หน้า: 1 ... 606 607 608 609 610 611 612 [613] 614 615
 
ผู้เขียน หัวข้อ: งาน เงิน ความหวัง อนาคต  (อ่าน 2069029 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
กำเนิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์!
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
รีบมาต่อเล่านะครับ ตามอ่านอยู่ครับ
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
ออฟฟิศนั้นนายจ้างเป็นคนไต้หวัน

ทีมไทยประกอบด้วย
1. marketing
2. คนทำเว็บ
3. เราเป็น SEO ที่ครึ่งร่างทำเว็บได้
(แก๊งนี้อยู่ไทย)

ทีม customer service, มี HR 1 คน
มีแปลภาษา ที่พูดไทยได้ จีนได้ และอังกฤษได้
และก็มีอีกทีมนึงเป็นทีมเวียดนาม
ที่ในอนาคตเขาจะมาเป็นหัวหน้าเราอีกที
(แก๊งนี้อยู่ฟิลิปปินส์)

เราประชุมทีมกันทุกวันพุธ และวันเสาร์ ทำงาน 9 ชั่วโมงพัก 1 ชั่วโมง
สื่อสารข้อความกันผ่าน telegram (ให้เหตุผลว่าจะได้ไม่มีใครตามได้ผ่าน IP Address)
ประชุมออนไลน์ผ่าน zoom meeting
ระหว่างที่คุยกัน ถ้าคุย telegram ก็จะคุย eng กัน
ถ้าคุยประชุม จะมีคนแปลภาษาคอยแปลไทยให้ นายไต้หวันจะคุยจีน คนเวียดนามก็จะคุยจีน

เข้ามาถึงคือเขากำลังทำเว็บ casino เว็บหนึ่ง..
ก็เข้าทีมไปทำ ทำได้ประมาณ 3 เว็บ
พบว่า ทีมเวียดนามพยายามเอาการตลาดที่ทำแล้วได้ผลในเวียดนามเอามาทำในประเทศไทย
แต่ทีมไทย ทั้งเราและ marketing และคนทำเว็บต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ไม่ work ในแง่ของ user experience แต่ก็ไม่สามารถเอามาวัดผลในเชิงปริมาณได้

เรื่องนี้เลยถูกบอสไต้หวันปัดตกโต๊ะไป และก็ให้ทีมเวียดนามคุมทีมไทยตั้งแต่นั้นมา

ทำงานกันกระทั่งว่า คนที่ทำการตลาดนี่ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง
1. ซื้อข้อมูล (ชื่อ เบอร์โทร จากบริษัท casino อื่น ก็คือเขามีเพื่อนทำงานในแผนก customer service
บริษัท casino อีกที่หนึ่ง ที่สามารถเอาข้อมูลตรงนี้มาขายให้ได้) อันนี้นายไต้หวันยอมควักตังค์จ่ายเพราะข้อมูลอันนี้คือว่าที่ลูกค้าแน่นอน
2. เอาข้อมูลที่ซื้อมาได้มาโทรหาเพื่อให้มียอดเข้ามา
3. ที่บริษัท Customer service ลาออกไปครึ่งทีม เนื่องจากโควิดที่ฟิลิปปินส์ระบาดหนัก (วันละ 10k)
เวลาเกิดเหตุการณ์นี้ถ้าร้ายแรงก็จะมีมาตรการจำกัดคนให้อยู่กับบ้านมากขึ้น ห้ามออกจากเคหสถาน จำกัดการเดินทาง พอหลายๆ เดือนเข้า ก็เริ่มคิดถึงบ้าน ทำอะไรมากไม่ได้ คนเกิดความเครียด อยากลาออก เพื่อกลับไทย เวลานั้นสถานการณ์โควิดที่ไทยดีกว่าที่ฟิลิปปินส์ ทำให้คนไม่พอ ถ้าทีมไทยต้องการยอด ก็ต้องช่วยทีม Customer Service โทรด้วย
4. หา sim หา โทรศัพท์เปล่าโทรอีก เริ่มมีต้นทุน นายไต้หวันเริ่มไม่อยากควักตังค์จ่าย คุยกันว่าจะโทรผ่าน skype เพราะไม่มีต้นทุนเรื่องเครื่องและ sim card
5. เริ่มเกี่ยงกันว่า ที่คุยกัน ไม่ได้ให้มาโทรคุยกับลูกค้านะ จะไม่ทำ ให้ marketing คุยกับหัวหน้าใหม่ว่าจะเอายังไงต่อดี มีทางออกอย่างอื่นอีกมั้ย
6. สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มโทรเพราะไม่อยากโทรกัน อยากทำงานทำหน้าที่ของตัวเองมากกว่าจะโทรหาลูกค้าเพื่อเอายอด

ทำการตลาดตามทีมเวียดนามจนสุดท้ายมันไม่ work ขึ้นมาจริงๆ เพราะคนไทยไม่ซื้อ
แต่ก็โทษทีมไทยอยู่ดี เพราะทีมไทยไม่บอกให้เร็วกว่านี้
(คือตรูบอกแล้วแต่พวกแกไม่เชื่อเอง)

ก็ยกเลิกสัญญา


หลังจากยกเลิกสัญญา เราสามคน คุยกันว่า จะหางานทำในฟิลิปปินส์ต่อ
เจ้าน้องทำเว็บได้งานก่อน เป็นงาน UX/UI ทีนี้เหลือ 2 คนละยังไม่ได้งาน

พี่ marketing มีข้อเสนอ 2 ที่ระหว่าง บรูไน (งานสายเทา) กับ ฟิลิปปินส์ที่เกาะ CEBU (งานสายขาว "เขาว่างั้นนะ")
ถ้าให้คิด เกาะ CEBU ก็เหมือนภูเก็ตที่ไทยนี่แหละ
เป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวชอบแวะมาเกาะหนึ่งของฟิลิปปินส์

กวางน่ะไม่เคยบินไปไหน ดังนั้นกวางก็ไปได้ทั้งคู่
ส่วนพี่ marketing ใจเขาอยากไปบรูไน
ฟิลิปปินส์พี่ markeing เขาเคยไปแต่ไม่เคยไปเกาะเซบู
เคยไปทำงานเฉพาะที่มะนิลา ถ้าเป็นงานที่มะนิลาเขาจะไม่ปฏิเสธเลย

ด้วยความที่แปลกที่แปลกถิ่น เขาเลยลังเล สองจิตสองใจ
แต่สิ่งที่ทำให้เขามีความล่กยิ่งกว่าคือตั๋วเครื่องบินบินตรงไปที่โน่นเลย
ซึ่งหายากมากในช่วงนั้นด้วยสถานการณ์โควิด ค่าตั๋วแพงมาก (จากปกติ x2)
ทำให้เขายิ่งตัดสินใจไม่ได้
เอาไงดีวะกวางพี่ตัดสินใจไม่ได้ ไม่อยากจากลูกไป เป็นห่วงลูก

กวางก็ คิดไม่ยาก เอาสายขาวก่อนดีกว่าดูได้ไปชัวร์กว่า

พอพี่ marketing เขาเข้างานที่นี่ได้แล้วปุ๊บ
พบว่า บริษัทนี้เขาออกตัวว่าเป็นสายขาว สอนคนเล่นหุ้นต่างประเทศ
เข้าไปเป็น Sales นะ เงินเดือนยืนพื้น 1,000 USD
มีหอ ซึ่งเป็นคอนโดหรูย่านสุขุมวิทให้อยู่ฟรีระหว่างเทรนนิ่ง

