หน้า: 1 [2] 3 4 5
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ละครไทยให้อะไรกับเยาวชน  (อ่าน 15687 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ผมเล่นให้กับวิกช่องเจ็ดครับ เป็นพระเอก
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว

คิดว่าส่วนไหนมันมากกว่าครับ ระหว่าง
ประโยชน์   และ  โทษ

อันนี้ถามนะครับ   ยิ้มน่ารัก

(อยากรู้)

สมัยนี้ละครมันก็มีตบๆด่าๆเยอะนะคะ
เดี๋ยวฆ่ากัน เดี๋ยวก็แย่งผู้ชายกัน
แต่ว่าในพวกนี้มันมีข้อคิดแฝงอยู่เหมือนกัน(น่าจะใช่ งงความคิดตัวเอง)

ก็ประโยชน์และโทษมันก็รวมอยู่ด้วยกัน แล้วแต่ว่าเราจะเห็นแบบไหนมากกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า

ยิ่งเรียน ยิ่งเครียด ยิ่งกิน ยิ่งอ้วน -*-
เด็กสมัยนี้เจ๋งจริงๆ

นึกถึงเราสมัย 14 ยังดู คาเมนไรเดอร์อยุ่เลย   ง่ะ
บันทึกการเข้า

Let  it  be !!!
จำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ต่อไปสังคมจะรุ่นแรงมากขึ้น เพราะสื่อจะคอยทำลายไปที่ละนิด  ฮี่...
บันทึกการเข้า

ละครไทยไม่ดูมานานแล้ว เบื่อ เซ็ง
ชอบดูชีรี่ย์ญี่ปุ่นค่ะ มันให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
บันทึกการเข้า

แป้นแล้นน้อย!~






ละครไทยบันเทิงดีครับ


บันทึกการเข้า

งบน้อย
ดูละครมาตั้งแต่เด็ก
สนุกดี  แต่ดูบ่อยๆละเบื่อ

นางร้ายกรี๊ดเก่ง  หมีโหด~
บันทึกการเข้า

ยิ้มน่ารัก น้องดำ
ละครก็เหมือนคนมีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง คนดูเลือกเอา คนเอาเลือกดู
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
เคยเห็นหลานอายุสี่ห้าขวบ
ทำตาเล็กๆเม้มปากพูดจาแบบนางร้ายในละครด้วยนะครับ  ง่ะ


แบบว่าเหมือนมาก เห็นปุ๊บรู้เลยว่าเอามาจากละครทีวี
 กร๊าก
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ดังนั้นเรามาเลิกแสดงละครให้เด็กดูกันเถอะครับ

นี่หลานผม ก็เดินบิดก้นไปมา หน้าตาฮึดฮัด เพราะดูสวรรค์เบี่ยง
อีกคนก็ ตื่นมาก็เอาแต่ถูพื้นล้างจานเพราะดูนางทาส
ป้าข้างบ้านเห็นชื่นชมใหญ่คิดว่าดูละครแล้วจะทำให้ลูกขยัน
ก็เลยเปิด นางทาสให้ลูกตัวเองดูบ้าง ตื่นเช้ามาลูกบ้านป้าออกมา
ยืนตากแดดทั้งวันไม่ยอมไปไหน เพราะคิดว่าตัวเองเป็นอีเย็น  หมีโหด~

ที่สำคัญสามคนนั้นมันเป็นเด็กผู้ชาย   หมีโหด~
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ดังนั้นเรามาเลิกแสดงละครให้เด็กดูกันเถอะครับ

นี่หลานผม ก็เดินบิดก้นไปมา หน้าตาฮึดฮัด เพราะดูสวรรค์เบี่ยง
อีกคนก็ ตื่นมาก็เอาแต่ถูพื้นล้างจานเพราะดูนางทาส
ป้าข้างบ้านเห็นชื่นชมใหญ่คิดว่าดูละครแล้วจะทำให้ลูกขยัน
ก็เลยเปิด นางทาสให้ลูกตัวเองดูบ้าง ตื่นเช้ามาลูกบ้านป้าออกมา
ยืนตากแดดทั้งวันไม่ยอมไปไหน เพราะคิดว่าตัวเองเป็นอีเย็น  หมีโหด~

