เหมือนที่คุณ HATA เพื่อนผม เปรียบไว้ โครงเรื่องเหมือนโครงกระดูก บทเหมือนเนื้อหนัง ภาพยนต์จะมีเรื่องสนุกก็เหมือนคนมีกระดูกแข็งแรง คนจะหล่อจะสวยขึ้นกับเนื้อหนังครับเหมือนภาพยนต์ จะดีอยู่ทีบทด้วย เอากรณีศึกษาของ IRONMAN THE MOVIE มาให้อ่านกันครับ
*****************************************************************************************
เอามาให้อ่านกันนะครบ จากบทวิจารณ์ของคุณหมื่นทิพย์ ผมคัดเฉพาะตรงที่เป็นประวัติ
แนวหนัง แอ็กชัน ซูเปอร์ฮีโร่
ตอนแรกว่าจะร่ายไม่ยาวนัก แต่นี่มีคนแว่บมาบอกว่าปูเสื่อรออ่านก็เลยต้องเอาซะหน่อยล่ะครับ ไม่ได้รีวิวหนังใหม่ยาวๆ มานานแล้ว (ด้วยงานเยอะหนึ่งและขี้เกียจอีกหนึ่ง) เตือนไว้ก่อนนะครับว่ามันยาวมาก ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ไปอ่านดาวตอนท้ายได้เลยครับ
ดูตั้งแต่มันเข้าวันแรกแล้วล่ะครับสำหรับพี่มนุษ ย์หุ่นเหล็กไอรอนแมน ซูเปอร์ฮีโร่รายล่าสุดของ Marvel Comics ที่ได้มีหนังเป็นของตัวเองซักทีหลังจากคั่วกันมานานมากๆ
เพราะจริงๆ หนังมีแผนจะสร้างตั้งแต่ปี 1990 แล้วนะครับ โดยทาง Universal Studios ซื้อสิทธิ์ไปกะจะทำให้มันยักษ์กันไปเลย (เพราะ Batman ภาค Tim Burton มาแรงจนผู้อำนวยการสร้างพากันซื้อสิทธิ์ซูเปอร์ฮีโรกันค่ายละเรื่องเลยล่ะมั้งตอนนั้
นน่ะ
กะว่าจะฮิตเหมือนพี่แบท แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีใครอาจหาญกล้าทำ จน Stuart Gordon (ผู้กำกับ Re-Animator หรือ คนเปลี่ยนหัวคนนั่นเอง) เสนอตัวว่าจะมาทำให้ ซ้ำยังเสนอว่าจะทำแบบเซฟทุนสุดๆ ตอนแรก Gordon นึกว่า Universal จะโอเคเพราะเห็นว่าเขาเสนอทุนสร้างไปไม่เยอะ แต่ผิดคาดเพราะทางค่ายต้องการสร้างหนังใหญ่จริงๆ
ไปชนกับแบทแมนเลย ทุนไม่เยอะแล้วมันจะใหญ่ได้ไง อีกทั้ง Gordon ก็มีชื่อในหนังสยองมากกว่า แต่นี่มันหนังฮีโร่ ทางค่ายเลยไม่ตกลง
แล้วเวลาก็ล่วงมาถึงปี 1997 สิทธิ์พี่มนุษย์เตารีดในมือ Universal ก็หลุดมาสู่มือของ 20th Century Fox
ทางค่างจิ้งจอกก็ไม่รอช้าประกาศทันทีแบบไม่กลัวแป้ก ซ้ำดาราที่ฮ็อตเยอะแต่ผมน้อยในตอนนั้นอย่าง Nicolas Cage ก็ประกาศตัวว่าสนใจเล่นบทนี้มากเพราะเป็นแฟนการ์ตูนอย่างเหนียวหนึบ
แต่ไปๆ มาๆ พี่ Cage ก็บอกศาลาตอนที่ Tim Burton มาเกริ่นๆ จะทำ Superman Returns เลยโยกไปเป็นมนุษย์กางเกงในอยู่ด้านนอกดีกว่า (แต่ก็ไม่ได้เล่นอยู่ดี)
ทีนี้พอเก้าอี้พี่เตารีดแมนว่า พ่อหนุ่มอารมณ์ดี Tom Cruise ก็เตรียมนั่งแทนพร้อมบอกว่าจะอำนวยการสร้างตามด้วยแสดงนำให้เสร็จสรรพเลย ตอนนั้นทาง Stan Lee ก็ร่ำๆ จะยอมลงมาร่วมด้วยเพราะตามเอา Jeffrey Caine คนเขียนบทเจมส์ บอนด์ 007 ตอน Goldeneye มาช่วยร่างบทแรกให้ที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กำเนิดเป็นรูปเป็นร่าง เพราะโจทย์ที่ยากสุดขีดคือ เรื่องราวพี่มนุษย์เตารีดคนนี้มันไม่ซับซ้อน
แต่ทางคนเขียนยังนึกไม่ออกว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวที่ไม่ซับซ้อนนี่ให้ออกมาน่ าสนใจได้ อย่างไร จนพี่ Cruise แกไม่รอ ไปทำหนังภาคต่อ Mission: Impossible ดีกว่า