ถ้ากวางสนใจก็ส่ง resume มา
กวางก็ส่งไปแล้วเขาก็สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นิดหน่อย
แล้วเรียกตัวกวางให้มาทำงานเลย ให้มาเทรนเดือนนึง ก่อนที่จะบินไปทำงานที่เกาะ CEBU
โดยให้ย้ายมาอยู่หอเลยนี่แหละ หรูกว่าคอนโดที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ซะอีก

บรรยากาศในออฟฟิศ แบ่งพรรคแบ่งพวก
แบ่งก๊กแบ่งเหล่า แบ่งทีมแข่งกันทำงาน อันนี้เรื่องปกติ

สิ่งที่รู้สึกเอ๊ะ (1)
ตอนที่อยู่ออฟฟิศห้ามบอกชาวบ้านว่าเราทำงานอะไร อยู่บริษัทอะไร

สิ่งที่รู้สึกเอ๊ะ (2)
คือ มีการให้ตั้งชื่อปลอมแทนตัวเองขึ้นมา
ชื่อนี้จะใช้เป็นชื่อแทนตัวเองในการโทรศัพท์หาลูกค้า จะไม่ใช้ชื่อเรานะ

แล้วก็มีประกาศจากสถานทูตฟิลิปปินส์ว่าคนที่เข้าประเทศได้จะต้องมีวีซ่าดังต่อไปนี้
ซึ่ง ไม่มีวีซ่า work permit อยู่ในรายการนั้น
นั่นหมายความว่าคนที่มีวีซ่า work permit แล้วดันบินกลับมาที่ไทยก็ กลับฟิลิปปินส์ไม่ได้
จนกว่าจะเปิดประเทศและวีซ่ากำหนดให้เข้าประเทศได้ถึงจะเข้ามาได้

อ้าวแล้วจะไปด้วยวีซ่าอะไร? ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พ.ค. 2022, 19:37 น. โดย กวางจ้ะ » บันทึกการเข้า
โวย เดือดมาก รออ่านครับ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ปูเสื่อรอ ....
บันทึกการเข้า

ขอโทษที่ปล่อยให้คอยนาน สามีพาไปวัดถนน นอน รพ แปปนึง  หมีโหด~

--

เรื่องนี้คาใจไปสักพัก
แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยการซื้อตั๋วเครื่องบินให้พวกเรามั่นใจว่าได้บินแน่นอน
(แต่วีซ่าไม่เรียบร้อย)ไป 2 รอบ
แต่ละรอบไม่ต่ำกว่า 2 แสนเพราะพวกเราก็ 12 ชีวิตที่ทำกันอยู่ตอนนี้

จนกระทั่งมีตัวตั้งตัวตีคนหนึ่งขอพาสปอร์ตของทุกคนไป
เพื่อไปดำเนินการเรื่องวีซ่า
และพอวันที่ก่อนบิน 10 วัน
กวางดันปวดท้องเป็นไส้ติ่งอักเสบ
แอดมิตจ้า 7 วัน
วันที่ออกจากโรงพยาบาล เป็นวันที่ไปรับพาสปอร์ตที่สถานทูตปินส์
**ต้องไปรับด้วยตนเอง**


วีซ่าที่ได้เป็นวีซ่าแบบ 9A
คือเป็นวีซ่าแบบ ธุรกิจ ห้ามสมัครงาน ห้ามเรียนต่อ ห้ามท่องเที่ยว
อยู่ตามกำหนดเอกสารแนบแล้วกลับเลยประมาณนั้น
ซึ่งเอกสารนั้นก็คือมีคนที่ฟิลิปปินส์เค้าจ้างมาอีกต่อนึง (หลักล้าน)
อิเพื่อน marketing ไม่มาจ้า เบี้ยวนัด
ซึ่งเขาน่ะไม่มาออฟฟิศหลายวันแล้ว
และไม่ยอมคืนห้องให้พี่ hr ด้วย
ถามส่วนตัวก็คือ เจ้าตัวเป็น panic
พออยู่ห้องคนเดียวแบบนี้ แล้วเขากลัวและหวาดระแวง
ถ้าไปอยู่คนเดียวที่โน่นอีก
จะไปกันใหญ่ เลยไม่ไปต่อดีกว่า
และเขาจะยกสิทธิ์นี้ให้น้องชายเขาไปแทน
แต่เขายื่นชื่อให้ hr ไม่ทันแล้ว
เขาทำอะไรๆ ช้าไปหมด

ทีนี้ด้วยความที่ เวลาเขาทำอะไรแบบนี้
เขาไม่บอกใครเลยนึกจะไปก็ไป
นึกจะมาก็มา คนที่ซวยคือเรา
เพราะเห็นเราสนิทกะพี่ marketing ไง
เขาก็เลยถามผ่านเราตลอดจนเราอึดอัด
จนเราตอบคำถามไม่ไหวแล้ว

มันกลายเป็น
พี่ marketing ทำให้เสียสิทธิ์วีซ่าไป 1 ชื่อ
เสียห้องไป 1 ห้อง โดยไม่จำเป็น


พอถึงเวลาบินจริงวีซ่าเรียบร้อยแล้ว
เอกสารพร้อมสรรพ ทางบริษัทต้องให้ไปทำงานที่เกาะ ASAP อยู่แล้ว
ตีตั๋วไป 10 คน
อิชั้นอดบินสิคะ เพราะถ้าผ่าตัดช่องท้องห้ามบิน 15-20 วัน
ระหว่างรอ ไม่ได้ตังค์นะ เพราะไม่ได้ make money ให้เขา
ก็พอถึงวันที่สามารถบินได้ก็หาตั๋วที่สามารถไปได้เร็วที่สุดและราคาถูกที่สุด
ส่งให้เขาจ่ายเงินและก็ ปริ๊นท์ตั๋ว เช็คเอกสาร ร่ำลา บินไปเลย
กลายเป็นการบินออกนอกประเทศครั้งแรก และบินคนเดียวด้วย ไม่มีใครไปส่ง เพราะบินวันธรรมดา
โหดสัดมาก แต่ก็ไม่ได้ยากนี่นะ

พอไปถึงด้วยสถานการณ์โควิด
เค้าให้กักตัวที่ Manila ก่อน 1 วันที่โรงแรม
แล้วค่อย check out บินไปเกาะปลายทางอีกที
และเริ่มงานวันถัดไปเลย

ตอนแรก แผนของเราคือ ถ้าเราได้วีซ่า work permit
เราจะหางานอื่นทำที่ไม่ใช่บริษัทนี้

แต่วีซ่าที่ได้ ดันไม่ใช่
แถมมันบังคับให้เราผูกติดกับที่นี่จนกว่าจะลาออกอีกด้วย
เลยต้องเจรจาด้วยสันติวิธี

เราขอย้ายไปทำแผนก support
เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องโทรหลอกขายคอร์สกับลูกค้าคนไทยด้วยกัน
เราคิดว่าอย่างน้อยมันก็รู้สึกผิดน้อยกว่า

