ดูแล้วมีความตั้งใจเริ่มต้นที่ดีครับ แต่อ่านบรรทัดข้างล่างแล้วก็อย่าพึ่งหมดไฟก็แล้วกัน
ก่อนอื่นเลยอย่าพึ่งไปคาดหวังขนาดว่าโปรเจคที่กำลังจะทำต้องมีชาวโลกมาเหลียวมอง ทำให้ฝรั่งต่างชาติมันอึ้งกับงานในโปรเจคนี้ .....การที่จะทำอะไรขนาดนั้นอย่างน้อยๆไม่ควรจะไปหลบมุมเขียนอยู่แต่ใน Blog ของตัวเอง น่าจะมีเว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่มีเลยมันขาดความน่าเชื่อถือและความอยากมีส่วนร่วม ....ซึ่งไปๆมาๆมันจะกลายเป็นการทำกันเอง ดูกันเอง อวยกันเอง ฮากันเอง ....ซึ่งอย่าว่าแต่ชาวต่างชาติเลย แม้แต่คนไทยในวงการนี้จะมีคนรู้จักหรือสนใจโปรเจคนี้สักกี่คน
มีคนที่รู้จักอยู่หลายคนที่พยายามจะทำสิ่งที่เจ้าของกระจู๋ทำอยู่ บางคนก็แค่วาดฝันกลางอากาศ บางคนก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ บางคนทำแบบไม่ดูตัวเอง แต่กลับวาดฝันสูง อยากเป็นที่รู้จักในวงการบ้าง อยากให้คนอื่นๆยอมรับบ้าง (ความคิดเหล่านี้ไม่ผิด แต่ถ้ามีมันมากเกินกว่าพลังและฝีมือของเรา มันจะกลายเป็นสิ่งที่กลับมาคุกคามเรา คุกคามแบบแรงบ้าง หรือค่อยๆกัดกินก็มี) ...แน่นอนว่างานทำนองที่ว่ามันวืดเป้าหมายกลายเป็นโปรเจคที่เงียบหายไป เพราะทำไปโดยกำลังที่มีอยู่น้อยเกินไป ...เพราะความตั้งใจมันน้อยกว่าสิ่งที่เราคาดหวัง
มีโปรเจคหรือนิทรรศการอยู่หลายๆงานที่วูบดับชนิดไร้ความหมาย หวังว่าจะเป็นงานแจ้งเกิด แต่กลับเป็นสิ่งที่ละลายเงินทองและเวลาไปเพื่อสร้างความฝันที่ไม่มีพลัง มีอยู่เยอะทีเดียว
ส่วนบางคนก็ทุ่มสุดตัวแบบบ้าพลัง ลงทุน ลงแรง หาสปอนเซอร์ ทำโน่นทำนี่ หาสถานที่ ติดต่อหาพาร์ตเนอร์ จัดออกมาได้แบบน่าชมเชย ประมาณว่ากูอยากทำให้มันเกิด มากกว่าทำเพราะอยากเป็นที่รู้จัก (อยากดังนั่นแหล่ะ) แต่ตัวโปรเจคมันก็ออกมาได้ในระดับนึงซึ่งก็น่าชมเชยแล้ว (เอาแค่นี้ก็พอ ถ้าเป็นครั้งแรกๆ) ......ส่วนใหญ่แล้วคนประเภทนี้ในบ้านเรามีน้อยมาก ทำให้เป็นจุดบอด วงการมันไม่เจริญสักที พูดง่ายๆคือโดยมากแล้วเหมือนจะทำอะไรเพื่อส่วนรวม เพื่อกระตุ้นวงการ แต่ลึกๆแล้วมันเหมือนไม่จริงใจ หวังผลทางอ้อมแบบบอกไม่ถูก .....พูดสั้นๆง่ายๆก็คือ ถ้าจะทำอะไรเพื่อส่วนรวมสักอย่างมันต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่เสียสละ ต้องใจกว้าง คิดถึงเพื่อนร่วมวงการพอๆกับคิดถึงตัวเองหรือกลุ่มตัวเอง มุมมองก็ต้องกว้างกว่าสิ่งที่กำลังจะทำ ...อย่างถ้าจะทำอะไรในระดับประเทศก็ต้องรู้ว่าต่างประเทศระดับเอเเชีย ระดับอินเตอร์ มันไปกันถึงไหนแล้ว .....ยิ่งถ้าคิดจะทำอะไรให้ระดับโลกมันมอง ก็ต้องรู้เดาทะลุไปถึงว่าอนาคตมันจะมีทิศทางแบบไหน อะไรคือสิ่งที่คนอื่นทำไปแล้วต้องหนีที่จะไม่ทำซ้ำกับเขา