พอโปรเจคท์นี้นิ่งไปพักหนึ่งก็มีคนออกมากวนให้ดังอีก คนที่ออกตัวว่าขอเขียนบทและกำกับให้ก็ไม่ใช่ใคร พี่แกมีนามกรว่า Quentin Tarantino (แอบนึกในใจ มันจะกลายเป็น Grindhouse: Iron Man ไหมวะเนี่ย)
แต่ทางค่ายจิ้งจอกก็เหมือนจะสนใจ แต่เผอิญช่วงนั้นเฮีย Quentin แกนึกเฮี้ยนอะไรก็ไม่รู้ ประกาศจะทำหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะไปหมดไม่จริงจังซะที จนค่าย Fox เห็นว่าถือสิทธิ์ไว้ก็ไม่เข้าท่าเลยขายต่อให้ New Line Cinema ไปซะเลย
พอสิทธิ์มาอยู่ที่ New Line ก็เริ่มมีแววได้ดูขึ้นมาอีก เพราะทีมคนเขียนบท Ted Elliott, Terry Rossio และ Tim McCanlies โดยสองรายแรกคือคนเขียนหนังชุด Pirates of the Caribbean นั่นเอง
ส่วนรายหลังเคยทำหนังการ์ตูนฮีโร่ที่แสนจะน่ารักชื่อว่า The Iron Giant มาก่อน การผนึกกำลังของเขาได้บทที่น่าสนใจมากสำหรับแฟน Iron Man เพราะพวกเขากระซิบว่าจะมีการผูกเรื่องเชิญตัวละครที่ชื่อว่า นิค ฟิวรี่ ซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งรายมาใส่ในเรื่องด้วย
ตามด้วยการทำให้เรื่อง Iron Man ออกมาเรียบง่ายแต่น่าสนใจ อันปเนการแก้โจทย์ที่ก่อนหน้านี้คนอื่นตันมาตลอด
ถัดมาปี 2001 ก็มีเรื่องให้แฟนๆ ได้เฮอีก เพราะบทหนังเริ่มเป็นเรื่องแล้ว (จากสามคนนั้น) NL เลยใจชิ้นไปคุยจีบ Joss Whedon ผู้ให้กำเนิดซีรี่ส์ Buffy, Angel ให้มาทำหนังเรื่องนี้ที
แต่พี่แกก็เซย์โนเพราะตอนนั้น Series สองอันนั้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อ (ใครเคยดูจะทราบครับ ตอนนั้นเรื่อง Buffy กำลังมันส์ ส่วน Angel นั้นก็แยะไปได้ไม่นาน) NL เลยย้ายป้ายไปติดต่อคนทำหนังที่งานไม่เยอะแต่ทำหนังได้ดีอย่าง Nick Cassavetes (She's So Lovely และ John Q) แล้วข่าวว่า Iron Man จะได้ฤกษ์เบิกโรงฉายในปี 2006 ก็กระหึ่มขึ้นมา
แต่ในที่สุดแนวทางที่ NL ต้องการ กับที่ Cassavetes อยากให้ทำก็สวนทางกัน เพราะค่ายหนังอยากให้มันออกมาอลังการแอ็กชันมันส์ล้วนๆ แต่ผู้กำกับอยากทำให้มันซึมลึก เป็นฮีโร่แนวชีวิตที่น่าประทับใจ
แต่เผอิญระยะนั้น หนังฮัโร่ที่ Ang Lee ทำอย่าง Hulk ซึ่งเน้นชีวิตมากเกินเหตุจนออกมาเจ๊ง ทาง NL เลยเหยียบเบรกตัวโก่งว่า อย่าทำให้มันออกมาชีวิตหนักเลยน่า แค่บู๊ก็พอ ลองว่าเป็นแบบนี้โปรเจคท์ก็เลยเข้ากรุอีกรอบ ตามระเบียบ
พอปัญหามากมายรุมล้อม New Line ก็ถอดใจ เอาสิทธิ์ Iron Man คืนให้ Marvel ไปในที่สุด ซึ่งทาง Marvel ก็ไม่ทำอะไรกับมันมาก พยายามปรับปรุงบทเหมือนกัน แต่ก็ออกมาแถลงแบบกึ่งๆ ถอดใจว่า Iron Man อาจจะเป็นตัวการ์ตูนฮีโร่คนเดียวของค่ายที่จะไม่มีการทำเป็นหนังคนแสดงจริง
< br>หลังจากแฟนๆ (และผมด้วย) ทำใจไปพักหนึ่ง ก็มีชายร่างท้วมนามว่า Jon Favreau ที่ดังเอาเรื่องไปกับ Elf และ Zathura: A Space Adventure ได้เสนอว่าเขาจะขอทำเรื่อง Captain America แต่ที่นี้พอคุยไปคุยมาก็เกิดเปลี่ยนใจ
เพราะเขาอยากทำซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความหนักมีอารมณืดราม่ามากขึ้นอีกหน่อย เลยหันมาทำ Iron Man แทน ตอนนั้นผมฟังข่าวใจก็พาลนึกไปว่า "นี่พวกพี่เลิกเสนอตัวได้ไหม ทำมันออกมาเลย!" รอเกือบจะยี่สิบปี ทำเป็น Indiana Jones ไปได้
