หน้า: 1 2 [3] 4
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โครงการ : ไทยจะตาย  (อ่าน 17453 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
พูดตามความรู้สึกแว่บแรกที่เห็นภาพของ โพสแรกสุดนะครับ

มองแล้ว เป็น กลิ่นไอของญี่ปุ่น และ กราฟฟิตี้ รวมกันมากกว่า

ยังไงต้องลอง เอาไป ขึ้นเว็บพวกตาถึงอีกทีน่ะครับ เช่น deviantart

ผมตาไม่ถึงเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
นั่นสิครับ ความเห็นแรกของผมคือ
..............

แต่ผมมองงานด้านบนออกญี่ปุ่นแฮะ ทำไมหนอ

แต่ถ้าจะว่ากันตามจริง วันนี้วัฒนธรรมไทยร่วมสมัย
ก็คือการมีความเป็นญี่ปุ่นปนอยู่ในความคิด ก็ถูกแล้วครับ คริคริ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ดูแล้วมีความตั้งใจเริ่มต้นที่ดีครับ แต่อ่านบรรทัดข้างล่างแล้วก็อย่าพึ่งหมดไฟก็แล้วกัน

ก่อนอื่นเลยอย่าพึ่งไปคาดหวังขนาดว่าโปรเจคที่กำลังจะทำต้องมีชาวโลกมาเหลียวมอง ทำให้ฝรั่งต่างชาติมันอึ้งกับงานในโปรเจคนี้ .....การที่จะทำอะไรขนาดนั้นอย่างน้อยๆไม่ควรจะไปหลบมุมเขียนอยู่แต่ใน Blog ของตัวเอง น่าจะมีเว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่มีเลยมันขาดความน่าเชื่อถือและความอยากมีส่วนร่วม ....ซึ่งไปๆมาๆมันจะกลายเป็นการทำกันเอง ดูกันเอง อวยกันเอง ฮากันเอง ....ซึ่งอย่าว่าแต่ชาวต่างชาติเลย แม้แต่คนไทยในวงการนี้จะมีคนรู้จักหรือสนใจโปรเจคนี้สักกี่คน

มีคนที่รู้จักอยู่หลายคนที่พยายามจะทำสิ่งที่เจ้าของกระจู๋ทำอยู่ บางคนก็แค่วาดฝันกลางอากาศ บางคนก็ทำแบบกล้าๆกลัวๆ บางคนทำแบบไม่ดูตัวเอง แต่กลับวาดฝันสูง อยากเป็นที่รู้จักในวงการบ้าง อยากให้คนอื่นๆยอมรับบ้าง (ความคิดเหล่านี้ไม่ผิด แต่ถ้ามีมันมากเกินกว่าพลังและฝีมือของเรา มันจะกลายเป็นสิ่งที่กลับมาคุกคามเรา คุกคามแบบแรงบ้าง หรือค่อยๆกัดกินก็มี) ...แน่นอนว่างานทำนองที่ว่ามันวืดเป้าหมายกลายเป็นโปรเจคที่เงียบหายไป เพราะทำไปโดยกำลังที่มีอยู่น้อยเกินไป ...เพราะความตั้งใจมันน้อยกว่าสิ่งที่เราคาดหวัง

มีโปรเจคหรือนิทรรศการอยู่หลายๆงานที่วูบดับชนิดไร้ความหมาย หวังว่าจะเป็นงานแจ้งเกิด แต่กลับเป็นสิ่งที่ละลายเงินทองและเวลาไปเพื่อสร้างความฝันที่ไม่มีพลัง มีอยู่เยอะทีเดียว