ถึงแม้ว่าค่าแรงจะได้แค่ขั้นต่ำ
แต่มันก็รู้สึกดีกว่าต้องมาหลอกชาวบ้านแล้วรวยน่ะนะ

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ตรงนั้น
มีกฎแปลกๆที่ว่า

1. โอเคสอนให้เทรดหุ้นต่างประเทศแค่แปปเดียว
แล้วก็จะมีโปรหลอกให้ลงทุนเพิ่มโดยเสนอว่ามีผลตอบแทนเปอร์เซ็นสูง
ถ้าไม่มีเงินตอนนี้ไม่เป็นไร ทางเรามีเครดิตไลน์
(พูดง่ายๆคือให้กู้ยืมกันก่อน)
สามารถใช้ได้พี่แค่เซ็นเอกสารผ่านอีเมล (e-signature)
พี่ก็ได้แล้วค่ะ
(แต่ถ้าได้ผลกำไรจริงก็ยังถอนไม่ได้
จนกว่าจะใช้หนี้เครดิตไลน์หมดภายในระยะเวลาก่อน
ถึงจะถอนเงินออกมาได้นะ)

2. มีสัญญาให้เซ็นหากลงทุนกับหุ้นตัวนั้นตัวนี้ถึงยอดเงิน usd ที่กำหนดไว้
(เช่น 5,000 ถึง 10,000 มากสุดคือ 30,000 ต่อครั้ง)
สามารถถอนผลกำไรได้ทุกๆ วันที่เท่านี้ๆ นะ
แต่พอเอาเข้าจริงกลับถอนไม่ได้เพราะข้อถัดไป

3. ถ้ายอดถอนของทุกคนเกินกว่า 10% ของยอดฝากเงิน
ก็จะไม่ให้ถอนอยู่ดีไม่ว่ากรณีใดๆ แม้แต่ขอคืนเงินด้วย (refund)

ทีนี้พอมีเรื่อง 2. กับ 3. มาหลายๆ เดือนเข้า
ก็มีลูกค้าร้องเรียนมาผ่าน live chat ก็พวกอิชั้นเป็นคนตอบอีกอยู่ดี
บวกกับผ่านอีเมล พวกชั้นก็ตอบอีกแหละ
ก่อนที่จะส่งต่อพวกผู้ใหญ่ถ้ารับมือไม่ไหว

กรณีข้อ 2 เนี่ยถ้าปล่อยไว้นานมันคือการผิดสัญญาที่เกิดจาก
การทำโปรโมชั่นรับประกันผลกำไร 80% อย่างหนักหน่วงของเดือนก่อนๆ
พอลูกค้าเห็นว่าลงทุนไปแล้วได้จริงตามนั้น
บวกกับเซ็นสัญญาไปแล้วว่าสามารถถอนผลกำไรได้
แน่นอนว่าเขาย่อมมีสิทธิ์ถอนผลกำไรส่วนนั้นออกมา

แต่อีเจ้าของบริษัท สมมติชื่อ J เขาสั่งว่า
ห้ามถอนเพราะเป็นยอดที่สูงเกินไป ถ้าถอนมันจะเกิน 10%
sales ก็งงสิ อ้าว แล้วจะบอกลูกค้ายังไง
ถ้าไม่ให้ถอนมันก็ผิดคำพูดนะ เราผิดสัญญาเขาไม่ได้

J ก็บอกมันเป็นปัญหาของคุณไม่ใช่ปัญหาของผม

ตอนนั้นเราดูแลเอกสารถอนเงินกับขอเงินคืน, ตอบอีเมล, live chat
กลายเป็นว่าต้องคอยเช็คว่าลูกค้ามียอดขอถอนมาเยอะหรือเปล่า
เช็คแนวโน้มดราม่าด้วย
ไม่รู้จะรับหน้ายังไงดีแล้วมาแบบนี้  อี๋~

จนอิ J ไปมะนิลากะเมียฟิลิปปินส์
แล้วถูกจับในข้อหาคดียาเสพติดข้ามชาตินี่ล่ะ
ลงเพจสถานทูตฟิลิปปินส์ด้วยนะ
ก็ดูเหมือนจะมาถึงจุดเปลี่ยนมือการบริหารงานของบริษัทอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
อู้ย.. มันจะสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
โหย...เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ทางชีวิตเหมือนต้องไต่เนินต่อเนิน ความรู้สึกยังกะอยู่ในหนัง ต้องตีสองหน้า ต้องเอาตัวให้รอด
โอย โอย... รออ่านต่อครับ
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
ก็คิดอยู่ว่าไอ้ที่เจอนี่คือ.. อิหยังวะเราไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้

จากที่คุยกะในทีมน้องๆ sales แต่ละคนที่เข้ามานี่
ไม่ได้คิดว่าอยากจะหลอกใครเลย
อยากเอาความรู้จากการเล่นหุ้นมาแชร์
เอาวิธีดูตลาดหุ้นนอกมาแชร์ว่า
ถ้าช่วงนี้ข่าวมาแนวนี้ควรดูสินทรัพย์ตัวไหนดี

แต่ก็นั่นแหละมาเจอเรื่อง J บวกกะนโยบายของนางอีก
ก็เฟลกันไป และโดนบังคับแบบมัดมือชกด้วย