คนในวงการบ้านเราโดยมาก เมื่อประสบความสำเร็จในระดับนึงมักอยากจะได้มันเพิ่มขึ้นอีก ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักถอยมาดูงานของตัวเองแบบชัดๆ เพราะขีดจำกัดของตัวเองที่ภูมิใจนักหนาไปได้ไม่พ้นขอบเขตของชายเดนประเทศไทย ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน พยายาม แลัวก็พยายาม .....ไม่ใช่พยายามฝึกตัวเอง หรือค้นหาสิ่งใหม่ๆ แต่พยายามที่จะนำเสนองานตัวเองเกินไป เช่นส่งงานไปให้พวกสื่อทางด้านออกแบบทั้งในและนอกประเทศดู หวังว่างานตัวเองมีดีพอที่จะโดนเบ้าตาเขา และเอาไปลงให้ แต่เขาก็เงียบ ..... บ้างก็ไปโพสงานโชว์ในพื้นที่เปิดที่มีคนที่เรียกว่าเหล่าเทพสิงสถิตอยู่ แล้วก็ถามชาวบ้านประมาณ cool มั๊ยครับพี่น้อง, งานนี้พึ่งทำเสร็จ แนวความคิดมาจาก บลาๆๆๆ หรือที่แอ๊บแบ้วสุดก็คงเป็น เม้นหน่อยนะ
เทือกๆนั้น สิ่งพวกนี้มันมีทั้งแบบที่ฆ่าตัวตายกับแจ้งเกิด ...... แต่คนที่มั่นใจผลงานของตัวเองมากๆ แต่ผลงานมันตรงกันข้าม มักจะโดนถล่มเละ .....แต่ถ้ามันแย่มากๆ ชาวบ้านอาจจะไม่สนใจเลย
ไอ้ที่สำคัญสุดคือควรเริ่มจากจุดเล็กๆ เป้าหมายเล็กๆ รู้จักรอเวลาและจังหวะที่จะเติบโต ไม่ได้คิดและคาดหวังแต่แรกว่าจะต้องสร้างชื่อจากสิ่งที่ทำขึ้นมา ทำแบบเงียบๆ แต่ตั้งใจ ใส่พลังลงไปในสิ่งที่ทำ .....สิ่งที่มันออกมามันจะบอกกับผู้คนรอบข้างได้เองว่ามันดีหรือไม่ดี ประสบความสำเร็จหรือวืดเป้า พูดง่ายๆคือทำอะไรแบบ Low profile แต่ผลงานคุณภาพสูง จะเหมาะกว่า ....หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เป็นที่ยอมรับมักจะเดินด้วยวิธีแบบนี้ เนื่องจากค่อยๆก้าวแบบช้าๆ มั่นคง พอคนอื่นยอมรับแล้วก็จะไม่เหลิงและมองตัวเองออก (ส่วนคนอื่นจะมองยังไง ก็ช่างเขา สนใจมากประสาทกินตาย)
......ยกตัวอย่างก็คงเอาเว็บ f0nt ที่ไอ้แอนทำมานี่แหล่ะ แรกๆรู้สึกว่าจะมีคนด่าด้วยว่าไอ้แอนเป็นเด็กเห่อ ฮะมอย อะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้สิผมว่ามันช่วยให้คนออกแบบ font ไทยมากขึ้น มี font เจ๋งๆออกมาให้ใช้ก็แจ่มแล้ว