ส่วนบางคนก็ทุ่มสุดตัวแบบบ้าพลัง ลงทุน ลงแรง หาสปอนเซอร์ ทำโน่นทำนี่ หาสถานที่ ติดต่อหาพาร์ตเนอร์ จัดออกมาได้แบบน่าชมเชย ประมาณว่ากูอยากทำให้มันเกิด มากกว่าทำเพราะอยากเป็นที่รู้จัก (อยากดังนั่นแหล่ะ) แต่ตัวโปรเจคมันก็ออกมาได้ในระดับนึงซึ่งก็น่าชมเชยแล้ว (เอาแค่นี้ก็พอ ถ้าเป็นครั้งแรกๆ) ......ส่วนใหญ่แล้วคนประเภทนี้ในบ้านเรามีน้อยมาก ทำให้เป็นจุดบอด วงการมันไม่เจริญสักที พูดง่ายๆคือโดยมากแล้วเหมือนจะทำอะไรเพื่อส่วนรวม เพื่อกระตุ้นวงการ แต่ลึกๆแล้วมันเหมือนไม่จริงใจ หวังผลทางอ้อมแบบบอกไม่ถูก .....พูดสั้นๆง่ายๆก็คือ ถ้าจะทำอะไรเพื่อส่วนรวมสักอย่างมันต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่เสียสละ ต้องใจกว้าง คิดถึงเพื่อนร่วมวงการพอๆกับคิดถึงตัวเองหรือกลุ่มตัวเอง มุมมองก็ต้องกว้างกว่าสิ่งที่กำลังจะทำ  ...อย่างถ้าจะทำอะไรในระดับประเทศก็ต้องรู้ว่าต่างประเทศระดับเอเเชีย ระดับอินเตอร์ มันไปกันถึงไหนแล้ว .....ยิ่งถ้าคิดจะทำอะไรให้ระดับโลกมันมอง ก็ต้องรู้เดาทะลุไปถึงว่าอนาคตมันจะมีทิศทางแบบไหน อะไรคือสิ่งที่คนอื่นทำไปแล้วต้องหนีที่จะไม่ทำซ้ำกับเขา

คนในวงการบ้านเราโดยมาก เมื่อประสบความสำเร็จในระดับนึงมักอยากจะได้มันเพิ่มขึ้นอีก ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักถอยมาดูงานของตัวเองแบบชัดๆ เพราะขีดจำกัดของตัวเองที่ภูมิใจนักหนาไปได้ไม่พ้นขอบเขตของชายเดนประเทศไทย ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน พยายาม แลัวก็พยายาม .....ไม่ใช่พยายามฝึกตัวเอง หรือค้นหาสิ่งใหม่ๆ แต่พยายามที่จะนำเสนองานตัวเองเกินไป เช่นส่งงานไปให้พวกสื่อทางด้านออกแบบทั้งในและนอกประเทศดู หวังว่างานตัวเองมีดีพอที่จะโดนเบ้าตาเขา และเอาไปลงให้ แต่เขาก็เงียบ ..... บ้างก็ไปโพสงานโชว์ในพื้นที่เปิดที่มีคนที่เรียกว่าเหล่าเทพสิงสถิตอยู่  แล้วก็ถามชาวบ้านประมาณ cool มั๊ยครับพี่น้อง, งานนี้พึ่งทำเสร็จ แนวความคิดมาจาก บลาๆๆๆ หรือที่แอ๊บแบ้วสุดก็คงเป็น เม้นหน่อยนะ  เกย์ออก เทือกๆนั้น สิ่งพวกนี้มันมีทั้งแบบที่ฆ่าตัวตายกับแจ้งเกิด ...... แต่คนที่มั่นใจผลงานของตัวเองมากๆ แต่ผลงานมันตรงกันข้าม มักจะโดนถล่มเละ .....แต่ถ้ามันแย่มากๆ ชาวบ้านอาจจะไม่สนใจเลย

ไอ้ที่สำคัญสุดคือควรเริ่มจากจุดเล็กๆ เป้าหมายเล็กๆ รู้จักรอเวลาและจังหวะที่จะเติบโต ไม่ได้คิดและคาดหวังแต่แรกว่าจะต้องสร้างชื่อจากสิ่งที่ทำขึ้นมา ทำแบบเงียบๆ แต่ตั้งใจ ใส่พลังลงไปในสิ่งที่ทำ .....สิ่งที่มันออกมามันจะบอกกับผู้คนรอบข้างได้เองว่ามันดีหรือไม่ดี ประสบความสำเร็จหรือวืดเป้า พูดง่ายๆคือทำอะไรแบบ Low profile แต่ผลงานคุณภาพสูง จะเหมาะกว่า ....หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เป็นที่ยอมรับมักจะเดินด้วยวิธีแบบนี้ เนื่องจากค่อยๆก้าวแบบช้าๆ มั่นคง พอคนอื่นยอมรับแล้วก็จะไม่เหลิงและมองตัวเองออก (ส่วนคนอื่นจะมองยังไง ก็ช่างเขา สนใจมากประสาทกินตาย)