ลืมเล่าเพิ่ม

  • คนที่ทำโปรโมชั่นรับประกันผลตอบแทน 80% ก็ J นี่ล่ะ
    บังคับให้บอกลูกค้าแบบนี้
    (ปกติรับประกัน 5-10% และมากสุดแบบชนเพดานจริงๆ ไม่เกิน 30%)
    และระบุในสัญญาแบบนี้ ระหว่างที่ร่างสัญญาฉบับภาษาไทย
    จะให้ก๊อบประโยคไทยในสัญญาใส่ google translate เป็น english
    แล้วต้องแปลให้ได้ตามที่ต้องการทุกข้อทุกบรรทัดในเอกสารสัญญา
    ก่อนให้ลูกค้าเซ็นไม่งั้นโดนใบเตือนอีกด้วย
    ดังนั้นจะบอกว่า sales เป็นคนผิด ก็ไม่ใช่น่ะนะ เค้าแค่ทำตามคำสั่ง
  • sales ต้องตั้งเป้าแต่ละเดือนของตัวเอง และทำยอด
    ถ้า sales ไม่ทำและยอดไม่ได้ตามเป้า
    ก็จะให้เข้าออฟฟิศวันเสาร์อาทิตย์
    ระหว่างนี้ก็มีคนที่ออกไปทำร้านอาหารไทย 1 คน
    มาขายคนในทีมนี่แหละ
    เพราะมาทำงานวันหยุดนางไม่ชอบก็เลยออก
    ได้ผัวที่นี่ support เรื่องที่อยู่ใหม่
    ไม่ก็ให้มาออฟฟิศตั้งแต่หัววัน
    ซึ่งมันผิดเวลาที่ตกลงกับลูกค้าไว้
    บางทีก็ให้โทรหาตอนเวลาที่ลูกค้ากำลังจะนอนแล้ว
    หรือไม่ก็ วันหยุดวันครอบครัวก็ยังจะให้โทรไรงี้
  • เรื่องเข้างาน คือ ในทีมมีกฎการหลอกลูกค้าข้อนึงว่า
    ออฟฟิศเราไม่ได้ตั้งอยู่ทั้งที่ไทยและที่ฟิลิปปินส์
    แต่ตั้งอยู่ที่ Sydney, AUS.
    เวลาโทรหาเลยเป็นเวลาที่อยู่ที่ออสโทรกลับไปที่ไทยแต่ตัวจริงอยู่ปินส์ (ซับซ้อนชิบหาย)
    ส่วน สนญ. อยู่ประเทศเซเชลส์ (Seychelles)
    ลอง google ดูได้เป็นเกาะเล็กๆ แถวๆ แอฟริกา
    เพื่อให้หลอกแนบเนียนการหลอกเรื่องเวลาทำการ
    สภาพแวดล้อมแถวออฟฟิศที่อยู่ว่ามีการปิดพื้นที่ กักตัวมั้ย
    ก็เลยเป็นอีกเรื่องนึงที่ต้องดู เรียกว่าพอโกหกแล้วก็ต้องโกหกไปเรื่อยๆ ว่างั้น
    แต่เรื่องจะหลุดก็เพราะอิ J อยากได้ยอดจากลูกค้ามากเกินไป
    ไม่ดูเวล่ำเวลานี่แหละ
  • เวลาโทรจะใช้โปรแกรมโทรศัพท์ที่สามารถสุ่มเบอร์โทรมือถือของประเทศนั้นๆ ได้ โปรแกรมนี้จะบันทึกเสียงการสนทนาทุกครั้งไว้ที่ server ส่วนกลาง ส่วนเบอร์โทรศัพท์กับข้อมูลลูกค้าบางส่วนนั้น มีอยู่ในโปรแกรมอยู่แล้ว
  • สงสัยมั้ยว่า ลูกค้าใหม่จะงอกมาได้ไงถ้าไม่สมัครหรือถูกหลอกเข้ามา หรือซื้อข้อมูลมาใส่
    ของที่นี่ ถ้าจะมาใหม่เนี่ยจะมาจากเว็บของบริษัทที่ไทย (เจ้าของ บ. ชื่อลุง B)
    ทำเว็บเป็นเว็บรับสอนเล่นหุ้นต่างประเทศ
    ค่าคอร์สถูกๆ สัก คอร์สละ 100 usd เป็นคอร์สเบสิก คิดเป็นเงินไทยก็หลายพันแหละ
    และก็ถ้าไม่พอใจภายใน 14 วันรับประกันคืนเงินด้วย
    ถ้าคนมันอยากรวยแบบนี้ใครจะไม่อยากสมัคร และก็จ่ายตังค์มาเรียน
    พอข้อมูลลูกค้าสมัครเสร็จจ่ายเงินเรียบร้อยปั๊บ ข้อมูลจะถูกส่งเข้าระบบฝั่งทีมที่ฟิลิปปินส์ ไปโทรต่อ ลูกค้าจะงงๆ นิดหน่อยว่าคนละหน่วยงานกัน sales ให้โปรโมชั่นไม่เหมือนที่ขายไว้ตอนแรก
    แต่ในเวลานั้นถ้าลูกค้ายังพอรู้ตัวรีบขอคืนเงินโดยเร็ว โอกาสที่จะได้เงินกลับไปครบ ก็จะมีสูง
  • ใครที่โชคร้ายจ่ายเงินค่าคอร์สแบบโอนเงิน Promptpay มา
    หรือว่า ระหว่างเรียนมีการเทรดไปแล้ว หรือมีการขอถอนเงิน
    จะใช้สิทธิ์ขอคืนเงินยากหน่อย (2 กรณีหลังเรียกว่าหลุดประกันคืนเงิน 14 วัน)
    ก็ต้องขอหลักฐานยืนยันตัวตน KYC ด้วย
    ว่าตรงกับชื่อที่สมัครเข้าระบบมาจริงมั้ย
    มีบัตร ปชช หน้าหลัง  book bank ที่จะให้โอนเงินคืนกลับไป
    และก็บิลค่าไฟหรือค่าโทรศัพท์มือถือ 1 หรือ 2 เดือนล่าสุดเพื่อเช็คที่อยู่ปัจจุบัน
    ใครไม่ให้ตามนี้ก็คือ ยืนยันตัวตนไม่ผ่าน อดตังค์
    ใครขีดคร่อมสำเนาจนไม่เห็นตัวหนังสือ ก็ไม่ผ่าน
    ใครถ่ายรูปไม่ดี ลายน้ำราชการบังรูปหน้าตัวเอง หรือบังตัวหนังสือ ก็ไม่ผ่าน
    ใครเอาเอกสารหมดอายุมาส่งก็ไม่ผ่าน
    บิลเกินกำหนด 3 เดือนก็ไม่ผ่าน
    book bank ไม่ตรงกับชื่อที่สมัครก็สุ่มเสี่ยงไม่ผ่าน
    บัญชีไหนโอนแล้วไม่ผ่าน เสียเวลาต้องมาขอบัญชีที่ใช้ปัจจุบันอีกนะ
  • ก็มีเหมือนกันที่ไม่ให้บัตร ปชช มา ให้หน้าไม่ให้หลัง  หรือให้แบบขีดฆ่าบางส่วน ทำไงถึงจะส่งผ่านจะได้คืนเงินให้เขาไป เราก็ไม่อยากรั้งเขาไว้เหมือนกัน ก็มีการ make จากข้อมูลลูกค้าที่ให้มาครบใส่กับลูกค้าที่ให้มาไม่ครบ ทำแบบ เนียนๆ หน่อย (ใช้ photoshop) ส่งไปเช่นกัน ก็ผ่านนะ
    หลังๆมานี้ก่อนจะยุบทีม ทีม kyc มีกฎเช็ค exif กับไฟล์ ID ก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
  • ก่อนเพื่อนๆ เราจะบินมาที่เกาะนี้ก็มีคนไทยทำอยู่ก่อนแล้ว 2 คนคือ นาย N (เป็น trader และ support) กับ น้อง Y (เป็น sales) คนที่เทรนเราก่อนบินมาที่นี่ก็คือนาย N นี่แหละ
  • J เป็นคนฝรั่งเศสนะ เคยมีคดีค้าและเสพที่ฝรั่งเศสมาก่อน (อันนี้คนในทีมฝรั่งเศสลูกน้อง J เล่ามา)
  • J มีเมียอยู่แล้วที่ฝรั่งเศส ลูก 1
  • J หนีคดีมาที่นี่ละก็เลยมีเมียฟิลิปปินส์อีกคน ตั้งทีมไทยขึ้นมาบริหารกับเมีย
  • นอกเหนือจากออฟฟิศนี้ที่ J มีชื่อเป็นเจ้าของก็มีผับ LP ใหญ่มาก
    แต่พอมีโควิดก็ปิดตัวยาว ขาดทุน ลูกน้องก็ต้องดูแลอีกต่างหาก
  • ก็เพราะมีผับนี้น่ะแหละมั้งเมียฝรั่งเศสเลยเจอตัว J หลังจากที่ตามหาตัวมาหลายปี
    แต่พอเห็นอยู่กะเมียใหม่ก็.. อยากให้มันขาดจากกัน แต่จะทำยังไง ก็ปิ๊งไอเดีย
  • เมียฝรั่งเศส เอาคดีที่ยังไม่หมดอายุความของ J ไปติดต่อกับทางการฟิลิปปินส์
    ให้เป็นคดีระหว่างประเทศ
  • เมื่อไหร่ที่ J ไปมะนิลา วันนั้นก็จะเป็นวันที่ทั้ง J และเมียปินส์ได้พรากจากกันเพราะถูกตำรวจจับ
  • เหตุการณ์ที่ J ถูกจับเพราะเมียฝรั่งเศสนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก
    ดังนั้นคนในทีมฝรั่งเศสจึงไม่ได้รู้สึกอะไรและนั่งทำงานต่อไป เพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

