กว่าจะคิดเรื่องอะไรแบบนี้ได้ ตูก็ผ่านปีหนึ่งไปแล้วครึ่งปี
ประเทศไทยเลยเสียงบประมาณไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้
เพื่อพยายามหลอมให้นักศึกษาคนหนึ่งจบมาเป็นสถาปนิก
แต่มันไม่อยากเป็นโดยเด็ดขาด ตั้งแต่รู้ว่ามันไม่เอาทางนี้แน่แล้ว
แล้วนักศึกษาคนนั้นก็จบมาเป็นทหาร
บอกเล่าไปล้านรอบแล้ว ว่าตัวตูเองคงไม่คิดจะต่อโทหรือต่อเอกโดยเด็ดขาด
ศรัทธาในระบบการศึกษาแบบบ้านเรามันหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไอ้ครั้นจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนามันก็ไม่ใช่วิถีของเรา (แปลเป็นไทยว่าไม่มีตังค์)
เลยตั้งใจไว้ว่าเรียนรู้จากประสบการณ์ดีกว่า มันตรงตัวกว่าเยอะเลย
แล้ววันที่ 1 มีนาคม 2551 ตูก็เพิ่งมารู้นี่แหละครับ
ว่าไอ้สิ่งที่เราเป็นอยู่นี่ เด็กอนุบาลสมัยนี้เขาก็เป็นอยู่เหมือนกัน
ฮ่วย กระจู๋นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่จู๋ ที่กดเข้ามาแล้วต้องกด "เดี๋ยวค่อยมาอ่าน"
ไม่งั้นก็คงยาว งานไม่เสร็จแน่ๆ -- นี่เพิ่งเสร็จเลยมานั่งดู แล้วก็เสียเวลาจริงๆ ด้วยครับ
เรื่องหลักวิธีคิดของโรงเรียนนี้ มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก
ดูคลิปนั้นไปก็พลันนึกถึงระบบอุตสาหกรรมการศึกษาของเรา
ที่มีโรงงานใหญ่ๆ หลายๆ โรง แข่งกันผลิตคนออกมา ปั๊มๆๆๆ ปึงปังๆ
แล้วก็เอากำไรจากการขายคนเหล่านั้นมาหล่อเลี้ยง
เพื่อเพิ่มผลประกอบการและขยายสาขาโรงงานตัวเอง
พอเจอไอ้อะไรแบบนี้
มันเหมือนเราเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนแบบหัตถกรรม..มาแนวแฮนด์เมดเลยเว้ย
ใครอ่านจู๋นี้มาจนถึงตรงนี้แล้วก็คงปรับเกลี่ยความคิดจนคล้ายกันแล้วนะครับ
จะได้ไม่ต้องสาธยายให้มันซ้ำอีก
แต่ที่เป็นคำถามค้างคายังไม่ได้รับคำตอบก็คือ
แล้วเด็กที่จบจากที่นี่มาเนี่ย มันจะไปต่อในระบบมหาลัยได้เหรอ
มันจะไปอยู่ในสังคมที่มีแต่บริษัท ที่รับสมัครงานโดยเลือกเอาจากวุฒิได้เหรอ
ถ้าเกิดได้ทำงานขึ้นมาจริงๆ มันจะคุยกะเพื่อนร่วมงานรู้เรื่องสักกี่เรื่องกันเหรอ
หรือเวลาเขาพูดกันเรื่องเด็กคณะนั้นนุ่งกระโปรงสั้น
ใส่เสื้อร่องดุมกว้างโชว์นมขาวจั๊วะ มันจะเก็ตเหรอ
แล้วก็พาลให้นึกถึงวงการคอมพิวเตอร์ครับ แม้เป็นอุปมาที่ออกจะไกลตัวไปหน่อย
แต่เหลือเชื่อที่แนวคิดมันสอดคล้องกันกับระบบการศึกษาเลยนะครับ
ผิดกันที่คอมพิวเตอร์มันเถียงไม่ได้ มันเกรียนไม่ได้