......ยกตัวอย่างก็คงเอาเว็บ f0nt ที่ไอ้แอนทำมานี่แหล่ะ แรกๆรู้สึกว่าจะมีคนด่าด้วยว่าไอ้แอนเป็นเด็กเห่อ ฮะมอย อะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้สิผมว่ามันช่วยให้คนออกแบบ font ไทยมากขึ้น มี font เจ๋งๆออกมาให้ใช้ก็แจ่มแล้ว

อีกตัวอย่างก็คงเป็นกราฟิกกลุ่มเชียงใหม่ ที่ทำ E-mag โฮ๊ะ ขึ้นมา ....แรกๆผมเองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์จากคนทำงานกราฟิกบางกลุ่มเหมือนกันว่า มันจะแยกเป็นประเทศเชียงใหม่รึไง หรือไม่ก็บอกว่างานแต่ละงานก๊อปคนโน้นคนนี้มา (ซึ่งบางส่วนก็คล้ายจริงๆ) แต่อย่างน้อยโปรเจคนี้ก็ทำให้คนเชียงใหม่ที่ทำงานด้านนี้มารวมตัวกันได้ เหมือนกับกลุ่มคนทำงานด้านนี้ในเมืองกรุงสักที จากแต่ก่อนแต่ละคนทำงานกันแบบอยู่ในมุมมืด เมื่อออกมาสู่ที่สว่างมันก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง  จากบางคนที่เคยเอาความประทับใจในผลงานคนงานคนนั้นคนนี้มาอยู่ในตัวงาน ก็เริ่มค้นหาตัวเองได้มากขึ้น ไม่งั้นก็ตกเป็นเป้าขี้ปากของคนที่แอบมองอยู่

มันก็เป็นความตั้งใจที่ดีในการทำงานทดลองหรือโปรเจคส่วนตัวที่อยากให้คนมาร่วม ซึ่งปัจจุบันไอ้กระแสงานกราฟิกในบ้านเรากำลังบูมบนพื้นฐานความเข้าใจที่ผิดเพี้ยน สาเหตุที่ผมทึกทักเอาเองก็คงเป็นเพราะ ระบบพื้นฐานความเข้าใจศิลปะของบ้านเรามันยังน้อย เติบโตมากันในแบบรากไม่แข็งแรง แต่อยากจะให้ลำต้นของตัวเองใหญ่ชูก้านใบออกดอกออกผลกันมาเร็วๆ อ่านแล้วอาจจะงงๆในสิ่งที่ผมพยายามจะบอก ขอเปรียบเทียบง่ายๆโดยยกตัวอย่างก็แล้วกัน

งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศญี่ปุ่น

- มีดินดีอุดมสมบูรณ์ (รากเหง้าทางศิลปะวัฒนธรรมแข็งแรงและเป็นตัวของตัวเองสูง)

- ปลูกพืชหว่านเมล็ดได้ถูกชนิด (สร้างบุคลากรมาได้แบบถูกต้อง และรู้จักใช้สิ่งที่ตัวเองมี มาทำให้เกิดประโยชน์)

- การเลี้ยงให้เจริญเติบโต ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ทำกันแบบค่อยเป็นค่อยไป รากจึงฝังลึกแข็งแรง (ญึ่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่ถ่อมตัว ขยัน เลยเติบโตได้แบบแข็งแรง รัฐบาลให้การสนับสนุน บุคลากรของเขาแต่ละคนในสายงานนี้ติดอยู่ในระดับอินเตอร์หลายคนมาก)