คนทีมเราที่ไม่รู้โครงสร้างบริษัทที่แท้จริง
ส่วนหนึ่งวิ่งไปเก็บของเฉพาะที่จำเป็น
แล้วมารวมตัวที่ห้องตัวตั้งตัวตีของกลุ่ม
แห่จะไปสถานทูตกัน

แต่ในใจเราตอนนั้นคิดว่า ถ้าเราไปสถานทูตตอนนี้ก็คือ
เราก็คือโดนเรื่องวีซ่าผิดประเภทแล้วนะ
เรากับพี่ sales ในทีมไทยอีกคน ขอตั้งชื่อว่าพี่เอส
ในเวลานั้นเรายังไม่เห็นึวามเคลื่อนไหวของพี่เอส
เลยไปหาที่ห้อง
ก็มีความเห็นตรงกันสองคนว่าควรโทรคุยกับ hr ออฟฟิศที่ไทย
และพี่เอสก็สนิทกับคนในทีมฝรั่งเศส ก็ปรึกษาเรื่องนี้
ช่วยกันประสานงาน เผื่อเค้าจะติดต่อใครที่ support เรื่องนี้ได้

เราพบว่าพี่เอสเป็นเพื่อนกับลุง B เจ้าของ บ. ตั้งต้นที่รับสมัครลูกค้า
และ HR เองก็รู้จักกับลุง B
การมีเรื่องเข้าคุกของอิ J
และคนในทีมฝรั่งเศสที่คิดว่าปกติ บ. แม่จะยัดเงินให้หน่วยงานพวกนี้
และก็กลับมาได้เหมือนทุกครั้ง รอบนี้จะต่างออกไป

บ.แม่ video call หาทีมเราและหน.ทีม ฝรั่งเศส
ให้หัวหน้าทีมฝรั่งเศสรักษาการคุมทีมไทยชั่วคราว
ทีมไทยได้หัวหน้าใหม่ก็ต้องยังอยู่ทำงานต่อ

มีคนหนี 1 คนเพราะกลัว ขอให้ชื่อว่า apple
เรียกว่าหนีไปอยู่ที่อื่นที่ที่คนในทีมติดต่อไม่ได้
(คนนี้ก็ยืมตังค์คนอื่นไปเยอะแล้วก็หนีแบบนี้เลยทำให้ตามทวงเงินไม่ได้)
และติดต่อสถานทูตเองเพื่อขอกลับไทย

หลังจาก J เข้าคุกได้ไม่นาน น้อง sales ชื่อ M (พบตอนหลังว่าเป็น spreader) ไอเรื้อรังแล้ว
ไปคลุกคลีกะน้องอิ๊ง Sales อีกคนนึง ทีนี้ก็มีอาการคล้ายๆ กัน
เลยไปตรวจ RT-PCR ผลก็บวกจ้า ก็เลยกักตัวอัตโนมัติทั้งทีม
กักตัวแต่ก็ยังทำงานอยู่นะ มีคอม pc มาวางหน้าห้องให้ประกอบเอง
เพราะทีมไอทีที่นี่ กลัวติดโควิดเช่นกัน
กักตั้งแต่ประมาณ week 2 ของเดือน กพ. นับไป 14 วัน ตรวจซ้ำ
ใครเป็นลบทั้ง 2 รอบก็ออกมาข้างนอกได้
ถ้ามีคนติดเพิ่มก็กักตัวต่อแล้วค่อยตรวจซ้ำอีกที 14 วันถัดไปรอบหน้า
จำนวนคนติดทั้งหมด 7 คน
(รวมตรวจทุกครั้ง) [หัก ยัย apple กับน้องทำร้านอาหาร]
และก็รอดทุก seasons 4 คน
สิริรวมแล้วคือ กักตัวไปประมาณร่วม 3 เดือน
ถึงจะเริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศตามปกติ

ความโหดก็คือ ระหว่างกักตัวอยู่ ไม่ว่าจะป่วยขนาดไหน sales ก็ยังต้องโทร
และเน็ตฟิลิปปินส์มันห่วยมากเว่อ
และยังผ่าน vpn อีก ยิ่งห่วยไปกันใหญ่เลย
พอเน็ตแย่ก็โทรคุยไม่รู้เรื่อง
พอ sales บางคนจะ call ผ่าน line หาลูกค้า
เพราะเห็นว่ามันง่ายและ stable กว่า
ไม่ต้องผ่าน vpn ระบบโทรอันนี้ก็เก่าเกิน
ไม่มีที่ให้บันทึกหากมีการติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางข้างนอกระบบ
ติดตามไม่ได้ด้วย
พอยอดไม่มี ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่
แต่หัวหน้าก็ยังด่าและทำเป็นไม่สนใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ทีมเราบ่นกันในกลุ่ม whatsapp ว่า
อยากให้ทีมฝรั่งเศสติดโควิดทั้งทีมดูบ้างมันจะโทรได้มั้ย

ทีมไทยติดโควิดจากการประชุมในห้องแคบคราวนั้น
ทำให้ยอดขายตกหลายเดือนติดต่อกันเป็นประวัติการณ์

ส่วนการรักษาโควิดที่นี่เป็นแบบ home isolation
และต้องมีใบสั่งยาจากเพทย์เท่านั้นจึงจะไปซื้อยากินเองได้
ไม่มียาฟรีจากรัฐบาล
และถ้ายาขาดแคลนมากๆจะให้กินเป็นวิตามินแทน

ช่วงนั้นเชื้อโควิดกลายพันธุ์เก่งมาก
เชื้อที่พวกเราได้รับเป็นสายพันธุ์ใหม่สุด
https://www.rappler.com/nation/doh-region-7-says-covid-19-variant-of-concern-detected-cebu-city-february-2021/
มันกลายเป็นว่า ออกนอกบ้านก็ต้องระวังตัว
เพื่อนที่ติดโควิดฝากซื้อของ ก็ต้องยิ่งระวังตัว

เพื่อนไม่มียากินจะกินอะไรให้ทุเลา
ตอนนั้นเพื่อนขอให้ชื่อว่าพี่ D
ฝากซื้อขิงแก่ ขิงอ่อน น้ำตาลก้อน มาต้มดื่มแก้เจ็บคอ
ซื้อมาต้มสูตรนึงกินได้หลายวัน แล้วนางก็อาการดีขึ้นนะ
ส่วนยาอีกตัวที่มีคือฟ้าทลายโจรที่เอาเข้ามาโดยพี่เอส

และก็ มีคนขอไป on site ที่ไทย เพื่อไปรักษาเนื้องอกในสมอง
ระหว่างที่จะบินกลับไทยก็ต้องแวะมะนิลาก่อน ก็มาป๊ะกับยัย apple

เรื่องน่าเฟลก็มาเกิดอีกครั้ง
เมื่อ apple เอากระเป๋าเดินทางที่พี่เอสให้ยืม
ตั้งแต่บินจากไทยมาที่นี่
พร้อมกับเงินสดอีกจำนวนนึงของใครหลายคน ไปด้วย
และบอกกับคุณเนื้องอกว่าจะไม่ชดใช้และจะไม่คืนกระเป๋า
นางขอโทษทุกคนด้วย ส่วนของในห้อง เอาไปขายได้เลยไม่เอาแล้ว
(มีแต่ขยะทั้งนั้น)

คนบ่นเยอะที่สุดในเรื่องนี้คือนาย N
เพราะนางให้ apple ยืมตังค์เพราะเห็นว่าเป็นคนเหนือด้วยกัน
สุดท้ายต้องมาเก็บห้องเก็บซากให้อีกด้วย ทวงตังค์ก็ไม่ได้คืน

