ขอเล่าเส้นทางการฝึกภาษาของเรา เพราะเดาว่าเราน่าจะพื้นฐานคล้ายกันกะแอน และคนไทยนับล้าน
คือเรียนมาเยอะสาดดด (พี่ท็อปตลอดด้วย) พอให้ใช้จริง เครียดมาก กลัวสารพัดจะผิด
ทำงานทีแรกตั้งใจเลย จะทำงานกับคนไทยเท่านั้น หลายปีผ่านไป เออ ไม่เจอบริษัทไทยที่ดีๆ เลยแฮะ
เลยตั้งเป้าใหม่ว่า กูจะทำบริษัทฝรั่งเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่กล้าพูด กล้าอ่านอะไรทั้งนั้น แต่คิดว่าเอาวะ ไม่ลองไม่รู้
วันแรกที่ ที่ทำงานปัจจุบันนี้ติดต่อมาหา ก็คือ HR โทร.เข้ามือถือ แล้วขออนุญาตสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
(คงเพราะดูประวัติแล้วภาษาน่าจะไม่รอด เขาเลยกรองก่อน) ปรากฎว่าฟังออกหมดแหละ เพราะดูหนังฟังเพลงภาษาอังกฤษมาตลอด
แต่ตอบไม่เป็นประโยค ตอนนั้นนั่งอยู่ในรถกับเพื่อน คุยอยู่นาน
พอวางสายเสร็จ เพื่อนบอกว่า มึงพูดแต่คำนามเต็มไปหมด ไร้การเชื่อมต่อของประโยคโดยสิ้นเชิง
๑. ปัญหาของการให้เรียนท่องศัพท์มาแต่เด็ก สุดท้ายมันเหลือแต่คำนามหรูๆ ท่องได้หมด ไม่รู้จะเอาไปใช้ยังไง
ตอนมาสัมภาษณ์จริงก็แทบไม่ได้พูดเลย ฟังอย่างเดียวอีกนั่นเอง
เลยได้งานนี้มาโดยไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องเป็นราว
พอเข้ามาทำ เจอปัญหาหนักมาก ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย ตูตายดิ
อาทิตย์แรก ซื้อหนังสือหัดพิมพ์อังกฤษ ๑ เล่ม กับบทสนทนาทางโทรศัพท์ ๑ เล่ม เอามาวางไว้ใกล้มือ
ภายในเดือนแรก พิมพ์สัมผัสได้ละ และก็เริ่มเก็บรูปประโยคที่เขาใช้ตอนอีเมลกัน
เก็บไว้ก๊อบใช้นี่แหละ เพราะเขียนภาษาธุรกิจไม่เป็นเลย
จากนั้นยังต้องการพัฒนา Writing-Reading skill อย่างเร็ว เลยไปสมัครเล่นเขียนโปสการ์ดที่ Postcrossing ซึ่งเราชอบอยู่แล้วด้วย
เป็นการส่งโปสการ์ดหาคนในโลกเนี้ย ส่งกันทุกวี่วัน ได้รับทุกวี่วัน ชอบมาก
ระหว่างนั้นก็เริ่มออกเดินทาง เพราะเพิ่งเคยได้หยุดเสาร์อาทิตย์เป็นครั้งแรกในชีวิตทำงาน
๒. ปัญหาของการเรียนกับครูไทยมาตลอด แถมครูส่วนมากจะแบบ มึงผิด มึงโดนหักคะแนนนะ ทำให้เกิดโรคกลัวฝรั่ง กลัวผิด กลัวอายหน้าแหก
- โปสการ์ดทั่วโลกที่ได้รับจาก Postcrossing แม่งไม่ได้เขียนถูกเล้ย บางใบมาจาก USA ยังเขียนไม่เต็มประโยคดีด้วยซ้ำ แบบภาษาพูดมากๆ
บางประเทศลายมือส้นตีนเขี่ยมาก และที่เราเขียนไปผิดๆ ถูกๆ ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียว บอกว่า มึงเขียนผิดนะ ไม่มี
ทุกคนเข้าใจว่าเราเขียนอะไร และข้ามไอ้เรื่องผิดๆ ถูกๆ ไปเลยนะ
- ตอนเที่ยวแรกๆ ยังไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษเลย จะพูดทีนึงเหงื่อแตกพลั่กๆ
แต่แล้วครั้งนึงตอนเที่ยวอยู่เวียดนาม เห็นแก๊งฝรั่งเก้ๆ กังๆ ถ่ายรูป เลยกลั้นใจถามไปว่า May I help you?