===================================================

งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศสิงคโปร์

- ดินไม่ดี ปลูกอะไรก็ขึ้นยาก (รากเหง้าทางวัฒนธรรมไม่มี ส่วนมากประชากรจะเป็นชาวจีนอพยพ งานด้านนี้เลยติดวัฒนธรรมเป็นแบบจีนที่ fake-fake พยายามให้เป็นแนวสิงคโปร์ แต่มันก็ยังไม่ชัดเจน)

- แต่เขาเลือกปลูกพืช หว่านเมล็ด ที่สามารถจะเติบโตในในข้อจำกัด (บุคลากรของเขาเติบโตและเรียนรู้ในแบบที่ใช้สิ่งที่ตัวเองมีให้ก่อเกิดประโยชน์ที่สุด)

- การเลี้ยงให้เจริญเติบโต ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ให้ยา ทำกันแบบเร่งสีเร่งโต รากไม่แข็งแรงก็ใช้ไม้ค้ำยันที่แข็งแรงประคองต้นเอาไว้ เดี๋ยวรากมันก็ค่อยๆโตไปด้วยได้เอง (น่าอิจฉาที่รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนงานด้านออกแบบสูงมาก และบุคลากรของเขาที่ทำงานได้ในระดับนึง ทำ Self Promotion ได้เก่งมาก ทำงานทดลองเยอะ เลยโตได้เร็ว)

===================================================

งานด้านศิลปะ-ออกแบบในประเทศไทย

- มีดินดีอุดมสมบูรณ์ (รากเหง้าทางศิลปะวัฒนธรรมแข็งแรงและเป็นตัวของตัวเองสูง)

- แต่ปลูกพืชหว่านเมล็ดกันยังไม่เป็น เช่น ควรปลูกข้าว แต่ดันเอาต้นยูคาลิปตัสมาปลูก แถมภูมิใจกับมันมากกว่าพืชพื้นบ้านของเราซะอีก ....ส่วนไอ้พวกที่พยายามปลูกข้าวโดยมากก็ทำกันแบบไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เช่น ควรดำนาฤดูไหน ดินในภาคนี้ควรปลูกพันธุ์อะไร ขอให้ได้ปลูกข้าวก็พอเพราะข้าวราคาดี (บ้านเราสร้างบุคลากรกันมาแบบผิดๆ ไม่เข้าใจรากเหง้า ไม่เข้าใจสิ่งที่เรามี เติบโตกันมาในแบบดูแล้วลอกเลียน รวมสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นองค์ประกอบเดียวและคัดแยกสิ่งที่ดีกับไม่ดีไม่เป็น และมักจะแห่แหนกันไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่มันบูม เช่น ยุคนึงหนังสั้นดัง หนังสือทำมือดัง ก็แห่กันไปทำจนวงการมันแย่ ...ปัจจุบันที่อยู่ในกระแสก็คืองานกราฟิก)

- การเลี้ยงก็เลี้ยงแบบไม่ถูกต้อง ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ไม่ถูกเวล่ำเวลา โตกันแบบล้มยืนต้น เพราะรากมันไม่แข็งแรง และไม่มีอะไรมาค้ำต้นให้ประคองตัวอยู่ได้ (รัฐบาลและสื่อบ้านเราไม่ค่อยสนับสนุนงานด้านนี้แบบถูกต้อง แต่จะทำกันแบบเป็นแฟชั่นเป็นกระแส แม้กระทั่งตัวคนที่ทำงานด้านนี้เองก็หนักไปทางโปรโมทตัวเองจนมันนำหน้าผลงานที่ตัวเองมีเพราะอยากดังเร็วๆ สังเกตุได้ง่ายๆจากวงการอินดี้ที่มีตัวจริงน้อยกว่าพวกตามกระแส คล้ายๆกับวงการกราฟิกปัจจุบันฉันใดฉันนั้น)
 
อีกเรื่องที่บ้านเราเป็นกันหนักๆก็คือ การนำเอาระบบอุปถัมป์มาใช้ในทุกๆเรื่อง แม้แต่ในวงการสมัยใหม่อย่างกราฟิก
สื่อบางสื่อพยายามจะดันพวกพ้องคนรู้จักในสายงานนี้ ดันกันเข้าไปแบบไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเป็นเทพในสายตาบางคนที่ดูงานไม่ออกว่าลอกใครมา เอา inspire มาจากต้นแบบของใครซึ่งดันกันให้ตาย สื่อต่างประเทศมันก็ไม่เหลียวมามอง เพราะเล่นไปก๊อปของเขามา เพียงแต่สื่อไทยมันสมองนิ่มไปหน่อยที่มองไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม เล่ามาแบบนี้ อาจจะมีคนเกลียดขี้หน้ามากขึ้น แต่ก็เลยตามเลย มันคือความจริงในสังคม ....

