิกจ่าย เป็นไปตาม flow ในการทำงาน
ในการสั่งซื้อ มีการเปรียบเทียบราคา มีข้อมูลที่เปิดเผยในระดับบริหาร

หากการทำงานทุกอย่าง ถูกบังคับด้วยกฎระเบียบมาตรฐานต่าง ๆ
ช่องโหว่ก็จะน้อยลง การขัดแย้ง ก็จะสามารถอ้างอิงเหตุผลเพื่ออธิบายกันได้

มีบทความเกี่ยวกับ :: ข้อคิดก่อนจะมี “หุ้นส่วนธุรกิจ” มาฝากให้อ่านกันค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ก.ค. 2008, 09:05 น. โดย ยัยแก้มป่อง » บันทึกการเข้า

แต่บริษัทใหญ่ๆ ส่วนใหญ่
เริ่มต้นก็มาจากบริษัทเล็กๆ
ที่มีหุ้นส่วนไม่กี่คนนะครับ

คือเราจะยกเอา Flow หรือกฎระเบียบ
จากบริษัทใหญ่ๆ มาใส่เลย
บางทีมันก็ทำให้เราเสียจุดแข็ง
ของบริษัทเล็กๆ ในเรื่องความยืดหยุ่น
และคล่องตัวไป

ผมว่ากฎระเบียบหรือ Flow
มันมักจะมาทีหลัง
(หลังจากที่เห็นช่องโหว่แล้ว)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ก.ค. 2008, 09:19 น. โดย ณต ปีสี่ » บันทึกการเข้า
Flow ของธุรกิจแต่ละขนาดมันก็ต่างกันนะคะพี่ณต
เราต้องเลือกแม่แบบที่เหมาะสม จัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเรา
จะไปเอาต้นแบบบริษัทใหญ่ ๆ มาใ้ช้กับธุรกิจเล็ก ๆ คงไม่ได้

แต่เรื่องสำคัญน่าจะอยู่ที่ระบบการทำงาน ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก
แต่หากมีการจัดระบบการทำงานให้ถูกต้อง มีกำหนดกฎเกณฑ์ น่าจะดีขึ้น

ส่วนเรื่องความยืดหยุ่น ตูนว่าเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบนะ
แต่ควรจะเป็นความยืดหยุ่่นเพื่อให้เกิดความคล่องตัว สำหรับลูกค้า

ส่วนปัญหาที่เกิด ตูนคิดว่าเนื่องด้วยความคล่องตัว สามารถยืดหยุ่นได้สูง
แต่เอามาใช้ผิดที่ผิดทาง ใช้เพื่อหาผลประโยชน์ใ้ห้แก่ตนเองนี่ก็แย่นะคะ

เรื่องพวกนี้ ส่วนมาก คงต้องคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์
ผู้บริหารที่ผ่านปัญหาพวกนี้มาหลากหลา่ย ใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ เลยล่ะค่ะ
บันทึกการเข้า



ส่วนปัญหาที่เกิด ตูนคิดว่าเนื่องด้วยความคล่องตัว สามารถยืดหยุ่นได้สูง
แต่เอามาใช้ผิดที่ผิดทาง ใช้เพื่อหาผลประโยชน์ใ้ห้แก่ตนเองนี่ก็แย่นะคะ


เรื่องพวกนี้ ส่วนมาก คงต้องคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์
ผู้บริหารที่ผ่านปัญหาพวกนี้มาหลากหลา่ย ใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ เลยล่ะค่ะ

นั่นแหละึครับ ตรงประเด็นเลย
พอเรารู้ ก็เสียความรู้สึกมากๆ ด้วย

ผมชอบคนสมัยก่อนเวลาเขาทำธุรกิจกันนะ
ไม่ได้จบ MBA แต่ก็ทำูธุรกิจประสบความสำเร็จได้
สมัยปู่ผม ก็ผูกขาดคู่ค้าเหมือนกัน
แต่ปู่ผมบอกว่า มันเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ
อย่าไปเห็นแก่กำไรเล็กน้อย เพราะบางทีซับพลายเอ้อร์
อีกเจ้านึงมาเสนอแข่ง อาจจะถูกกว่ากันไม่เท่าไหร่

