พี่โอ๋เป็นอีกคนนึงที่น่านับถือมาก ๆ สำหรับตูนนะ ซูฮกให้เลย
แวะมาอ่านเรื่อย ๆ ถ้าว่างจะหาอะไรมาให้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับด้านการบริหารนะคะ
ส่วนมาก ที่หยิบยกมามาคุยก็จะเป็นภาพที่มันแว๊บขึ้นมา คำพูดที่อาจารย์พูดในห้องบรรยาย
หรือไม่ ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จดเอาไว้ในสมุด lecture เน่า ๆ เล่มนึง ตอนปี 4
ถ้าใครมีหัวข้ออะไรน่าสนใจหรือสงสัยเรื่องอะไร ถามทิ้งไว้ก็ได้นะคะ จะได้มีหัวข้อคุยกันเรื่อย ๆ
ผมรอตูน เอาวิชา mba มาฝากนะ
ด้วยเพราะไม่ได้เคยเรียนอะไรแบบนี้
เป็นครู ศิลปะ ทั้งดุ้น แต่จะพยายาม
ปรับปรุงการ ประชาสัมพันธ์ ไปในทิศทางที่ไปได้ มากขึ้น
แม้เนื้อแท้แล้ว จะคิดว่้า ถ้าเราดีมันจะกระจายเอง
แต่ลึกแล้วเชื่อเหมือนกันว่า รอให้มันกระจายเอง
ลมหายใจเราอาจจะไม่พอ เช่นนั้นขอเดินไปบอกดีกว่า
ตูนแวะไปแอบดูที่โรงเรียนได้นะ
แล้วจะรู้ว่าโรงเรียนนี้เรียนสนุก และ ครูใจดีทุกคน จริงๆ
ผมจดใส่กระดาษแล้วเอาใส่กระเป๋า(เมื่ิออายุ 20 กว่า)ไว้ตลอดว่า
วันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตผมจะเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ วันนี้ผมได้เปิด
เข้ามาทำต่อจากเขาวันแรกเด็ก 40 คน ก็คิดเอาว่า ต้อง 80 และ 100
โดยไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร ในตอนนั้น วันนี้ 110-120 และคิดว่าน่าจะทำไปถึง 150
นี่เป็นแผนการทำงานในใจ โดยต้องไม่มุ่งหมายในแง่ธุกิจมากไป
ตัวอย่างเด็กเรียนการ์ตูนของผม
มีสองสามคนไม่ได้เรียนแล้ว เพราะความจำเป็นส่วนตัวเขา
ผมบอกว่าเขามาได้เสมอ ว่างตอนไหนก็มาหา
มานั่งเรียนได้ผมไม่คิดเงิน ผมบอกเพื่อนว่า
อย่างไรเด็กก็อยากเรียน แต่เวลาเขาไม่ตรงหรือ ต้องไปเรียนอย่างอื่น
(ความจำเป็นเรื่องรายได้ไม่ใช่ปัญหาของ เด็กที่นี่จึงตัดออกไป)
เขาก็แวะมาเสมอ บางคนมาสิบห้านาทีเอางานมาอวด
บางคนมาครึ่งชั่วโมง และบางคนมาทั้งชั่วโมงที่บังเอิญเขาว่าง
และบ่อยครั้งเด็กที่เรียนเป็นประจำ ถามผมว่า ครูอยู่ถึงพี่โมง
ถ้าผมบอกว่าอยู่ถึงเย็นเด็กๆ ก็จะอยู่กันต่อ ผมไม่คิดค่าสอนเพิ่ม
เพราะมองว่า นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมทำให้เด็กและผู้ปกครองประทับใจ
ในความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดความรู้สึกดีดี และไม่ใช่ทำธุกิจกันเกินงาม
ผมรักษาใจของเขาเหล่านั้นไว้ อย่างน้อยๆ ความรู้สึกดีงามเหล่านี้
มันจะเป็นผลดีต่อผมและโรงเรียนแน่นอน
ถ้าเขาได้ไปบอกกล่าวที่ไหนกับใครในโอกาสอื่นๆ