เล่าซะยาวเลย ที่เล่ามามันอาจจะไม่เกี่ยวกันซะทีเดียว แต่บอกไว้อ้อมๆแล้วครับ
บันทึกการเข้า
 เจ๋ง ยอดเยี่ยมมากครับ เขียนได้ดีมากๆ ครบคำตอบของคำถามในใจได้อย่างดีเลยทีเดียว

+ให้นะครับ  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
 กรี๊ดดดดด สุดยอดค่ะ อย่างเคลียร์
เจ้าของโปรเจกก็พยายามเข้านะคะ
บันทึกการเข้า

ยิ้มน่ารัก น้องดำ
เจ๋ง+

สุดยอดครับ
11 นี้ไปเตะบอลกัน
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ


อ่านยาว แต่สนุกมากครับ  กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
ผมว่าชื่อมันเหมือนจะไปตายวันตายพรุ่งเลยนะ 555
เรื่องศิลปะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัว แบบข้ามาคนเดียว
เรื่องแบบนี้ คนไทยเราเก่งครับ
ประเทศนี้ยังมีมือกระบี่ดีๆอยู่อีกเยอะแยะ ไม่ตายหรอก
งุมๆ
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
ผมเห็นชื่อครั้งแรกเข้าใจว่ามันสื่อคำว่า "จะตาย"
เหมือนกับภาษาพุดที่แทนความหมายว่า "มากๆ"
เช่น สวยจะตาย อะไรประมาณนั้นนะครับ

ส่วนภาพที่เห็นผมว่ามันคงคล้ายๆ การเต้น Modern Dance
ที่เห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ ที่เขาเอาการรำแบบไทยไปผสมการเต้นแบบสากล
ภาพนี้ก็คงคล้ายๆ กัน คือเอาลายเปลว ลายกนก ไปผสมกับความเป็นสากล

ถ้าคิดแบบนี้ภาพที่เห็นความเป็นไทยบ้างไม่เป็นบ้าง ก็ไม่ผิดอะไร ใช่ไหม?
บันทึกการเข้า

ผมว่าชื่อมันเหมือนจะไปตายวันตายพรุ่งเลยนะ 555
เรื่องศิลปะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัว แบบข้ามาคนเดียว
เรื่องแบบนี้ คนไทยเราเก่งครับ
ประเทศนี้ยังมีมือกระบี่ดีๆอยู่อีกเยอะแยะ ไม่ตายหรอก
งุมๆ

อ่านแล้วใช่เลย หาเรื่องมาต่อภาค 2 อีกสัก 1 ยาวก็แล้วกัน

เห็นด้วยสุดๆคนไทยมีเก่งๆเยอะ ...แต่ดันต้องมาไล่ตามหลังประเทศอื่นในงานด้านนี้ โคตรน่าเสียดาย เราดึงเอาสิ่งที่มีมาใช้กันไม่เป็น
งานของหลายๆคน ถ้าไม่ติดเรื่องคล้ายกับงานคนนั้นคนนี้ เรื่องไอเดียที่ชอบทำตาม ตัวงานมันจะพัฒนาไปทางด้านที่ดีได้
แต่โดยมากอะไรที่ได้มาง่ายๆ มักจะเหมือนสิ่งเสพติด หอมหวล .... ลอกเพื่อศึกษา เอาไอเดียเขามาทำเพื่อเรียนรู้เนี่ยมันโอเค ควรจะทำเพราะมันเป็นทางลัดที่จะเรียนรู้ แต่ถ้าเอามายึดมั่นถือมั่นหลังจากที่ได้มันมาแล้ว มันเป็นการขุดหลุมให้กับตัวเอง