ที่สำคัญสามคนนั้นมันเป็นเด็กผู้ชาย    หมีโหด~

 โห โห โห โห
บันทึกการเข้า

แป้นแล้นน้อย!~
กร๊าก
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
ผมว่าด้านดีด้านร้ายมันอยู่ที่มุมมองของเด็กครับ ถ้าให้เด็กดู พ่อแม่ต้องคอยสอนด้วย
แต่ของพี่จักรีนี่ ฮา กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า

ผมเล่นให้กับวิกช่องเจ็ดครับ เป็นพระเอก

พี่เวียร์
บันทึกการเข้า

★ .・。゜ïzY ™ ﺕ ❤ Loveable ☂
 ` Mode : รักเธอ *
T&I
เคยพูดถึงการ์ตูนในแง่คล้าย ๆ กันนี้ ขอย้อนรำลึกกลับมาตอบใหม่นะคะ....

ละคร หนัง ภาพยนตร์ ทุกอย่างต่างก็เป็นเหตุการณ์สมมติ ที่แตกต่างกันไปตามระดับความ "ใกล้เคียง" ชีวิตจริง บางเรื่องอาจจะใส่จินตนาการมาก เป็นแฟนตาซี ย้อนยุค มีพ่อมด มีมังกร ฯลฯ บางเรื่องแม้จะสมมติให้ใกล้ตัว แต่ก็อิงนิยายบ้าง อาจจะไฮเทคกว่าโลกจริงในปัจจุบัน ขนาดย้อนเวลา ทะลุมิติได้ บางเรืองอาจสะท้อนสังคมใกล้ตัวมาก ๆ เป็นเรื่องในสมัยปัจจุบันไปเลย

ข้อดีของมันก็คือ ในเหตุการณ์สมมติเหล่านั้น สามารถบันดาลให้ผู้ดูหรือผู้ชม สามารถสัมผัสกับประสบการณ์ แนวคิด อารมณ์ ของตัวละคร ได้รับรู้เหตุและผลของสถานการณ์ ได้เห็นตัวอย่างเหตุการณ์ และผลพวงที่จะตามมาจากการกระทำใด ๆ ทำให้สามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้นโดยตรง ไม่ต้องเสี่ยงบาดเจ็บหรือเสี่ยงชีวิต

ดังนั้น ถ้าสามารถกลั่นกรองเอาสิ่งที่เห็นหรือดู มาเรียบเรียง ก็จะทำให้ได้ข้อคิด ได้ทัศนคติ ได้เปิดมุมมองต่าง ๆ มากขึ้น

แต่

ถ้าผู้ชม ไม่สามารถแยกแยะ จำแนก หรือวิเคราะห์สิ่งที่เห็นได้ ข้อดีข้อนี้อาจจะไร้ประโยชน์ไปเลยค่ะ

นี่คือเหตุผลที่ทำให้มีการกำชับผู้ปกครอง ว่าให้คอยให้คำแนะนำ ชี้แจงแก่บุตรหลานในยามดูหนังหรือละคร เพราะถ้ามีอะไรที่เด็กไม่เข้าใจ หรือกำลังจะเข้าใจผิด จะได้สอนกันได้ในบัดนั้น


ส่วนเรื่องปลูกฝัง สอนเด็กเนี่ย.... ถ้าถามว่า สอนแค่ไหน สอนแบบไหนเขาถึงจะรู้จักแยกแยะละครได้ ว่าที่เห็นนี่ดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร ก็จะเป็นคำตอบที่ยาวมาก ๆ ๆ ๆ อีกค่ะ ขอไม่พิมพ์นะคะ ก๊อปตัวเองจากกระทู้สวรรค์เบี่ยงเลยแล้วกัน8jt