อีกตัวอย่างก็คงเป็นกราฟิกกลุ่มเชียงใหม่ ที่ทำ E-mag โฮ๊ะ ขึ้นมา ....แรกๆผมเองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์จากคนทำงานกราฟิกบางกลุ่มเหมือนกันว่า มันจะแยกเป็นประเทศเชียงใหม่รึไง หรือไม่ก็บอกว่างานแต่ละงานก๊อปคนโน้นคนนี้มา (ซึ่งบางส่วนก็คล้ายจริงๆ) แต่อย่างน้อยโปรเจคนี้ก็ทำให้คนเชียงใหม่ที่ทำงานด้านนี้มารวมตัวกันได้ เหมือนกับกลุ่มคนทำงานด้านนี้ในเมืองกรุงสักที จากแต่ก่อนแต่ละคนทำงานกันแบบอยู่ในมุมมืด เมื่อออกมาสู่ที่สว่างมันก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง จากบางคนที่เคยเอาความประทับใจในผลงานคนงานคนนั้นคนนี้มาอยู่ในตัวงาน ก็เริ่มค้นหาตัวเองได้มากขึ้น ไม่งั้นก็ตกเป็นเป้าขี้ปากของคนที่แอบมองอยู่
มันก็เป็นความตั้งใจที่ดีในการทำงานทดลองหรือโปรเจคส่วนตัวที่อยากให้คนมาร่วม
ซึ่งปัจจุบันไอ้กระแสงานกราฟิกในบ้านเรากำลังบูมบนพื้นฐานความเข้าใจที่ผิดเพี้ยน สาเหตุที่ผมทึกทักเอาเองก็คงเป็นเพราะ
ระบบพื้นฐานความเข้าใจศิลปะของบ้านเรามันยังน้อย เติบโตมากันในแบบรากไม่แข็งแรง แต่อยากจะให้ลำต้นของตัวเองใหญ่ชูก้านใบออกดอกออกผลกันมาเร็วๆ อ่านแล้วอาจจะงงๆในสิ่งที่ผมพยายามจะบอก ขอเปรียบเทียบง่ายๆโดยยกตัวอย่างก็แล้วกัน
งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศญี่ปุ่น- มีดินดีอุดมสมบูรณ์
(รากเหง้าทางศิลปะวัฒนธรรมแข็งแรงและเป็นตัวของตัวเองสูง)- ปลูกพืชหว่านเมล็ดได้ถูกชนิด
(สร้างบุคลากรมาได้แบบถูกต้อง และรู้จักใช้สิ่งที่ตัวเองมี มาทำให้เกิดประโยชน์)- การเลี้ยงให้เจริญเติบโต ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ทำกันแบบค่อยเป็นค่อยไป รากจึงฝังลึกแข็งแรง
(ญึ่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่ถ่อมตัว ขยัน เลยเติบโตได้แบบแข็งแรง รัฐบาลให้การสนับสนุน บุคลากรของเขาแต่ละคนในสายงานนี้ติดอยู่ในระดับอินเตอร์หลายคนมาก)===================================================
งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศสิงคโปร์- ดินไม่ดี ปลูกอะไรก็ขึ้นยาก
(รากเหง้าทางวัฒนธรรมไม่มี ส่วนมากประชากรจะเป็นชาวจีนอพยพ งานด้านนี้เลยติดวัฒนธรรมเป็นแบบจีนที่ fake-fake พยายามให้เป็นแนวสิงคโปร์ แต่มันก็ยังไม่ชัดเจน)- แต่เขาเลือกปลูกพืช หว่านเมล็ด ที่สามารถจะเติบโตในในข้อจำกัด
(บุคลากรของเขาเติบโตและเรียนรู้ในแบบที่ใช้สิ่งที่ตัวเองมีให้ก่อเกิดประโยชน์ที่สุด)- การเลี้ยงให้เจริญเติบโต ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ให้ยา ทำกันแบบเร่งสีเร่งโต รากไม่แข็งแรงก็ใช้ไม้ค้ำยันที่แข็งแรงประคองต้นเอาไว้ เดี๋ยวรากมันก็ค่อยๆโตไปด้วยได้เอง