เทรนด์อีกอย่างในระยะนี้ก็คือการรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนทำงาน graphic .....ซึ่งมันเยอะจริงๆ (เยอะชิบผายเลยนะ) ความเห็นส่วนตัวล้วนๆก็คือมันเป็นแฟชั่นไปแล้วจริงๆ ..... ตรงนี้แปลกอยู่เหมือนกันว่าไอ้งานกราฟิกเนี่ยในต่างประเทศเขาทำกันแบบวันแมนโชว์ พัฒนาตัวเองไปจนเติบโตมีชื่อเสียง จะมีบ้างที่ทำเป็นกลุ่มแต่มีน้อย ....และส่วนใหญ่เวลาเขารวมกลุ่มกัน เช่น WeWorkForThem ที่ Mike Young, Joshou David มารวมตัวกัน แต่ละคนเขาก็สร้างชื่อด้วยตัวเองมาก่อน แต่มีจุดประสงค์ที่มารวมตัวกันก็คือเอาจุดเด่นของแต่ละคนมาสร้างเป็นงานใหม่ๆที่ดูแล้วอึ้งและทึ่ง สร้างอะไรใหม่ๆให้กับวงการกราฟิกโลก ไอ้เรื่องหวังอยากจะมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นคงจะมีบ้าง แต่จุดประสงค์ใหญ่มันคือการทำอะไรมันส์ๆที่มันอาจจะเป็นไปไม่ได้มากกว่า

....แต่ไหนแต่ไรมาคนไทยไม่ถนัดในการทำงานเป็นทีม อย่างกีฬาที่คนไทยประสบความสำเร็จระดับโลกมักจะเป็นอะไรที่เล่นกันแบบ 1-1 อย่าง มวย เราก็มีแชมป์โลกหลายคน, เจ๊ทสกี, ส่วนตะกร้อไม่น่าจะนับเพราะเป็นกีฬาประจำชาติ ....ฟุตซอล อาจจะเข้าข่ายมากสุด ซึ่งเด็กไทยเล่นบอลในซอย พื้นปูน ที่แคบๆมาตั้งแต่เด็ก พอมีกีฬาฟุตซอลได้ไม่นานก็เลยพัฒนาได้เร็วเพราะเข้าทาง (ส่วนฟุตบอลสนามใหญ่ไม่ต้องพูดหรอก กว่าจะไปบอลโลกได้ เราคงหงำเหงือก)

มาที่งานกราฟิกต่อ ถ้ากลับมาย้อนถามฝั่งเมืองไทยเราว่า รวมตัวกันทำงานเป็นกลุ่มเพื่ออะไร ....อยากพัฒนาผลงาน? อยากพัฒนาวงการเหรอ? แต่ถ้าดูจากงานแล้วยังเอาแนวคนอื่นมาใช้อยู่ทั้งแบบทางตรงและแบบแอบๆ รวมไปถึงพลังในการทำงานก็คงจะใช้ข้ออ้างนี้ไม่ได้ ...... โมเดลในลักษณะนี้ (จริงๆใช้ได้ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยว)

> 1.) รวมตัวกันมาหวังสร้างชื่อ,สร้างผลงาน> 2.) ทำงานจริงจะคุยฟุ้งกันมากกว่าที่จะทำอะไรออกมาเป็นรูปร่าง> 3.) พอทำออกมาจริงๆก็เอา inspire จากงานคนอื่นมาใส่ในงาน > 4.) ทำ Self Promotion บางกลุ่มอาจจะเริ่มเป็นที่รู้จักในวงเล็กๆ > 5.) เริ่มเกิดความมั่นใจ ประมาณตรูดังแล้ว พอกตัวเป็น Ego ที่แกะออกยาก (แต่ตัวงานจริงๆยังอยู่ในวังวนข่ายที่ลอกเลียนคนอื่น) > 6.) อาจจะเริ่มมีคนขุดคุ้ยและมาแฉว่าลอกไอ้นั่นไอ้นี่มาด้วยความหมั่นไส้ เวลาคนอื่นจับได้ก็มักจะปฎิเสธความจริง > 7.) เริ่มตันและหาทางออกให้กับงานไม่ได้เพราะติดนิสัยในการทำงานแบบเดิมๆจนแกะไม่ออก > 8.) วงแตก แยกทาง