เป็นข้อความที่โพสต์โดยก๊อปปี้ตัวเองมาโพสต์ เพราะมีคนพูดขึ้นมาทำนองว่า "ทำไมต้องดูถูกเด็กด้วย เด็กไม่ได้ไร้สมองนะจะได้เลียนแบบทีวีกันหมด" แล้วเขาก็บอกประมาณว่า "มันอยู่ที่วิจารณญาณมากกว่า ถ้าเห็นว่าละครเป็นตัวอย่างไม่ดี ก็ให้ที่บ้านสร้างภูมิคุ้มกันสิ สร้างวิจารณญาณให้เด็ก แล้วก็ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเจอเชื้อโรคอะไรในสังคม"

แอบอ้าง
ความคิดเห็นที่ 244

ขออนุญาตก๊อปปี้ตัวเองจากอีกกระทู้มาให้อ่านค่ะ

เห็นด้วยกับการสร้างภูมิคุ้มกันค่ะ แต่ว่า....

----------------------
ความคิดเห็นที่ 379

ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชมและเห็นด้วยนะคะ
แต่อย่าให้ถึงกับไหว้เลย แหะ ๆ ยังไม่สามสิบค่ะ แอบเขิน...

ขอเพิ่มเติมค่ะ
เพิ่งได้ทราบว่าละครเรื่องนี้จัดเรทไว้ที่ 18+
คิดว่าก็เป็นการ"พยายาม"ป้องกันปัญหาได้ในระดับหนึ่งแล้วค่ะ
แต่ก็ต้องใช้ความร่วมมือจากผู้ปกครองทางบ้านด้วย
เพราะถ้าทางสถานีหรือผู้จัดทำละครจัดเรทไว้ แต่ผู้ชมไม่ได้มีการนำมาปฏิบัติ มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์นะคะ
และในทางกลับกัน...
ต่อให้ผู้ปกครองพยายามสอนลูกจนปากเปียกปากแฉะแค่ไหน
ถ้าทางสถานีหรือผู้จัดทำละคร ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระทางนี้
มันก็ยากที่จะสำเร็จค่ะ

คือเรื่องแบบนี้มันคือความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อเยาวชนของชาติ
ต้องใช้ความร่วมมือจากทุก ๆ ฝ่าย
ไม่ใช่มาเกี่ยงกันว่า
"พ่อแม่ก็สอนลูกไปสิ ละครก็คือละคร เราจะทำละครแบบไหนก็เรื่องของเรา"
หรือ
"ผู้กำกับก็อย่าทำเรื่องที่มันน่าเกลียดออกมาสิ เราไม่มีเวลาดูแลลูกหรอก"
เพราะถ้าพยายามอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ช่วยเลย
มันจะสำเร็จขึ้นมาได้เหรอคะ?
สามัคคีกันหน่อยนะคะ เพื่อสังคม เพื่อเยาวชน เพื่อประเทศชาติ

ที่บอกว่าต้องช่วยกันนั้น เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มันก็ต้องมีช่องโหว่ มีเผลอบ้าง
การที่ร่วมมือกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือนี่แหละค่ะ
ที่จะช่วยอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้

เราไม่ได้บอกว่าคนเราเลี้ยงลูกหลาน ต้องปิดหูปิดตา ให้เห็นแต่สิ่งดี ๆ
มันไม่ใช่ค่ะ
เราให้พวกเค้าเห็นสิ่งไม่ดีได้ แต่ต้องสอนให้เค้าคิดเองด้วย
ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรดีไม่ดี
สอนให้ค้ามีวิจารณญาณ แยกแยะดีชั่วได้ด้วยตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้มันต้องการเวลาปลูกฝังกันนาน
และมันก็ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะสามารถเข้าใจได้

เด็ก ๆ นะคะ เค้าเข้าใจแต่เรื่องง่าย ๆ ที่มันตรง ๆ
เด็กที่ยังเล็กเกินไปนั้น อะไรที่มันยอกย้อน หรือมีเหตุผลซับซ้อนเกินไป
มันนอกเหนือความเข้าใจของเค้าค่ะ

จะคิดแค่ว่า "ก็สอนเค้าสิว่าที่เห็นน่ะมันไม่ดี อย่าทำ"
มันถูกในเชิงทฤษฎีค่ะ แต่ไม่ใช่ในทางปฏิบัติ
เพราะมันไม่ได้ใช้ได้กับเด็กทุกวัย

โอเค สำหรับคนอายุ 18 ขึ้นไป เค้าต้องเข้าใจได้แน่ค่ะ
หรือต่อให้ถ้าไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่าเยี่ยงนี้ไม่ดี ไม่ควร
พ่อแม่หรือคนในบ้านก็สามารถช่วยสอน ช่วยอธิบายได้

แต่กับเด็กที่เล็กกว่านั้นล่ะคะ?