แต่งานนี้พี่แกเอาจริงครับ แกพกคนเขียนบท Arthur Marcum และ Matt Holloway (สองรายนี้ได้รับมอบหมายให้เขียนบทภาคต่อ Punisher ด้วย) และเพื่อความชัวร์ แกเลยจัดเอาอีกสองนักเขียนบท Mark Fergus และ Hawk Ostby เขียนบทอีกหนึ่งทีม
ซึ่งสองรายหลังนี่ได้รับความสนใจมากที่เขียนเรื่องราว Children of Men ได้อย่างน่าปรบมือ
เรียกว่า Favreau แกอยากทำหนังเรื่องนี้มากครับ เลยให้คนเขียนบทสองทีมเขียนแข่งไปพร้อมๆ กัน คู่ไหนเขียนดีกว่าก็เอาบทคู่นั้น หรือไม่ถ้าดีทั้งคู่ก็จัดการมาผสมกันซะเลย และผลก็เป็นอย่างหลังครับ บทมีดีด้วยกันทั้งคู่
Favreau เลยต้องไปใช้บริการ John August นักเกลาบทมือเยี่ยมที่ผ่านงานหนังอย่าง Charlie's Angels, Jurassic Park III, Minority Report, Big Fish, Charlie and the Chocolate Factory และ Corpse Bride มาแล้ว ว่ากันว่าเขาคือคนจับเอาส่วนเด่นของหนังมาชูเพื่อทำให้หนังโดยรวมดูดีขึ้น ปิดจุดบอดที่บกพร่องน่ะครับ แกจะเก่งยุทธวิธีเขียนบทแบบกึ่งๆ
ผักชีราดหน้ามาก (ยิ่งกว่าโรยเยอะ) ดังนั้นแม้แต่หนังอย่าง Charlie's Angels: Full Throttle ที่ไม่ใคร่จะเข้าแก๊บแกก็ยังพยายามเตะให้พอดูได้ขึ้นมาบ้าง
พอบทได้ที่ Favreau ก็จัดแจงเติมสไตล์ของเขาลงไป เขาเล็งเห็นครับว่าช่องโหว่สำคัญของหนัง Iron Man คือความที่เนื้อเรื่องของมันไม่ใคร่จะลึกซึ้งเท่าเรื่องอื่นๆ แต่อันที่จริงแม้ตัวเอกอย่างโทนี่
สตาร์กจะไม่ได้มีความลึกซึ้ง แต่เขาก็มีแรงดลใจที่ชัดเจนในการช่วยโลก พี่แกเลยเห็นว่าเขาควรสอดแทรกเรื่องราวเพิ่มความแน่น ด้วยเรื่องราวแนวกึ่งๆ สายลับบวกจารชนลงไป (Favreau จำกัดความว่าเขาเอาสไตล์แบบ Ton Clancy แห่งนิยายชุดแจ๊ค ไรอัน, เจมส์ บอนด์ 007 และ Robocop เข้าด้วยกัน)
เมื่อเอาสไตล์สายลับมาบวกกับฮีโร่อย่างพี่มนุษย์เตารีด แบบนี้หนังจะเด่นและน่าสนใจขึ้นมาก... โหย แกทำการบ้านเยอะน่าดูเลยนะครับนั่น
แล้วความตั้งใจเขาก็ได้ผลสำเร็จ บัดนี้ Iron Man เป็นหนังเรียบร้อย
และเป็นหนังที่ผมคาดว่าดังแน่ มีภาคต่อนอนมาแต่ไกลเลยทีเดียว
สำหรับ Iron Man นั้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1963 โดย Stan Lee ตาลุงแห่ง Marvel เกิดอยากสร้างสรรค์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีภูมิหลังเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมารับมือกับเหล่าร้าย โดยอิงเอาลักษณะคาแร็คเตอร์มาจาก Howard Hughes
แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงครับ พี่แกดังฮิตติดลมบนมาจนถึงปัจจุบัน
CREDIT:คุณหมื่นทิพย์
http://www.popcornmag.com/bbs/index.php?showtopic=4539http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&group=1*********************************************************************** *********
เท่าที่อ่านดูจะเห็นว่า JOHN Favreau เขาใส่ใจกับบทมากๆรวมทั้งรายละเอียดด้วยครับ หนังเลยประสปความสำเร็จ