สูตรอันนี้ไม่ตายตัว แต่เป็นการยกตัวอย่างที่มีค่อนข้างเยอะ พวกที่เขาประสบความสำเร็จก็มี ....มองไปก็คล้ายวงบอยแบนด์หรือวงป๊อปร๊อคในวงการเพลง (อะไรจะน้ำเน่าขนาดนั้น) วงแตกแล้วแยกทางออกอัลบั้มเดี่ยว แต่โดยมากแยกมาออกเดี่ยวแล้วมักจะเจ๊งทุกที .... หลายๆคนมักจะมองแค่ผลของคนที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่จะไปศึกษาเส้นทางและการต่อสู้ที่เขาเดินมา ..... พูดง่ายๆคือทำตามโมเดลที่เขาประสบความสำเร็จ แต่ตามธรรมชาติ ยุคสมัยเปลี่ยน ปัจจัยเปลี่ยน เช่น ถ้าใครคิดจะทำหนังสือแบบ a day ในยุคนี้ กะจะเป็นโหน่ง วงศ์ทนง คนที่2 มันก็ใช้โมเดลแบบเดิมไม่ได้ .....ซึ่งก็แปลกที่ยังมีพวกที่คิดง่ายๆทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็แป่กนั่นแหล่ะ มีเหมือนกันทุกๆวงการ .....โดยเฉพาะบ้านเมืองเรานิยมกันเหลือเกินในการเลียนแบบโมเดล แทนที่จะสร้างโมเดลกันขึ้นมาเอง .....อะไรที่เมืองนอกมี แต่เมืองไทยยังไม่มี ก็มักจะแย่งกันทำแล้วก็มาประกาศว่าตรูเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย (น่าจะบอกแถมไปด้วยว่าลอกเมืองนอกมา) ....แต่น้อยมากๆที่บ้านเราจะทำเป็นเจ้าแรกของโลก จะมีอยู่บ่อยๆก็ประมาณ ผัดไทกระทะใหญ่ที่สุดในโลก, ธูปดอกใหญ่ที่สุดในโลก .....มักจะหาเรื่องเป็นที่สุดในโลกกันแบบมักง่ายๆ

วัฒนธรรมการรวมกลุ่มพวกมากลากกันไปแบบไทยๆ มันขัดแย้งอยู่ลึกๆกับสิ่งที่คนไทยถนัด คือการทำงานในลักษณะเฉพาะตัวคนเดียว
มันก็น่าแปลกกับค่านิยมทำนองนี้ แล้วมันก็ปนแบบแยกไม่ออกซะด้วยนี่สิ มันน่ากลุ้ม ..... วัฒนธรรมอีกอย่างในวงการกราฟิกที่มันเฟ้อคือ การพยายามทำตัวเป็นดาราและชิงดีชิงเด่น ลึกๆแล้วมันมี ส่วนนึงคือไอ้แฟชั่นการทำ Self Promotion ชนิดเกินกว่าเหตุ แล้วเดี๋ยวนี้มันทำกันง่าย เพราะสื่อในการแสดงออกมันมีเยอะ ลู่ทางมีเยอะกว่าช่วงก่อนๆ แต่มันก็ยากตรงที่คู่แข่งเขาก็มีเหมือนกันหมด สุดท้ายคือดูกันที่งานอยู่ดี

