ธรรมชาติคือเม็ดเลือดขาว มนุษย์คือเชื้อโรค ครับ
“ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์สูญพันธุ์ขึ้นมากะทันหัน สิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกนี้จะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ จะไม่มีอะไรที่ “คิดถึงเรา”
ยกเว้นแต่สัตว์เลี้ยงบางชนิดที่ไม่เคยต้องอยู่ในธรรมชาติด้วยตัวมันเอง
นอกนั้นแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามนุษย์ได้สูญหายไปจนหมดเกลี้ยง
ธรรมชาติจะปกคลุมอารยธรรมของเราอย่างรวดเร็วและกลบกลืนสิ่งที่เราทิ้งไว้ในที่สุด
นั่นหมายความว่า การมีตัวตนของมนุษย์ไม่ได้มีผลดีต่อโลกแม้แต่น้อย มีแต่ผลเสียล้วนๆ”
(อ้างอิงจาก ปราบดา หยุ่น. “คนโรแมนติกไม่ดีต่อโลก”. Typhoon days :
http://typhoonkoon.wordpress.com/ : 2550)
( ต้นฉบับจากหนังสือเรื่อง The World Without Us ของ Alan Weisman )
***********************************************
เข้าเรื่องนาร์กีส ดีกว่า
ผมติดตามอ่านข่าวหลังจากพายุสงบแล้ว ประมาณ 2-3 วัน
เห็นภาพที่ทยอยส่งออกมาจากที่เกิดเหตุแล้ว แรกๆ สลดใจมาก
ภาพคนนอนขึ้นอืดกองกันในทุ่งนา พร้อมทั้งวัวควายต่าง ๆ
ภาพแบบนี้สลดใจกว่าภาพตึกรางบ้านช่องเสียหายซะอีก
ยิ่งได้อ่านข่าวการงัดข้อกันระหว่างรัฐบาลพม่า กับหน่วยงานบรรเทาทุกข์ และประเทศตะวันตกแล้วยิ่งสมเพสหนัก
ช่วงนี้ประเทศจีนพันธมิตรหลักของพม่า ก็มัวแต่แก้ปัญหาของตัวเองภายใน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬาโอลิมปิค หรือเรื่องธิเบต
การที่จะเข้ามาช่วยพม่าอย่างเต็มแรงคงเห็นทีจะยากหน่อย ก็เห็นทีจะเป็นภาระของเรานี่แหละครับเพื่อนบ้านไกล้เคียง ที่ต้องช่วยเหลือกันก่อน
เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เอาเรื่องมนุษยธรรมก่อน เห็นข่าวที่บอกว่าพม่าขอบคุณไทยที่ช่วยเหลือพม่าเป็นชาติแรก ๆ แล้ว ก็ปลื้มใจครับ
แต่กลัวอย่างเดียวตอนนี้ คือ กลัวจะโดนชาวตะวันตกฉวยโอกาสนี้ทำเรื่องที่ไม่น่าทำ หรืออาจจะหาเหตุผลต่าง ๆ มากล่าวอ้าง เพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อสั่นคลอนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทหารพม่า แล้วประชาชนจะโดนหนักเข้าไปอีก
เรื่องนี้ ยิ่งคิดยิ่งสนุกครับ เหมือนในหนังเลย