เลี้ยงลูกหลาน แน่นอนค่ะว่าต้องให้เค้าได้สัมผัสกับโลกภายนอก
ให้สัมผัสกับหลาย ๆ อย่างจะได้มีภูมิคุ้มกัน
แต่การที่นำเด็กไปสัมผัสกับสิ่งที่เหนือบ่ากว่าแรงของภูมิคุ้มัน
มันก็ไม่ผิดไปกับการแพร่เชื้อโรคใส่เด็กก่อนที่จะฉีดวัคซีนนั่นแหละค่ะ

เด็กน่ะต้องสอนกันไปทีละขั้นตอน
ของข้ามขั้นแบบฉากไม่เหมาะสมในละครเนี่ย จะมาพูดง่าย ๆว่า "ก็สอนเค้าสิ"
มันเป็นไปไม่ได้ค่ะสำหรับเด็กบางวัย หรืออาจจะบางคนที่คิดเรื่องซับซ้อนมากไม่ได้

เคยมั้ยคะที่ลูกหลานถามว่า
"นั่นอะไร"
"บุหรี่ไงคะ"
"แล้วคนนั้นเค้าทำอะไร ทำไมอมบุหรี่"
"เค้าเรียกว่าสูบบุหรี่จ้ะ"
"บุหรี่ดีเหรอคะ ทำไมมีคนสูบเยอะ"
"ไม่ดีจ้ะ"
"ไม่ดีแล้วทำไมเค้าสูบกันล่ะคะ"
"เอ่อ...."
"ทำไมคุณน้าว่าบุหรี่ไม่ดีล่ะคะ"
"มันทำให้เป็นมะเร็งไงจ๊ะ"
"มะเร็งคืออะไรเหรอคะ"
"คือโรคร้ายที่เป็นแล้วทำให้ตายไงจ๊ะ"
"สูบแล้วเป็นโรคทำไมเค้ายังสูบอีกล่ะคะ"
"เอ่อ...."
...
..

เรื่องบางเรื่องก็ยากเกินกว่าจะสอนเด็กได้ ถ้ามีตัวอย่างไม่ดีให้เห็น
เพราะเด็กเล็ก ๆ ก็คิดได้แค่ว่า ถ้าไม่ดี คนอื่นก็ไม่น่าทำ
ถ้าคนอื่นทำ มันต้องมีอะไรดีสักอย่างแน่ ๆ
ซึ่งกว่าเด็กจะเรียนรู้จนถึงระดับแยกแยะได้
ว่า "สิ่งไม่ดี ก็มีคนทำ แต่เราต้องไม่ทำ"
มันไม่ได้ใช้เวลาแค่ 5-6 ปีนะคะ

คนเราอยู่ร่วมสังคมเดียวกันก็ควรจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ไม่ใช่ว่าให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง คนในบ้านพยายามสร้างภูมิคุ้มกันกันอยู่ฝ่ายเดียว
โดยที่ฝ่ายอื่น ๆ ช่วยกันพ่นเชื้อโรค...
แล้วเราจะเอาที่ไหนไปต้านได้คะ?

จากคุณ : Moonlight & Valentino - [ วันเถลิงศก (15) 16:45:31 ]

------------------------------

ใช่ว่าเด็กทุกคนจะเลียนแบบละคร ใช่ว่าเด็กทุกคนจะภูมิคุ้มกันต่ำค่ะ
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงต้องบอกว่า "มันก็มี" จริง ๆ นะคะ
จะเรียกว่าคนอื่นดูถูกเด็กก็คงไมยุติธรรมนัก กันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ใช่เหรอคะ?