ฝรั่งพยักหน้าหงึกๆๆๆ เราก็เอากล้องเค้ามา ถ่ายให้ แล้วก็บอกว่าอีกรูปนะ วันทูทรี
ตอนคืนกล้อง ฝรั่งพูดว่า แต๊งกิ้ว แบบไม่ชัดสุดๆ เราย่ามใจตอบกลับไปว่า You're welcome. แบบที่ไม่เคยดัดสำเนียงนี้มาก่อน
วันนั้นคือวันที่โลกเปลี่ยนไป ฝรั่งหัวทองไม่ได้พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคนนี่หว่า
แล้วกูกลัวใครอยู่วะเนี่ย บ้าไปแล้ว
๓. คนไทยขี้เกรงใจ กลัวคนฟัง คนรับสารลำบากใจ กลัวเค้าจะเสียเวลา กลัวนู่นนี่
ทำงานที่นี่ ปีแรกก็โดนของแรง นั่นคือชาวสิงคโปร์ เราดีลงานกับสิงคโปเรี่ยนเยอะมากๆ
เค้าพูดฟังยากม๊ากกก แล้วรัวมากด้วย เพราะเค้าพูดอังกฤษกันในชีวิตประจำวัน (แต่เสือกพูดไม่ชัด.. หล่าาาา)
ทุกครั้งที่มีสายต่างประเทศโทร.เข้า.. เครียดกุมขมับรอเลย พอรับสายปั๊บเค้าก็ แพร่บๆๆๆๆ พูดรัวใส่
แล้วก็เร่งๆ ว่าให้ตอบไวๆ เพราะเค้าโทร.ตปท.มานะ เราก็จะแบบ เอ่อๆๆ พลีส อีเมวมี I'm not sure I understand.
เจออย่างนี้ตลอด เป็นทุกข์มาก
แล้ววันหนึ่ง สิงคโปเรี่ยนโทร.มาอีกแล้ว กำลังหงุดหงิดอยู่นิดๆ วันนั้นคิดว่า วันนี้กูต้องชนะ
พอเปิดประเด็นปุ๊บ เราก็ชิงใส่ก่อนเลย คือพูดๆๆๆ ไม่ได้ถูกเลย สำเนียงบรรลัยมาก แต่กูไม่แคร์แล้ว
ยูก็ดูดีสดูแดทนะ ยูโอเค้? รัวๆๆ ใส่มันไปบ้าง ชาวสิงค์เงียบไปพักนึงแล้วตอบกลับมาอ่อยๆ ว่า
พลีส อีเมวมี โอเค้?
จากวันนั้นความกลัวพูดผิด ที่เคยเหลืออยู่ก็หายไปหมดเลย
ทุกวันนี้บอกเลยว่า ไม่ได้ใช้ภาษาถูกหมดนะ ยังผิดอยู่ตลอด แต่สื่อสารได้ คุยเล่นก็ได้ ชอบด้วยซ้ำไป
เวลาออกไปเที่ยวถ้าเจอต่างชาติตกยาก ก็จะพยายามช่วย เม้ามอยบ้าง คุยได้เยอะ หลายเรื่อง การเมืองก็คุย
บางคนก็ชมว่า เฮ้ยยูภาษาดีจัง นี่ไม่อยากจะบอกเลยว่า ตกระกำลำบากมาขนาดไหนกว่าจะกล้าคุยกับพวกยูได้ขนาดเนี้ย
๔. หาอะไรที่เป็นความชอบจริงๆ มาจูงใจให้ใช้ภาษาอังกฤษ
พี่อ่าน Harry Potter กะ Hunger Games แล้วก็หนังสือท่องเที่ยว พวก Text book, documentary ดีๆ
เขียนและอ่านโปสการ์ด คุยเรื่องท่องเที่ยว พยายามเขียนบล็อกภาษาอังกฤษอยู่ตอนนี้ เขียนได้ช้ามาก ปีละ ๒ ตอน
มี penpal นานาชาติ สนุกดี
เวลาได้คุยกับชาวต่างชาติ มันสนุกมากนะ มันเปิดโลกมากๆ
แต่ปัญหาแรกๆ ที่เจอคือ การคุยกันมันต้องมีทั้งสองฝ่ายใช่ไหม
มีคนเปิดประเด็น มีคนตอบ ปัญหาก็คือ การตั้งคำถาม?
ให้คิดประโยคคำถามมันตื้อๆ ประโยคบอกเล่าจะดูง่ายกว่า
ถ้าเราจะพูดแต่ประโยคบอกเล่า เราก็ไม่มีวันจะเปิดประเด็นได้ใช่มั้ย ได้แต่ตอบเค้าอย่างเดียว มันก็ไม่สนุกสิ
พี่ใช้วิธีอ้างอิงจากชื่อเพลงหรือเนื้อเพลงที่เราชอบ เช่นอยากถามว่า เคยมาเมืองไทยรึเปล่า
Have you ever seen the rain นี่เพลงโปรดเลย เราก็จะถามว่า Have you ever been in Thailand?
(ถ้าชอบ Rod Steward ก็ใช้เพลง Have I told you lately that I love you ก็ได้)
ถ้าจะถามจำนวน สมมติแมวอะ How many cat .. เฮ้ยตรง cat นี่มี s มั้ยวะ เอ้าร้องเพลงในใจ..
How many roads must a man walk down.. (เพลง Blowin' in the wind) โอเครู้ละต้องมี s
จริงๆ มีเรฟเฟอเร้นอีกเยอะ แต่ตอนนี้นึกไม่ออก ฮ่าๆ
ไอ้ที่ยังใช้มั่วจริงๆ อยู่ทุกวันนี้คือพวก preposition - in on at อะไรพวกนี้ งงตลอด แต่ไม่ค่อยแคร์
ปล. ไอ้วิธีจำจากเพลงนี่ อย่าใช้เพลงสมัยใหม่นะ มันแสลงกันเยอะ เอาเพลงเก่าๆ ละกัน มันเต็มประโยคดี
ไดอะล็อกหนังที่ชอบก็ท่องๆ ไว้ดัดแปลงใช้ได้เช่นกัน