หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โลกกูตรรรกะ  (อ่าน 22579 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
การเคารพธงชาติ เป็นสิทธิและหน้าที่อันมิอาจเลี่ยง ที่ติดตัวชายไทยมาแต่กำเนิดครับ  หมีโหด~

มุกนี้ฮาครับหมอแมว

 กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า
ทำไมเลี่ยงไม่ได้ล่ะ งง


อ๋อ ง่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ก.พ. 2008, 23:53 น. โดย ross » บันทึกการเข้า

http://www.head2toeshop.com เครื่องสำอาง อาหารเสริม
555 ไม่เฉพาะชายไทยหรอกมั้งครับ
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
ขอบคุณหมอแมวครับ ไหว้+
อ่านแล้วได้ดีแฟรกสมองดีชะมัดเลย
เผื่อใครถามทีนี้จะได้ตอบได้
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ


เอคิดแบบนี้ละแต่อธิบายไม่ได้ มันเป็นเรื่องลี้ลับ  เอือม
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
ก็มันยากตรงเรียบเรียงออกมาเป็นฉากๆ นี่แหละ เอือม
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
อ่านดูแล้วเห็นด้วยมากๆ กับหลายๆ คนที่มาตอบครับ
แต่
ผมว่าการคิดแตกต่างมันไม่ผิด
แต่
คุณ เรา ผม เธอ ฉัน และคนอื่นๆ
ได้อะไรจากการคิดแตกต่างบ้าง
ความสุขส่วนตัว ความสุขส่วนรวม โทษ ประโยชน์ และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าคิดต่างแล้วไม่เิกิดอะไรเลยแม้แต่กับตัวเอง
ถ้าเพียงแค่กรูเท่ห์ หรือ แหล่ม หรืออะไรก็ตาม(ตามภาษาวัยรุ่นสมัยนี้)
ก็เลิกคิดแล้วเปลี่ยนความคิดดูใหม่ดีกว่าไหม หรือมองในมุมมองอื่นดู
หยั่งกับที่มีคนตอบมาก่อนๆ นี้ว่า ชาวว้า ชาวดอย ที่ไม่มีสัญชาติเค้ายังอยากเป็นคนไทยเลย
คุณไม่อยากเป็นคนไทยหรือครับ
ไปลาออกที่อำเภอน่าจะได้มั้งครับ


ปล. (จะย่อมาจากอะไรหรือแปลว่าอะไรก็ช่าง ผมเห็นและใช้มาแต่เด็กแล้ว รู้แต่ว่ามันใช้ในความหมายนี้แหละ)
ของหยั่งงี้มันเป็นสิทธิส่วนตัวก็จริง
แต่
มันอยู่ที่สามัญสำนึกครับ

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

"คุณอาจจะได้พบความสุขเมื่อคุณหยุดค้นหามัน"
ในจังหวะหนึ่งของความเป็นชาติไทย
สมัยหนึ่ง เราเคยมีการแบ่งแยกสุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา พิษณุโลก
ครั้นต่อมามีการรบพุ่งอันเนื่องจากพม่า เราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ .... (รวมจริงๆคงสมัยร.5)
สมัยรัชกาลที่4-5-6 ความเป็นชาตินิยม มีไว้เพื่อให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อสู้กับฝรั่งตาน้ำข้าวและตาแซฟไฟร์บลู
เมื่อมาถึงสมัยต้นรัชกาลที่9 โลกอยู่ในภาวะที่สงบขึ้นพอสมควร ชาตินิยมเริ่มจางหาย วัตถุนิยมเริ่มเข้ามา คนมองถึงปากท้องกันเด่นชัดขึ้น ช่องว่างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำกันแพร่ขยายเข้าไปในชนบทมากขึ้น ... ความต้องการอยู่ดีกินดีมีมากขึ้นโดยที่ระบบราชการไม่สามารถอำนวยได้ทัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการในพระราชดำริหลายโครงการได้มีส่วนช่วยพัฒนาสถานที่ต่างๆ และทำให้คนมีอยู่มีกินเพิ่มมากขึ้น ความ"รัก"ในพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยจึงออกมาในรูปปัจจุบันซึ่งแสดงออกในคนที่มีอายุมากกว่ารุ่นหลังๆ
สมัยแรกๆ เชื่อว่าไม่มีอย่างนี้ ดูอย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านพูดถึงโครงการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลาครั้งแรก(น่าจะเป็นโครงการแรกสุดของทุกโครงการ)ของท่านที่ไปสร้างบึงไว้ ... สร้างเสร็จเจอชาวบ้านในพื้นที่ด่า!
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีโครงการหลากหลายออกมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความพัฒนา และหลายๆสิ่งเป็นรูปธรรมเข้าไปเชื่อมโยงความพัฒนาที่เกิดขึ้นกับการมาของพระองค์ท่าน
ดังนั้นความรักสถาบันกษัตริย์ จึงไปพร้อมๆกับรักพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี

หลังยุค6ตุลา ผมว่าเมืองไทยหมดสมัยความคิดชาตินิยมไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรามีสถาบันนิยมเกิดขึ้นมา
และเมื่อถึงปัจจุบันงานหลายอย่างที่ท่านสร้างไว้ได้ออกดอกผลเต็มที่ จนคนรุ่นหลังๆไม่เห็นภาพของความลำบากในสมัยก่อน ก็เลยเกิดลักษณะแบบปัจุบันเพิ่มขึ้นคือความรู้สึกเทิดทูนท่านที่ลดถอยลง ... ก็เพราะว่าเราเกิดมาก็สบายกันแล้ว

ยกตัวอย่างตามความรู้สึกผมนะ
อย่างฝนหลวง แต่ก่อนมันคือ Miracle มันคือสิ่งอัศจรรย์ที่มีเพียงที่เดียวในโลกจริงๆ
สมัยก่อนแห้งแล้งกันดาร มีฝนหลวงไปนี่นับว่าเป็นบุญครั้งนึงในชีวิต
ปัจจุบันดูคล้ายๆกับเป็นงานประจำที่จะต้องทำของหน่วยงาน 'เฮ้ย ต้องทำให้ตกแถวนี้นา ไม่งั้นข้าวโพดแห้งตายขาดทุน' .... อะไรประมาณนั้น

หรือพระราชพิธีแรกนาขวัญ ในหนังสือเรียนมานีมานะ เห็นได้ชัดว่าการเก็บข้าว ดูเป็นเรื่องของสิริมงคลในชีวิต
ปัจจุบัน เก็บแล้วเอาเมล็ดมาขาย

ใกล้ตัวที่สุด เรื่องการถ่ายรูป
ถ้าไปรับเสด็จพระองค์ท่าน ... ผมไม่กล้าถ่ายรูปท่าน ... คล้ายๆในครอบครัวจะถือ ... ร้านกรอบรูปแต่ก่อนอย่างมากก็กล้าเอารูปนายกไปติดกรอบโชว์หน้าร้านกัน ... แต่ไม่มีร้านไหนกล้าเอารูปพระมหากษัตริย์ไปติดหน้าร้าน
ปัจจุบัน  ง่ะ ขายที่ท่าพระจันทร์/วังหลัง ตรึม ... ส่วนร้านกรอบรูปก็ติดรูปพระเจ้าอยู่หัวขายกันเป็นธรรมดา

เห็นว่ายุคนี้คือยุคทุนนิยมเรียบร้อยแล้วครับ (แจ๋ว แจ๋ว)
ดังนั้นคนที่เห็นว่าไม่เคารพธงชาติก็ได้ ก็คงเป็นธรรมดาของสังคมเราแล้ว
แต่เอาเป็นว่าผมยืนตรงเคารพธงชาติบ้าง อาจจะไม่ทุกครั้ง(ดูสถานการณ์)
ถ้าครึ้มๆ ก็ยืนตรงในห้องคนเดียวเหมือนกัน

ไม่รู้สิ ผมอยากให้ได้อ่านความคิดเห็นของหมอแมว ซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมา โดยเฉพาะบางท่านซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมาซ้ำไปซ้ำมา
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ตูเคารพนะ ได้ยินเพลงชาติที่ไหนตูนิ่งที่นั่น
ก็ไม่ถึงขนาดยืนตรงเป๊ะ แบบตอนฝึกทหาร
แต่ ยืนนิ่ง ประมาณสงบนิ่ง