อีกอย่าง... คิดเล่น ๆ นะคะ
เด็กส่วนมาก ไม่ใช่ว่าจะติดตามดูละครเรื่องหนึ่งทุกวันจนมันจบ
(แฟนผลงานที่ติดตามเป็นประจำ มักเป็นผู้ใหญ่ ที่เลือกดูละครที่ตัวเองชอบ
ส่วนเด็กอาจจะบังเอิญอยู่แถวหน้าทีวี เลยพลอยได้ดูด้วย หรืออาจร่วมนั่งดูกับผู้ใหญ่โดยไม่ได้เลือกเอง
หรืออาจจะเปิดทีวีขึ้นมาดูเองโดยไม่ได้เลือกช่อง - อันนี้พูดจากประสบการณ์ตัวเงอในวัยเด็กนะคะ)
บางคนคงแยกแยะแบบคาดการณ์ในอนาคตไม่ได้หรอกค่ะว่า "อีกหน่อยกรรมจะสนอง"ตัวละครตัวโน้นตัวนี้
การที่มีตัวละครตัวหนึ่งทำไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ยังไม่ได้รับผลแห่งการกระทำเลย...
ติดต่อกันนานเกิน 1 สัปดาห์
ถ้าเด็กไม่ได้ดูตอนจบ (ถ้าตัวละครตัวนั้นถูกลงโทษจริง) ก็คงไม่ได้ทราบเนื้อเรื่องหรอกค่ะว่าทำชั่วได้ชั่ว

การปล่อยให้เด็กดูทีวีเองโดยไม่มีใครให้คำแนะนำนี่มันน่ากลัวจริง ๆ

จากคุณ : Moonlight & Valentino - [ 23 เม.ย. 51 11:03:23 ]



สรุปว่า โมจิเห็นว่า วิจารณญาณที่ดี ทัศนคติที่ดี ค่านิยมที่ดี สำนึกที่ดี นโมธรรม และจริยธรรม เป้นสิ่งที่สอนกันได้ แต่ไม่ได้สอนได้ใน 3 นาทีแบบมาม่า.... มันต้องค่อย ๆ ปลูกฝัง ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ ชี้แนะ ช่วงแรก ๆ ต้องประคับประคองมากหน่อย เพราะเขายังไม่รู้อะไรเลย ก็เหมือนสอนเด็กให้เขียน ก.ไก่ ข.ไข่ แรก ๆ ก็ต้องจับมือเขียน เพื่อให้เขาเห็นแนวทาง เห็นวิธีเขียนก่อน ว่าต้องเขียนอย่างไร พอเขาเขียนเองได้แล้วค่อยปล่อยให้เขียนเอง ฝึกฝนเอง และเพิ่มความชำนาญเอง

ส่วนการสอนด้วยการใช้ตัวอย่าง หรือสอนให้เด็กคิดพิจารณาเอง แล้วนำไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์เฉพาะหน้าเนี่ย ก็เหมือนสอนเค้าให้สะกด ก. อะ กะ ก. อา กา  พอสอน ๆ ไปจนเขาชิน รู้หลักการทั่ว ๆ ไปแล้ว อีกหน่อยเขาก็ประสมสระเองได้โดยใช้ตัวอักษรอื่นหรือตัวสะกดอื่น โดยที่เราไม่ต้องมานั่งบอกทุก ๆ คำเป็นรายคำไปทั้งร้อย พัน หมื่น แสนคำว่า เสียงแบบนี้ต้องสะกดแบบนี้ หรือ คำที่เขียนแบบนี้จะอ่านออกเสียงแบบนี้ ๆ ๆ

และเด็กแต่ละคนก็พื้นฐานความเข้าใจไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องสอนมาก สอนนานหน่อย บางคนเรียนรู้เร็ว....