แต่สายสัมพันธ์ทางธุรกิจ มันมีมูลค่ามากกว่านั้นเยอะ
สายสัมพันธ์แบบนี้ใช้เวลาสร้างมาเป็นแรมปี
อย่าให้มันจบลงภายในวันเดียว ด้วยกำไรเพียงไม่กี่บาท
บันทึกการเข้า
 ยิ้มน่ารัก ค่ะพี่ณต จริง ๆ เรื่องบริหารธุรกิจ กูรูต่าง ๆ ที่เค้าเอาหลักการอะไรมาสอนเนี่ย
พื้นฐานเดิม ๆ ถ้าเอามาเทียบดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง CRM หรือ หลักการตลาดอื่น ๆ เนี่ย
จะเห็นได้เลยว่า คนเราทำแบบนี้กันมานานแล้ว

เพียงแต่ กูรู ต่าง ๆ เหล่านี้หยิบยกขึ้นมา และเขียนออกมาเป็นแนวความคิด เป็นหลักการ
แล้วนำแนวคิด หลักการนั้น ๆ ไปประยุกต์ใช้ เพื่อคิดกลยุทธ์ขึ้นมา
ไม่ใช่สิ่งที่คิดค้นขึ้นมา (เหมือนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์)
แต่เป็นการเอาศิลปะในการบริหารธุรกิจออกมาเขียนเป็นหลักการ
เพื่อง่ายต่อความเข้าใจและอธิบายต่อคนอื่น ๆ

แต่ก็มีบางเรื่องที่เป็นแนวคิดใหม่ ๆ ที่มีคนคิดขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางใหม่ในการแข่งขัน

อย่างเรื่องที่พี่ณตพูดเกี่ยวกับการผูกขาดคู่ค้า อย่างที่คนสมัยก่อนทำ
ซึ่งเป็นการมีคู่ค้า หรือ Supplier น้อยราย แต่เลือกเฉพาะ Supplier ที่ไว้วางใจได้
และสร้างสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อทำงานร่วมกันยึดหลักแบบ win-win
อย่างนี้ เค้าก็เรียกว่าเป็นการทำ Partner-Suppliers

คนที่มองการณ์ไกล จะคิดแบบนี้ เพื่อหวังการทำธุรกิจยาว ๆ แบบเติบโตระยะยาว
แต่คนที่มองหาแค่ผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง จะคิดเพียงแค่ อันไหนได้มากกว่า
ใครให้ผลประโยชน์กับตัวเค้าเองได้มากกว่า ก็เลือกอันนั้น
โดยไม่นึกถึงผลได้ ผลเสีย ภายภาคหน้า ไม่มีการปูพื้นฐานทางความสัมพันธ์ที่ดี
แบบนี้ก็ไปไม่ได้ไกล อาจไ้ด้ผลประโยชน์สูง แต่ได้แค่ช่วงสั้น ๆ
บันทึกการเข้า


เหมือนตอนนี้ผมทำโรงเรียน
ตั้งไว้ 4 ข้อ คือ

สิ่งที่ผมมีดีกว่าคนอื่น จะผลักดันให้ถึงที่สุด
สิ่งที่ผมกะที่อื่นมีพอๆ กัน ก็จะรักษาอย่าให้แพ้
สิ่งที่ผมสู้เขาไม่ได้ แต่ยังสูสี ผมก็จะไม่ยอมปล่อยให้ขาดลอย
และสิ่งที่ผมสู้เขาไม่ได้เลย ก็พยายามอย่าให้เขาเอามาเป็นข้อได้เปรียบเรานัก

นี่เป็นการตลาดที่ผมว่าเองเออ เองไปตามเรื่อง

 กรี๊ดดดดด สุดยอดครับพี่โอ๋

เพิ่งมาเห็นกระจู๋นี้ครับ เลยนั่งอ่านทีเดียวหมดเลย
ได้แนวคิดของการทำโรงเรียนจากพี่โอ๋ แล้วก็แนวคิดธุรกิจของคุณตูน   ไหว้

ผมก็เปิดโรงเรียนเหมือนกันครับพี่โอ๋ 
เป็นโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์+ศิลปะ คือจะสอนไปในแนววาดรูป แล้วก็ทำ animation ครับ (อยู่ต่างจังหวัดครับ )
เมื่อก่อนสอนเล็กๆน้อยๆอยู่ที่บ้าน ตอนนี้ออกมาเช่าตึกได้เกือบ 2 ปีแล้วครับ