วันก่อนไปกินข้าวที่ แบลคแคนยอน สาขาโลตัส หาดใหญ่
ไปช่วง 6 โมงพอดี นั่งรออาหารอยู่เพลงชาติขึ้น
จอยกับเพื่อนชื่อนิว ลุกขึ้นยืนตรงเคารพธงชาติกลางร้านเลย
คนทั้งร้านมองด้วยสายตาประมาณว่าไอ้ 2 คนนี่มันทำอะไรวะ
แต่ มองมาเจอตาตูมองกลับ ก็หลบไปก้มหน้าก้มตากินข้าวกันเป็นแถว
ไม่ได้จะกัดสักหน่อย  เอือม
มีป้าอยู่ 1 คนแกคงรู้สึกขัดแย้งในตัวเองอยากยืนก็อยาก แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครยืน
แกเลยละล้าละลังอยู่ครึ่งเพลง
เพื่อนอีก 2 คน (ชื่อนุชกะปุ๋ม) พลอยยืนไปด้วยความตกกระไดพลอยโจน
ปุ๋มไม่เท่าไหร่ แต่นุชเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบการแปลกแยกกับสังคมมันเลยประหม่ามาก
เพลงจบ ตูกับนิวเดินไปเข้าห้องน้ำทิ้งนุชกับปุ๋มไว้เผชิญกับสายตาึคนในร้านต่อไป

คือ เดี๋ยวนี้การเคารพธงชาติมันกลายไปเป็นของแปลกไปแล้วเหรอ
บันทึกการเข้า
ความ"รู้"บางทีมันก็ไม่ได้ทำให้"เข้าใจ"นะ

รู้เยอะ แต่เข้าใจน้อย
ชาวบ้านตาสีตาสาไม่รู้อะไรเลย แต่เข้าใจ

อันนี้อธิบายไม่ได้
ลองไปอ่านที่พี่กำนันแม้นเขียนสิ ไม่รู้เรื่อง แต่เข้าใจได้
กร๊าก
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
เหมือนการยกมือไหว้สวัสดีอะครับ  ตอนนี้เหลือแต่การสวัสดีสำหรับผู้ที่มี
อาวุโสเยอะกว่าเท่านั้น ทั้งที่เมื่อก่อน การยกมือไหว้สวัสดีคือการทักทายกันที่รวมไปถึงเพื่อนฝูงกันด้วยนะ   
รู้สึกมั้ยว่าเดี๋ยวนี้จะไม่เห็นวัฒนธรรมการยกมือไหว้สวัสดีเพื่อนฝูงแล้ว ถึงมีก็กลายเป็นเรื่องที่แปลกไปแล้ว
เหลือแต่การใช้พูดเอาเท่านั้น(เอาวะก็ยังดี) หัวนิ้วโป้งอยู่ระหว่างอกอ่ะ ก้มหัวนิดหน่อย
ผมว่ารู้สึกดีจังๆ เมื่อก่อนทำประจำเดี๋ยวนี้เริ่มอายๆแล้วเพราะไม่มีใครทำกัน ผมออนไหว และอายด้วย ฮ่าๆๆ
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
เปลี่ยนมาเป็นใช้ตูดชนกันแทนสิ น่ารักดี  ยิ้มน่ารัก
บันทึกการเข้า
มีความรู้แต่ไม่เข้าใจ วิเคราะห์คิดเองไม่ได้ ก็ไม่ต่างจากรู้แบบนกแก้วนกขุนทอง อ่ะนะ
เป็นชาวบ้านที่รู้ไม่เยอะ แต่เข้าใจ ทำได้ คิดเองได้ ซะยังจะดีกว่า
บันทึกการเข้า
สำหรับผม การยืนตรงเคารพเพลงชาติ ธงชาติ เป็นวินัยทหาร ที่ดัดแปลงมาใช้กับพลเรือน
เพื่อผลประโยชน์ในการรวมใจ สามัคคี
ไม่รู้ว่า คนในแผ่นดินไทยมีกี่เชื้อชาติ กี่เผ่ากอ แต่ถ้าสามัญสำนึกเป็นคนในชาติ ต้องเคารพธงชาติ

จากวินัยทหาร สู่ มารยาททางสังคม

อ่อนลงมาเยอะแล้วนะครับ เพราะ มารยาททางสังคม เปลี่ยนแปลงเร็วกว่า วินัยทหาร
ดูแนวโน้มว่า อนาคต การทำความเคารพเพลงชาติ จะค่อยๆลดความสำคัญลง
เพราะมันเป็นมารยาทสังคม ซึ่งเปลี่ยนตามยุคสมัยได้