อย่างที่บ้านโมจิ อย่าว่าแต่หนังหรือละครเลยค่ะ ขนาดเล่นเกม คุณพ่อคุณแม่ยังสรรหาสิ่งที่จะสอนได้ อบรมบ่มนิสัยได้ทุกสถานการณ์ก็ว่าได้


อีทีนี้มาย้อนดูเรื่องละคร.... ที่ว่าละครเรท 18+ เจือกมาฉายตอน 2 ทุ่มนี่ ก็น่าเคืองใจจริง ๆ จัดเรทภาษาอะไรก็ไม่รู้  หมีโหด~

ถ้าละครมันดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เห็นผลการกระทำชัดเจนอย่างนิทานอิสป ดูปุ๊บรู้ปั๊บ ว่ามันมีคติสอนใจอะไร อะฮั้นคงไม่ว่าอะไรหรอก.... แต่มันไม่ใช่แบบนั้น.... ละครทีวีปัจจุบันส่วนมากไม่ใช่ของที่เด็กจะสามารถดูเองคนเดียวแล้วสรุปในใจได้เลยว่าอะไรดีอะไรชั่ว เพราะเนื้อเรื่องมันยาวและซับซ้อน มีเหตุผลของการกระทำ หรือมีแรงบันดาลใจอะไรอยู่ลึก ๆ ในใจตัวละครบ้างก็ไม่รู้ เด็กดูแล้วไม่เข้าใจแน่ ๆ ถ้าไม่ได้รับการสอนให้พิจารณาขนาดนั้นมาก่อน

โอย ย้อนขึ้นไปมองข้างบนแล้วเหนื่อย เมหือนเครื่องบินร่อนขึ้นแล้วหาลานลงไม่เจอ

เอาเป็นว่า ละครให้อะไรได้มาก แต่ต้องเลือกเฟ้นเรื่องดี ๆ หรือถ้าเลือกเฟ้นเรื่องไม่ได้ ก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดจริง ๆ ค่ะ

นี่มีลูกพี่ลูกน้องเป็นเด็กชายอายุ 8 ขวบอยู่คน  หลานสาว(ลูกของพี่สาว)อีก 2 คน 5 ขวบกับ 6 ขวบ ยังแอบกลุ้มเลยนะคะเนี่ย กลัวเด็ก ๆ โตมาก่อความเดือดร้อนให้สังคม หรือพกพร่องทางวิจารณญาณ เพราะสมัยนี้ปัจจัยพาเสียมันมีเยอะจริง ๆ ปวดกะโหลก  ง่ะ




แต่ถ้าไม่เอาแง่คติสอนใจ.... ละคร ให้ความสะใจค่ะ
สังเกตว่าคนดูหนังหรือละคร ส่วนมากดูเพราะมันเป็นอะไรที่หาในชีวิตจริงไม่ได้ คือทฤษฎีฝรั่งบอกว่า มนุษย์ดูหนังเพื่อ Escape from reality  คือเขาต้องการเสพอะไรที่เป็นจินตนาการ ไม่ซ้ำซากจำเจ ไม่ใช่ชีวิตประจำวันแบบที่ตัวเองประสบ

ดังนั้นละครที่รุนแรง มีการใช้ความรุนแรง ลึก ๆ แล้วเป็นกลไกทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่สนองความซาดิสต์ ความก้าวร้าว ความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ในใจคน อย่างเช่น คนดูที่สะใจเมื่อผู้ร้ายได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม ถูกกรรมตามทัน ถูกจับ หรือตายอย่างอนาถ แสดงว่าลึก ๆ แล้วมีความไม่พอใจในโลกจริง ตรงที่เห็นว่าคนทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีมีมาก และความยุติธรรมไม่มีในโลก คนเลวทำชั่วแล้วลอยนวล ฯลฯ เขาจึงแสดงหาความยุติธรรมในจอทีวีหรือจอหนัง และรู้สึกสะใจ มีอารมณ์ร่วมไปกับมัน

สรุปคือ ละครที่ตบ ๆ ตี ๆ ด่า ๆ เนี่ย อาจจะทำมาเพื่อสนองกลุ่มบุคคลที่อัดอั้น ในชีวิตจริงต้องสงบปากสงบคำ ไม่สามารถด่าสวน หรือขึ้นเสียงกับใครได้.... คือทำมาให้ดูเอาความสะใจนั่นแหละ ซึ่งนี่ไม่ใช่ของที่ควรให้เด็กดูเลยค่ะ สาบานได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 พ.ค. 2008, 04:33 น. โดย Moji » บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!