ปัญหาของการเปิดโรงเรียนสอนวิชาศิลปะืคือ เวลาส่วนมากเด็กๆจะเรียนพิเศษกันเต็มเอียดเลย
ทำให้หาเวลามาเรียนศิลปะ หรือวิชาอื่นๆนอกเหนือในโรงเรียนได้ยาก (พี่โอ๋เป็นเหมือนกันไหมครับ...)
ผมลองแก้ปัญหาด้วยการเอาเวลาที่เด็กว่างเป็นหลัก แล้วก็จับกลุ่มเด็กที่ว่างตรงกันมาเรียนด้วยกันแทน ( พระเจ้า.....ยากมากครับ ง่ะ)
ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็น fixวัน เวลา อายุ เลยครับ ( ผมแก้ปัญหาถูกไหมนี่.... ไม่รู้จะเป็นยังไงกำลังลองดูครับ )
บันทึกการเข้า
กรี๊ดดดดด สุดยอดครับพี่โอ๋

เพิ่งมาเห็นกระจู๋นี้ครับ เลยนั่งอ่านทีเดียวหมดเลย
ได้แนวคิดของการทำโรงเรียนจากพี่โอ๋ แล้วก็แนวคิดธุรกิจของคุณตูน   ไหว้

ผมก็เปิดโรงเรียนเหมือนกันครับพี่โอ๋ 
เป็นโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์+ศิลปะ คือจะสอนไปในแนววาดรูป แล้วก็ทำ animation ครับ (อยู่ต่างจังหวัดครับ )
เมื่อก่อนสอนเล็กๆน้อยๆอยู่ที่บ้าน ตอนนี้ออกมาเช่าตึกได้เกือบ 2 ปีแล้วครับ

ปัญหาของการเปิดโรงเรียนสอนวิชาศิลปะืคือ เวลาส่วนมากเด็กๆจะเรียนพิเศษกันเต็มเอียดเลย
ทำให้หาเวลามาเรียนศิลปะ หรือวิชาอื่นๆนอกเหนือในโรงเรียนได้ยาก (พี่โอ๋เป็นเหมือนกันไหมครับ...)
ผมลองแก้ปัญหาด้วยการเอาเวลาที่เด็กว่างเป็นหลัก แล้วก็จับกลุ่มเด็กที่ว่างตรงกันมาเรียนด้วยกันแทน ( พระเจ้า.....ยากมากครับ ง่ะ)
ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็น fixวัน เวลา อายุ เลยครับ ( ผมแก้ปัญหาถูกไหมนี่.... ไม่รู้จะเป็นยังไงกำลังลองดูครับ )


ของผมก็เป็นปัญหาคล้ายๆ กันนะครับ
คือเรียนเสริม ต้องวิชาศิลปะเป็นสิ่งสุดท้าย
ผู้ปกครองคนไหน พาลูกมาเรียนศิลปะนี่ต้อง
มีทัศนคติต่อ ศิลปะดีมากๆ

ไว้ผมว่างๆ จะมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ อีกนะครับ
บันทึกการเข้า

โรงเรียนสอนศิลปะทอศิลป์
เรื่องหุ้นส่วนเนี่ย
ผมไม่รู้ว่า MBA สอนไว้แค่ไหน

จากประสบการณ์ของผม หุ้นส่วนโกง
เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสจริงๆ
เพราะหุ้นส่วน ก็เป็นเพื่อนเป็นคนรู้จัก
บางทีอาจจะเป็นคนในครอบครัวด้วยซ้ำ

หุ้นส่วนบางคน จงใจทำให้เราอึดอัด
เพราะต้องการให้เราถอนหุ้น

จะด้วยวิธีโกงให้เราจับได้ก็มี
เอาแฟนหรือคนรัึกมาวุ่นวายกับธุรกิจก็มี

หุ้นส่วนบางคน มีผลประโยชน์ทับซ้อน
แทนที่กำไรของธุรกิจโดยรวมจะมากขึ้น
แต่กลับถูกผ่องถ่ายไปเข้ากระเป๋าตัวเอง
เช่นผูกขาดการจัดซื้อ จากซับพลายเออร์
ที่ตัวเองมีผลประโยชน์อยู่

เรื่องบางเรื่องบางทีเราก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เพราะบางที เราเองก็ไม่พร้อม ที่จะให้เขาถอนหุ้นออกไป

สาหัสจริงๆ นั่นแหละครับ
เพราะอะไรๆ ก็ไม่เท่ากับว่า
มันทำให้เราเสียความรู้สึก หมดสนุก  หมดไฟ  เอือม
(แต่เพื่อนผมบางคน มันสนุกกับเรื่องแบบนี้  เอือม
สนุกมาก กับการที่ได้ฟาดฟันกับหุ้นส่วน
ที่แต่ละคนเขี้ยวลากดิน)