อะไรก็ไม่แย่เท่าคนในทีมโกงกันเองนี่แหละ ดีที่เรารู้ทัน
ของเราคือ เคยโดนแลก notebook อันห่วย
มาจากยัย apple ตอนเทรนที่ไทย ไปเอาคืนก็โดนแง่งใส่
เลยไม่ยุ่งละกัน ไม่อยากทะเลาะ
พอเล่าให้คนอื่นฟัง คนอื่นหาว่าเราคิดมาก
อืมเจอกะตัวดูละกันจะรู้



งานเราที่มีรายการยอดขอถอนเยอะตั้งแต่เดือนกุมภา
ถึงเดือนพฤษภาคม ยอดขายของทีมไม่ดีเท่าไหร่
จากเดิมเคยทำได้ 1 แสน ตอนนี้ได้ 5,000 ก็ดีใจแล้ว
ทำให้ไม่สามารถส่งรายการถอนเงินทั้งหมดให้ลูกค้าได้

มันส่งผลทำให้ Sales ไม่อยากโทรหาลูกค้า
เพราะเมื่อไหร่ที่โทรไปก็จะถูกด่าว่าโกงเงิน
เมื่อไหร่เงินที่ขอถอนไปจะได้สักที

มันก็จะเป็นเรื่องเดิมๆที่ต้องเจอ
แต่ถ้าไม่มี log ในระบบเลยก็จะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
จนกระทั่งวันนึงมีคำสั่งล้างท่อมา

ล้างท่อคืออะไร
มันคือ ส่งยอดถอนของลูกค้าที่ขอมาให้หมดทุกรายการ

เราจะบอกว่า
มันเป็นวันที่ทั้งทีมไทยค่อนข้างจะโล่งใจมากที่สุดตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเลย
ยกเว้นหัวหน้า เพราะถอนเยอะมากกกก แต่ยังไม่มียอดขายเลย
พอล้างท่อได้แค่ 3 วัน

ทั้งทีมก็ได้เข้าพิธีกรรมถามตัวเองว่าอยากทำงานที่นี่ต่อมั้ย
ก็มี 2 คนไม่อยากไปต่อ มีน้องนก กับน้อง M ที่เป็น Spreader
ก็จะให้ออกจากหอตามกำหนดวันที่สิ้นสุดการเป็นพนักงาน
เพราะหอที่อยู่ก็เป็นสวัสดิการพนักงานอันหนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้พี่เอสเสียความรู้สึก
เพราะว่าเมื่อตอนอยู่ไทย
พี่เอสกะน้อง M ตัวติดกันมาก ตอนนี้เปลี่ยนไป
มีอะไรไม่คุยกันแม้แต่จะไปก็ไม่บอกสักคำ

1 คนที่เป็น support เหมือนกวาง
ขอกลับไปออนไซต์ที่ไทยเพราะแม่เป็นมะเร็ง
แต่ก่อนไป ไม่ได้บินต้องเลื่อนตั๋ว
เพราะผลโควิดรอบสุดท้ายยังเป็นบวกอยู่แบบไม่แสดงอาการ
เลยต้องกักตัวต่อไป พอกักตัวจนผล rt-pcr เป็นลบ ถึงจะได้บิน
ไปถึงไทยตรวจเจอซากเชื้อก็ยังต้องอยู่รพ กักตัวต่ออีก 14 วันอีกนะ
กว่าจะได้กลับบ้านจริงๆ ใช้เวลานานมาก

สรุปถึงตอนนี้ อยู่ไทย 2 อยู่ปินส์ 7

และก็มีดราม่าพันทิปเรื่องนึงคือ
เป็นเรื่องของเจ้าของกระทู้ตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา
รวมตัวคนที่ไม่ได้เงินจากการขอถอนเงินจากระบบนี้

คนที่เจอกระทู้นี้คือพี่เอส
เขาก็มาปรึกษากวาง ก็เป็นโคนันกันใหญ่
เอามือถือตั้งอวตารเข้ากลุ่มไลน์
ไปแกล้งตอบ แกล้งถามว่าเป็นลูกค้าของใครบ้างที่ไปร้องเรียน

ส่วนใหญ่พอรู้ว่าเป็นลูกค้าของใครก็จะให้ sales คนที่ติดต่อกับลูกค้าคนนั้นโทรหาก่อน
ถ้าไม่ ok ก็ค่อยเปลี่ยนคนคุย แต่ส่วนมากจะเป็นการคุยเพื่อต่อเวลามากกว่า
คนไหนที่เหตุผลควรถอนด่วนก็จะให้เป็นกรณีพิเศษ

เอาเข้าจริงมันก็ไม่ควรมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นรึเปล่านะ
ถ้าให้ถอนได้ก็ควรถอนได้สิจริงมั้ย

ทีนี้กลุ่มไลน์นี่แหละ
พอกวางเข้ากลุ่มไลน์คนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของกลุ่มเข้าไป
(ชื่อเดียวกันกับกลุ่ม)
มันขึ้นเป็นเบอร์โทรพี่คนนึงในทีม

(กวางมีมือถือ 2 เครื่อง เบอร์ไทย 1 เบอร์ปินส์ 1
เครื่องที่ใช้แอดไลน์กลุ่มเป็นเครื่องที่ใช้เบอร์ปินส์
ก็จะเมมเบอร์คนที่มีปฏิสัมพันธ์ที่นี่ไว้ในนั้น)


มันขึ้นชื่อพี่ D


จากเรื่องนี้สรุปได้ว่า
พี่ D สมรู้ร่วมคิดกับลูกค้าตำรวจอายุน้อยคนหนึ่ง
ตำรวจคนนี้ก็ลูกค้าเก่าของพี่เอสด้วย มีประวัติติดหนี้ credit line ไม่มาก
แต่ลองยกลูกค้าให้พี่ D คุยดูเพราะเห็นศักยภาพว่าน่าจะเจรจาได้
แต่นานวันก็ไม่ยอมชดใช้สักที
ลูกค้ามองว่าได้ผลตอบแทนแล้วทำไมถึงถอนไม่ได้
เลยเอาไปคุยกัน

พี่ D เองมีลูกค้าแนวนี้หลายคนที่คุยแล้ว
ไม่เคลียร์เรื่องยืนยันตัวตนให้จบ มองว่าน่ารำคาญ
แล้วตั้งกลุ่มไลน์นี้ขึ้นมา
กะว่าจะให้ลูกค้ากลุ่มนี้เข้ากลุ่มไลน์ coinbase ของแก
ไปลงทุนอันนี้แทนละแกสอนเทรดเองผ่านแอพ bitkub

แต่ดันมาถูกจับได้ซะก่อน
เพราะพี่เอส คุยเจรจากะลูกค้าตำรวจคนนี้ได้
และมี contact skype กันอยู่แล้ว
เลยขอคุยว่า กับพี่ D คนนี้ เป็นอะไรกันเชิงชู้สาวมั้ย

ถ้าบอกตามจริง เรื่องยอดหนี้ที่ติดค้างจะเคลียร์ให้หมด
และไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก

ลูกค้าตำรวจบอกพี่เอสว่า ไม่มีอะไรเชิงชู้สาวกับพี่ D
แถมพี่ D เคยส่งรูปจริงให้ลูกค้าดูด้วย
พอได้หลักฐานมาก็คือ บริษัทดำเนินการคืนเงินให้
ตัดเครดิตไลน์ที่ลูกค้าเคยยืมไปออกให้หมดให้ลูกค้าคนนี้พ้นจากการเป็นลูกค้า
และเคลียร์เรื่องที่ก่อขึ้นให้เรียบร้อยด้วยว่าได้รับเงินคืนแล้ว