.... วงการบ้านเรามันแปลกอย่างนึงเป็นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รุ่นเล็กชอบเสนอหน้าเกินกว่าเหตุ อยากดังเร็วๆแต่ไม่ขยันฝึกแบบถูกวิธี ใช้วิธีตีสนิทรุ่นใหญ่หาลู่ทางเอา ส่วนรุ่นใหญ่บางคนก็ชอบกั๊ก ขโมยไอเดียเด็กมันมั่งก็มี (ให้เด็กมันทำ แต่ใช้ชื่อตัวเอง) ไม่ยอมเบี่ยงตัวเองไปเป็นผู้สนับสนุน อยากจะเป็นดาราค้างฟ้าตลอดไป ....เจอหน้ากันคุยอวด คุยทับ หยามและเขม่นกันอยู่ลึกๆ คิดในใจว่าตรูเจ๋งกว่ามรึงเว่ยไม่ยุ่งด้วยหรอก รวมไปถึงกีดกันและกั๊กคนนอกกลุ่มตัวเอง ก็อย่างที่ว่ามาแล้วมีน้อยคนที่มันใจกว้างและเปิดรับ .....ผิดกับต่างชาติในหลายประเทศ มันทำงานแข่งกันก็จริงแต่เวลามีงานอะไรมันช่วยกัน สนับสนุนกัน ..... ส่วนบ้านเรามีงานอะไรสักงาน ยังไงก็ต้องกั๊กเอาไว้ให้พวกตัวเองก่อน ไอ้นั่นไม่ต้องชวนนะ มันคนนอก, จะเอางานไอ้นี่มาเพิ่มเหรอ แค่พวกเราก็เยอะแล้ว ไม่ต้องเอามาหรอก .....และไปๆมาๆก็อยู่ในวังวนเดิมๆ ไอ้รุ่นใหญ่ก็แก่หายจากวงการไป โดยไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ ....พอเด็กรุ่นใหม่มันขึ้นมาก็ทำตัวเหมือนรุ่นก่อน .....วงจรอุบาศก์อันนี้มันได้รับผลเต็มๆมาจากวัฒนธรรมวงการโฆษณา ยังหวังอยู่ลึกๆว่ามันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะวงการกราฟิกบ้านเรามันน่าจะพึ่งเข้าสู่ยุค Generation ที่ 3 .....ยุคแรก เป็นยุคที่คนจากวงการโฆษณามาทำงานกราฟิก ....ยุค 2 ก็เป็นยุคที่คนปัจจุบันกำลังทำงานกัน ส่วนยุคที่ 3 อาจจะนับได้ว่าเป็นเด็กๆที่กำลังเรียนอยู่หรือพึ่งจบ ......

ชักยาวแล้ว พอดีกว่า
บันทึกการเข้า
... วงการบ้านเรามันแปลกอย่างนึงเป็นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่
รุ่นเล็กชอบเสนอหน้าเกินกว่าเหตุ อยากดังเร็วๆแต่ไม่ขยันฝึกแบบถูกวิธี
ใช้วิธีตีสนิทรุ่นใหญ่หาลู่ทางเอา ส่วนรุ่นใหญ่บางคนก็ชอบกั๊ก
ขโมยไอเดียเด็กมันมั่งก็มี (ให้เด็กมันทำ แต่ใช้ชื่อตัวเอง)
ไม่ยอมเบี่ยงตัวเองไปเป็นผู้สนับสนุน อยากจะเป็นดาราค้างฟ้าตลอดไป ....
เจอหน้ากันคุยอวด คุยทับ หยามและเขม่นกันอยู่ลึกๆ
คิดในใจว่าตรูเจ๋งกว่ามรึงเว่ยไม่ยุ่งด้วยหรอก
รวมไปถึงกีดกันและกั๊กคนนอกกลุ่มตัวเอง
ก็อย่างที่ว่ามาแล้วมีน้อยคนที่มันใจกว้างและเปิดรับ ...



อันนี้ น่าจะทุกวงการเลย  เจ๋ง
บันทึกการเข้า

อ่านแล้วถึงแก่นจริงๆ เจ๋ง+
บันทึกการเข้า
+ ให้อีกที เขียนได้ดีมากครับ  เจ๋ง
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
ผมเกาะลุงๆ กินดีกว่าครับ ไม่ต้องออกตังค์เอง เกย์ออก
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ขอบคุณมากครับ
เป้นบุญมากครับ ที่พี่ฉึ่งได้สละเวลามาเขียนความจริงยาวๆให้ได้อ่าน

ขอบคุณมากครับ ไหว้ +
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!