(น่าอิจฉาที่รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนงานด้านออกแบบสูงมาก และบุคลากรของเขาที่ทำงานได้ในระดับนึง ทำ Self Promotion ได้เก่งมาก ทำงานทดลองเยอะ เลยโตได้เร็ว)===================================================
งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศไทย- มีดินดีอุดมสมบูรณ์
(รากเหง้าทางศิลปะวัฒนธรรมแข็งแรงและเป็นตัวของตัวเองสูง)- แต่ปลูกพืชหว่านเมล็ดกันยังไม่เป็น เช่น ควรปลูกข้าว แต่ดันเอาต้นยูคาลิปตัสมาปลูก แถมภูมิใจกับมันมากกว่าพืชพื้นบ้านของเราซะอีก ....ส่วนไอ้พวกที่พยายามปลูกข้าวโดยมากก็ทำกันแบบไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เช่น ควรดำนาฤดูไหน ดินในภาคนี้ควรปลูกพันธุ์อะไร ขอให้ได้ปลูกข้าวก็พอเพราะข้าวราคาดี
(บ้านเราสร้างบุคลากรกันมาแบบผิดๆ ไม่เข้าใจรากเหง้า ไม่เข้าใจสิ่งที่เรามี เติบโตกันมาในแบบดูแล้วลอกเลียน รวมสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นองค์ประกอบเดียวและคัดแยกสิ่งที่ดีกับไม่ดีไม่เป็น และมักจะแห่แหนกันไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่มันบูม เช่น ยุคนึงหนังสั้นดัง หนังสือทำมือดัง ก็แห่กันไปทำจนวงการมันแย่ ...ปัจจุบันที่อยู่ในกระแสก็คืองานกราฟิก)- การเลี้ยงก็เลี้ยงแบบไม่ถูกต้อง ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ไม่ถูกเวล่ำเวลา โตกันแบบล้มยืนต้น เพราะรากมันไม่แข็งแรง และไม่มีอะไรมาค้ำต้นให้ประคองตัวอยู่ได้
(รัฐบาลและสื่อบ้านเราไม่ค่อยสนับสนุนงานด้านนี้แบบถูกต้อง แต่จะทำกันแบบเป็นแฟชั่นเป็นกระแส แม้กระทั่งตัวคนที่ทำงานด้านนี้เองก็หนักไปทางโปรโมทตัวเองจนมันนำหน้าผลงานที่ตัวเองมีเพราะอยากดังเร็วๆ สังเกตุได้ง่ายๆจากวงการอินดี้ที่มีตัวจริงน้อยกว่าพวกตามกระแส คล้ายๆกับวงการกราฟิกปัจจุบันฉันใดฉันนั้น) อีกเรื่องที่บ้านเราเป็นกันหนักๆก็คือ การนำเอาระบบอุปถัมป์มาใช้ในทุกๆเรื่อง แม้แต่ในวงการสมัยใหม่อย่างกราฟิก
สื่อบางสื่อพยายามจะดันพวกพ้องคนรู้จักในสายงานนี้ ดันกันเข้าไปแบบไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเป็นเทพในสายตาบางคนที่ดูงานไม่ออกว่าลอกใครมา เอา inspire มาจากต้นแบบของใครซึ่งดันกันให้ตาย สื่อต่างประเทศมันก็ไม่เหลียวมามอง เพราะเล่นไปก๊อปของเขามา เพียงแต่สื่อไทยมันสมองนิ่มไปหน่อยที่มองไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม เล่ามาแบบนี้ อาจจะมีคนเกลียดขี้หน้ามากขึ้น แต่ก็เลยตามเลย มันคือความจริงในสังคม ....
เล่าซะยาวเลย ที่เล่ามามันอาจจะไม่เกี่ยวกันซะทีเดียว แต่บอกไว้อ้อมๆแล้วครับ