เรื่องนี้พอคนในทีมรู้ก็สะดุ้งเฮือก
เฮ้ย ถ้าเคยบอกว่าเอาตัวรอดได้ เก่งอย่างนั้นอย่างนี้
ก็อย่าทำให้คนในทีมเดือดร้อนสิ

พี่ D เป็นคนแรกในทีมที่ถูกไล่ออก

หมดเรื่อง D แล้ว


มีเรื่องคุณ K ล้มในห้องน้ำและจะกลับไทย
แต่ละคนอยากกลับไทยด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
ไม่อยากเสียรายได้ในตอนนั้น
แต่กว่าจะได้กลับมาที่เกาะนี่ก็ยากอยู่
เพราะไปแต่ละครั้งก็ต้องกักตัวทั้งขาไปและขากลับ

เรื่องคุณ K กลับไทยก็เลยค่อนข้าง surprise สำหรับเรานิดหน่อย
ว่าทำไมเร็วแบบนั้นและไปสองคนด้วย
คือไปทั้งคุณ K กะเพื่อนอีกคนที่เป็น Sales คู่หูด้วยกัน

มารู้ทีหลังว่า คุณ K ท้อง แล้วโดนเท
ก็เลยพยายามเอาออกด้วยการถามคนในทีมฝรั่งเศสว่า
มีที่ไหนรับทำแท้งมั้ย
เรื่องนี้คนในทีมฝรั่งเศสเลยรู้ก่อนคนในทีมไทย
ตอนหลังตกเลือดได้หัวหน้ามาช่วยพาส่ง รพ

แต่ก็ร่อแร่เต็มที ไปถึงไทยก็แอดมิตเลย น้องในท้องไม่รอด
ก็ on-site ที่ไทยไปทั้งคู่

ตอนนี้เหลืออยู่ปินส์ 4 คน

ดราม่าระรอกใหม่มาอีกแล้วเป็นดราม่าจากลูกค้าพี่เอส
(พี่เอสดูแลลูกค้า vvip พอร์ตยักษ์ทั้งหลาย)

เรื่องนี้เป็นของลูกค้าพอร์ตใหญ่ที่สุดในทีมไทย
เงินทั้งหมดในพอร์ตของนางประมาณ 3 แสน USD
เป็นลูกสาวนายพลทหารบก
และลากเพื่อนรวมถึงน้องชายมาเล่นด้วยอีกรวม 5 คน
เงินเดินสะพัดจากกลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 5 แสน USD

เรื่องจะไม่ใหญ่ขนาดนี้ถ้า
1. ไม่มีคำสั่งจากในคุกว่า ห้ามถอนเด็ดขาด
2. หัวหน้าฝรั่งเศส ไม่พูดจาแทะโลมใส่ลูกค้าคนนี้
3. หัวหน้าฟิลิปปินส์ไม่ใจเย็นรอให้เรื่องบานปลาย
รีบตอบลูกค้าให้ใจเย็นลง
4. พี่เอสพูดคุยกะลูกค้าสนิทมากเกินไป เผลอหลุดชื่อจริงคนในทีม
จนทำให้ลูกค้าสืบสาวข้อมูลส่วนตัวของพี่เอส
และข้อมูลการบินของนาย N รอบล่าสุดที่ลาพักร้อนไปไทย
และเพิ่งกลับมาถึงปินส์เมื่อไม่นานมานี้เอง


ลค. ท่านนี้บอกว่าถ้าให้ถอนผลกำไรไม่ได้
และเพื่อนๆ เขาที่เคยลงทุนไว้กับพี่เอสตามสัญญา
และถึงเวลาที่ต้องได้รับผลกำไรตามที่ขอถอนไป แต่ยังไม่ได้รับ
ให้จัดการให้เรียบร้อยภายในวันที่ระบุไม่งั้นจะแฉลงสื่อ

ตอนแรก พี่เอสก็คิดว่า ลค พูดเล่นเพราะก็คุยกันมานานแต่ว่า
พี่เอสสัญญาว่าจะเอาสายให้หัวหน้าใหญ่ที่สุดในออฟฟิศนี้คุยแต่ก็ไม่สำเร็จสักที
เหมือนบารมีจะคุยมันไม่ถึงน่ะแหละ
ก็เลยดูเหมือนสัญญาไม่เป็นสัญญาน่ะ เสียเวลาลูกค้าด้วย

แล้วลูกค้าแบบนี้ ลงทุนเยอะ แน่นอนว่าไม่ใช่งินตัวเอง 100%
ถ้าพูดอะไรกับคนอื่นแล้วไม่เป็นคำพูดเค้าจะเสียชื่อและเสียหน้ามาก

แล้วถ้าพอร์ตนี้มีแววถอนไม่ได้ขึ้นมาทั้ง port จะทำยังไงล่ะทีนี้
มันไม่แปลกที่ลูกค้าจะทำแบบนั้น

คนที่อยู่ไทย ทำยังไงกัน..
มีคนโทรมาหาคุณ K กะเพื่อนเขา (อยู่คนละห้องกัน)
เช็ครายบุคคลเลยว่าใช่คนนี้ชื่อนี้อยู่นี่รึเปล่า

เจอแบบนี้ก็สยองนะ

พี่เอสล่ะ
ลค. ส่งรูปเป็นรูปหน้าบัตรปชชขยายใหญ่ชัดๆ ที่มีตัวหนังสือบนหน้าแดงๆ
ด้านล่างเป็นรายละเอียดชื่อจริงพี่เอสพร้อมที่อยู่ พร้อมถามว่า
งั้นขอยืนยันตัวตนหน่อยนะคะว่าเอกสารนี่ถูกต้องมั้ย

พี่เอสร้องไห้กลางออฟฟิศเลย และขอกลับห้องไม่ออกมาอีก
บอกว่ากลัวคนของลูกค้าคนนี้จ้างคนมาจับไป
ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยอะไรให้นางได้อีกแล้ว

เรา นาย N และน้องอิ๊ง เห็นรูปที่ ลค. พี่เอสส่งมาให้ใน skype
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
มันคือแพทเทิร์นเดียวกับ การออกประกาศจับใน สน.   เฮ้ย!?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พ.ค. 2022, 01:01 น. โดย กวางจ้ะ » บันทึกการเข้า
โอ้โห... เล่าได้ละเอียดเป็นฉากๆ เลยครับ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตามไปด้วย กระท่อนกระแท่นอยู่กันเป็นกลุ่ม จะรอดกันไหมทีนี้ ลุ้นตามไปด้วยครับ ขออภัยมาอ่านช้าไปหน่อยครับ
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
โหย.. อ้านแล้วได้แต่คิดว่าอะไรกันเนี่ยยย
ไม่เล่าเรื่องตัวเองแล้ว ฮ่าๆ ฮือๆ
บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
โหย.. อ้านแล้วได้แต่คิดว่าอะไรกันเนี่ยยย
ไม่เล่าเรื่องตัวเองแล้ว ฮ่าๆ ฮือๆ

ผมอุตส่าห์เตรียมโซดา ...  เศร้า
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
ขอบันทึกไว้หน่อย..