และมันไม่ใช่มนุษย์ผู้เปี่ยมไปด้วยข้อแม้ พอแตะหน่อยร้องแอ๊ แตะอีกก็ร้องแอ๊
คือก่อนหน้านี้เรามีแต่วินโดวส์กันครับ
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสามัญชนในโลก ร้อยละร้อยใช้วินโดวส์ (ร้อยละแปดสิบนั้นเถื่อน)
เราไม่ได้สนใจอะไร เพราะมันดีอยู่แล้ว ถึงมันจะมีปัญหาส้นตีนสารพัดอย่างที่รู้ๆ กัน
คือเราเกิดมากับมัน เรียนรู้มัน โรงเรียนก็สอนเพาเวอร์พอยต์ กับโฟโต้ช็อปเป็นข้อบังคับ
เราก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกอะไำร แต่ปากก็พร่ำบ่นถึงความห่วยของระบบ มิเว้นวาย
จนวันหนึ่งมีลินุกซ์คลอดออกมา แล้วโลกก็เปลี่ยนไป
เราได้รู้ว่าตอนนี้มันมีอีกหลากหลายแมริกซ์ ที่เป็นคู่ขนานกับระบบที่เราสัมผัสอยู่
แล้วมันก็ดันปฏิวัติความมีอยู่ของระบบที่มี ที่ฝังรากลึกสุดหยั่งและเหิมเกริมมาโดยตลอด
ในหลายวงการ ในหลายประเทศ เริ่มแก้ปัญหาสารพัดสารพันด้วยการหันไปฝั่งโอเพนซอร์ส
บางประเทศตั้งลินุกซ์เป็นโอเอสแห่งชาติ และระดมนักพัฒนาหัวก้าวหน้ามาเล่นกะมันจริงจัง
ทำให้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งของโลกซอฟต์แวร์เริ่มหดลง
แต่ในบางประเทศ ที่บักอุ้ยบอกว่าเราเพิ่งอยู่ที่บันไดขั้นแรกตา่ม
ทฤษฎีบันไดห้าขั้นของมาสโลว์ในวงการการศึกษาและวงการไอทีระดับผู้กำหนดนโยบาย ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเรื่องแบบนี้
เรายังอยู่กับวินโดวส์ XP แบบเถื่อน (แก้ WGA เรียบร้อย) โดยไม่ได้สนใจว่ามันจะผิด
เพราะคำว่าผิดยังไม่อยู่ในพจนานุกรมที่วางไว้ตรงขอบๆ บันไดขั้นแรกที่ว่านั่นสักหน่อย
แน่นอนว่าตูเองก็เป็นหนึ่งในผลผลิตที่สมบูรณ์ ของระบบการศึกษาที่ล้มเหลวด้วยเหมือนกัน
แต่กลุ่มฮีโร่กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้นช่างน่าทึ่ง
เขาค้นพบประตูออกจากแมทริกซ์ และบอกใครๆ ว่าเฮ้ย
ไอ้โลกที่เราอยู่กันเนี่ย แม่งเละจนเกือบจะต้องฟอร์แมตกันใหม่แล้วนะเว้ย
มาสิ มากินยาเม็ดสามสี (แล้วยื่นโลโก้ของโรงเรียนมาให้ดู) แล้วมุ่งสู่โคชิเอ็งด้วยกัน!
ป.ล.
พี่เลย์เอามาโพสต์ที่นี่ก็เหมือนเป็นมอร์เฟียสเลยนะครับ
ป.อ.
ตกลง ค่าเทอมแพงไหมครับ
แล้วเราจะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับบทสนทนาในห้องเรียนได้จากที่ไหนดี
บอกตรงๆ ว่าดูคลิปแล้ว กูเกิ้ลบก็แล้ว ก็ยังจินตนาการไม่ออกเลย
เพราะตูยังอยู่ในโลกแมทริกซ์อยู่