 เห็นมาเยอะนะคะ  ง่ะ
บันทึกการเข้า

ความหลงใหลในภาพลวงตา ที่ได้มาใช่ความสุข
หุ้นส่วนตูทำให้ตูอึดอัด
เพราะมันนอนตดในห้องแอร์
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
 ง่ะ ง่ะ ง่ะ
บันทึกการเข้า

ความหลงใหลในภาพลวงตา ที่ได้มาใช่ความสุข
หุ้นส่วนตูทำให้ตูอึดอัด
เพราะมันนอนตดในห้องแอร์
แอร์ไม่มีฟอกอากาศหละซิ  คริคริ
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
วันนี้มาคุยกันเรื่อง .. " Customer Lifetime Value "

ปัจจุบันการขายของจะเปลี่ยนจากการเน้นทำกำไรในการขายแต่ละครั้ง
เปลี่ยนเป็น เน้นการขายระยะยาว ตลอดชีวิตของลูกค้า หวังการขายระยะยาว
เราอาจจะยอมขายสินค้าดี ๆ แต่ราคาไม่สูงมาก พอมีกำไรแบบพออยู่ได้
ลูกค้าก็จะมองเห็นความสำคัญ รู้สึกดี ๆ และมาซื้อบ่อย ๆ เรื่อย ๆ
ทำกำไรจากช่วงชีวิต กินน้อย ๆ แต่กินได้นาน ๆ บ่อย ๆ ถี่ ๆ

วัตถุประสงค์ของแนวคิดนี้
- ลดการสูญเสียลูกค้าเก่า
- เพิ่มคนมาซื้อ(ลูกค้าใหม่) เพิ่มความถี่ในการซื้อของลูกค้าเก่า
- สร้างความรู้สึกดี ๆ กับลูกค้า (CRM) สร้างความจงรักภักดี
- กระตุ้นการซื้ออย่างต่อเนื่อง
- สร้างกำไรทีละน้อย แต่ระยะยาว

ตัวอย่าง
- Tops ออก Spots Reward สะสม Point ซื้อสินค้าราคาถูกกว่าคนทั่วไป + สะสมแต้ม หรือ 7-Eleven ก็เช่นเดียวกัน
- ร้านต่าง ๆ ที่ให้สะสม Point ให้สมัครสมาชิก สะสมแต้ม หรือ ลดราคาพิเศษ
มีสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก ยิ่งใช้มาก ยิ่งมีสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาก
บันทึกการเข้า

ช่างตรงกันข้ามกับพวกหาบเร่ตามสถานที่ท่องเที่ยว
กูขายของกูทีเดียว ขูดรีดไปเลย
จะโดนด่าก็ไม่กลัว เพราะมีนักท่องเที่ยวมาใหม่ทุกวัน
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ

สิ่งที่ผมมีดีกว่าคนอื่น จะผลักดันให้ถึงที่สุด
สิ่งที่ผมกะที่อื่นมีพอๆ กัน ก็จะรักษาอย่าให้แพ้
สิ่งที่ผมสู้เขาไม่ได้ แต่ยังสูสี ผมก็จะไม่ยอมปล่อยให้ขาดลอย
และสิ่งที่ผมสู้เขาไม่ได้เลย ก็พยายามอย่าให้เขาเอามาเป็นข้อได้เปรียบเรานัก

นี่เป็นการตลาดที่ผมว่าเองเออ เองไปตามเรื่อง

ชอบตรงนี้ของคุณโอ๋ววววว ค่ะ
ขออนุญาตคัดลอกไปใช้กับตัวเองบ้างนะคะ
บันทึกการเข้า

Vanat
ชอบตรงนี้ของคุณโอ๋ววววว ค่ะ
ขออนุญาตคัดลอกไปใช้กับตัวเองบ้างนะคะ

พี่โอ๋ คงยุ่ง ๆ พักนี้ ขอตอบแทนพี่โอ๋นะคะ  ไหว้

เรามาแบ่งปันความรู้ และ ประสบการณ์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ค่ะ
ใครมีปัญหาเราก็มาช่วยกันเสนอ ช่วยกันหาแนวทางแก้ไข
ใครคิดจะสร้างเราก็ช่วยกันคิดวางแผนการดำเนินงาน

ยินดีและเต็มใจ ที่ทุก ๆ ตัวอักษร จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อยค่ะ  อ๊าง~
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 7 8 9 10 11 12 13 [14] 15 16 17 18 19 20 21 ... 37
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!