งาน
ทำงานบริษัทนี้มา 4 ปี 11 เดือนแล้ว เรียกได้ว่าร่วม 5 ปีมานี้ ทำอยู่โครงการเดียวเลย (มีโครงการอื่นผ่านมาบ้างแหละแต่ผิวๆ มาก)

ที่ต่างจากประสบการณ์การทำงานมาทั้งคือ
- ไม่เคยอยู่ในทีมประมูลงานของรัฐมาก่อน (งานเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน / PPP: Public Private Partnership)
- ไม่เคยทำงานแบบที่ต้องหาข้อมูลเยอะขนาดนี้มาก่อน (แต่ละวันทำงาน เหมือนกลับไปเรียน ป.โท อีกครั้ง)
- ไม่เคยทำงานที่มีขนาดใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน ทั้งในแง่พื้นที่โครงการ และมูลค่าโครงการ (เฉพาะส่วนที่รับผิดชอบ ก็ใหญ่ประมาณพื้นที่ค้าปลีกของ CTW x2)
- ไม่เคยทำงานโดยมีผู้มีส่วนได้เสียเยอะขนาดนี้มาก่อน ซึ่งมันไม่ใช่แค่การต้องดีลกับรัฐ หรือสภาวิชาชีพ หรือเอกชนที่เกี่ยวข้อง แต่มันใหญ่โตไปจนถึงผลักดันมาตรฐานใหม่ของกฎหมายที่มีอายุมากกว่าตัวเราเอง แต่ยังถูกบังคับใช้มาจนทุกวันนี้
- ไม่เคยต้องอยู่กับโครงการอะไรยาวนานขนาดนี้มาก่อน (จนตอนนี้ยังอยู่ใน Schematic Masterplan Design อยู่เลย)

ความโชคดีคือได้อยู่ในหน่วยงานที่ทำงานบนโจทย์ที่ท้าทาย (มากกว่าที่ลิสต์ไว้ข้างบนอีกเยอะ) และอยู่ในทีมที่ดี
พี่ๆ ให้การสนับสนุน ส่งเสริม และเป็นโรลโมเดลที่น่าสนใจ ส่วนน้องๆ ก็มีสกิลเซ็ตหลายอย่างที่คนรุ่นเราตื่นตาตื่นใจ
ทำให้คนที่อยู่ตรงกลางอย่างเรานั้นก็แอบร้อนๆ หนาวๆ ไม่น้อย

เงิน
- รายได้แทบจะเรียกว่าแช่แข็งมาสองปีแล้ว ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ก็ไม่มีโบนัส ส่วนเงินเดือนคือปรับแบบแผ่วมาก ยังดีที่อยู่ในองค์กรที่ไม่มีนโยบายลดเงินเดือน หรือลดพนักงาน
- ซึ่งก็อดรู้สึกไม่ได้เวลารู้สึกว่าบางคน ทำตัวเหมือนไขมันที่พอกอยู่ในหลอดเลือด คอยจะอุดตันและทำให้สุขภาพองค์กรที่ย่ำแย่ลง
- ยังดีมีวิชาชีพติดตัว ก็พอจะหาค่าขนมกินได้อยู่เรื่อย (ตรงนี้ใครสนใจทำโครงการอสังหาฯ สามารถคุยเรื่องบริการกันได้นะฮะ ส่วนงานออกแบบก็ยังรับนะครับ)
- เป็นช่วงชีวิตที่เริ่มมีวินัยในการลงทุนที่ดีขึ้น (ดีขึ้นไม่ได้แปลว่าดีแล้ว) ส่วนวินัยทางการเงิน ยังค่อนข้างเลวทรามไม่แพ้เก่า ที่ไม่เลวลงไปกว่าเดิม เพราะตอนนี้หนี้สินเยอะ เวลาจะใช้เงินเลยมีสติขึ้นมากว่าแต่ก่อนบ้าง เท่านั้นเอง

ความหวัง
ระยะสั้นสุด คืออยากเลื่อนตำแหน่งแหละ เพราะขยับอีกตำแหน่งเดียวก็จะมีสวัสดิการเพิ่มขึ้นแบบจับต้องได้ ชีวิตราบรื่นขึ้นแน่นอน

ระยะกลางๆ คืออยากให้การเปลี่ยนถ่ายต่างๆ ในชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้เอง เรื่องที่มีส่วนร่วมในการตัดสิน ไปจนถึงเรื่องที่อาจจะไม่สามารถมีอำนาจในการตัดสินใจ

ระยะยาว คืออยากมีความมั่นคงทางการเงินสักที เพราะตอนนี้จัดอยู่ในกลุ่มคนแบบหยุดทำงานแล้วอดตายได้เลย..

อนาคต
คนอื่นเขา coming of age กันตอนอายุเท่าไหร่กันนะ..
ผ่านวันเกิดอายุ 39 ไปได้สักเดือนนึง ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ไม่รู้คือความกลัว ความกังวล ความเครียด หรืออะไร..
คือก่อนวันเกิดอะ ความรู้สึกเรามันประมาณ 32-33 เองนะ ทำไมพอ 39 ปุ๊บ เฮ้ย มันรู้สึก 39 เฉยเลยอะ งงมาก ซึ่งปรับตัวไม่ทัน ไม่สิปรับความรู้สึกไม่ทันมากกว่า

จริงๆ เหมือนบรรลุเป้าหมายที่เคยคิดว่าอยากทำให้ได้ก่อน 40 ไปหลายอย่างแล้วนะ แต่กลายเป็นตอนนี้มีคำถามในหัวหลายอย่าง ว่าเอ๊ะเราลืมบางอย่างไปมั้ยนะ เอ๊ะบางอย่างเราจัดลำดับความสำคัญผิดมั้ยนะ เอ๊ะอันนั้นไม่ทันแล้วแน่ๆ เลย.. ควรปล่อยเลยมั้ยนะ หรือลองไฟต์เลยดี แล้วถ้าไฟต์จริงๆ เนี่ย ไม่รู้สึกพร้อมเลยอะ ทำไงดี รุงรังวุ่นวายไปหมด

อีกอย่างนึงที่เพิ่งตระหนักขึ้นมาตอนนี้คือ ใช้ชีวิตมาแบบยังไม่เคยมีแผนเกษียณเลย
ต้องเริ่มคิดละว่าตอนแก่จะเอาเงินที่ไหนใช้...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ก.ค. 2022, 10:12 น. โดย Buob Marley » บันทึกการเข้า

<a href="http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf" target="_blank">http://img3.f0nt.com/flash/66d37d0393ee1ab1e2e55182dfabf34e.swf</a>

A Long Patience: Wish Us Luck (and Happy Anniversary)
เดี๋ยวพอถึง 40 ปั๊บ ก็จะ…


ฮ่าๆ ฮือๆ รู้สึกเหมือนเดิม ทีเถอะ มันก็แค่ตัวเลข
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
จริงๆ นั่นละ ช่วงจะก้าวผ่านหลักสิบแต่ละหลัก มันหวิวๆ และจะเจอเซอร์ไพร้บางเรื่องด้วย ไม่ว่าดีขึ้นหรือถดถอยลง
ก็คงต้องใช้เวลาจนกว่าจะขึ้นหลักสิบใหม่อีกหน ไม่แปลกที่หันมาเข้าวัดเข้าวาบ้าง เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวและจรรโลงจิตใจครับ
บันทึกการเข้า

สู่ความโดดเดี่ยว อันไกลโพ้น
หน้า: 1 ... 606 607 608 609 610 611 612 [613] 614 615
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!