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า จะมีมารยาท จะภูมิใจ ในความเป็นชาติ มากแค่ไหน ไม่สำคัญว่าเราทำอะไรเพื่อสังคม
ยืนตรงเคารพเพลงชาติ บ่งบอกว่าเราใช้ทหารปกครองมานาน ถึงมีวันนี้ ที่เรากล้าที่จะเป็นประชาธิปไตย
....ถึงกล้าที่จะขัดแย้ง เพราะเราเป็นประชาธิปไตย
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าคุณจะรอบรู้ เก่งกาจ กล้าหาญ เท่าไหร่ ก็ไม่มีค่าอะไร ถ้าไม่มีใครรักคุณ
ในจังหวะหนึ่งของความเป็นชาติไทย
สมัยหนึ่ง เราเคยมีการแบ่งแยกสุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา พิษณุโลก
ครั้นต่อมามีการรบพุ่งอันเนื่องจากพม่า เราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ .... (รวมจริงๆคงสมัยร.5)
สมัยรัชกาลที่4-5-6 ความเป็นชาตินิยม มีไว้เพื่อให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อสู้กับฝรั่งตาน้ำข้าวและตาแซฟไฟร์บลู
เมื่อมาถึงสมัยต้นรัชกาลที่9 โลกอยู่ในภาวะที่สงบขึ้นพอสมควร ชาตินิยมเริ่มจางหาย วัตถุนิยมเริ่มเข้ามา คนมองถึงปากท้องกันเด่นชัดขึ้น ช่องว่างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำกันแพร่ขยายเข้าไปในชนบทมากขึ้น ... ความต้องการอยู่ดีกินดีมีมากขึ้นโดยที่ระบบราชการไม่สามารถอำนวยได้ทัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการในพระราชดำริหลายโครงการได้มีส่วนช่วยพัฒนาสถานที่ต่างๆ และทำให้คนมีอยู่มีกินเพิ่มมากขึ้น ความ"รัก"ในพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยจึงออกมาในรูปปัจจุบันซึ่งแสดงออกในคนที่มีอายุมากกว่ารุ่นหลังๆ
สมัยแรกๆ เชื่อว่าไม่มีอย่างนี้ ดูอย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านพูดถึงโครงการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลาครั้งแรก(น่าจะเป็นโครงการแรกสุดของทุกโครงการ)ของท่านที่ไปสร้างบึงไว้ ... สร้างเสร็จเจอชาวบ้านในพื้นที่ด่า!
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีโครงการหลากหลายออกมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความพัฒนา และหลายๆสิ่งเป็นรูปธรรมเข้าไปเชื่อมโยงความพัฒนาที่เกิดขึ้นกับการมาของพระองค์ท่าน
ดังนั้นความรักสถาบันกษัตริย์ จึงไปพร้อมๆกับรักพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี

หลังยุค6ตุลา ผมว่าเมืองไทยหมดสมัยความคิดชาตินิยมไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรามีสถาบันนิยมเกิดขึ้นมา
และเมื่อถึงปัจจุบันงานหลายอย่างที่ท่านสร้างไว้ได้ออกดอกผลเต็มที่ จนคนรุ่นหลังๆไม่เห็นภาพของความลำบากในสมัยก่อน ก็เลยเกิดลักษณะแบบปัจุบันเพิ่มขึ้นคือความรู้สึกเทิดทูนท่านที่ลดถอยลง ... ก็เพราะว่าเราเกิดมาก็สบายกันแล้ว

ยกตัวอย่างตามความรู้สึกผมนะ
อย่างฝนหลวง แต่ก่อนมันคือ Miracle มันคือสิ่งอัศจรรย์ที่มีเพียงที่เดียวในโลกจริงๆ
สมัยก่อนแห้งแล้งกันดาร มีฝนหลวงไปนี่นับว่าเป็นบุญครั้งนึงในชีวิต
ปัจจุบันดูคล้ายๆกับเป็นงานประจำที่จะต้องทำของหน่วยงาน 'เฮ้ย ต้องทำให้ตกแถวนี้นา ไม่งั้นข้าวโพดแห้งตายขาดทุน' .... อะไรประมาณนั้น

หรือพระราชพิธีแรกนาขวัญ ในหนังสือเรียนมานีมานะ เห็นได้ชัดว่าการเก็บข้าว ดูเป็นเรื่องของสิริมงคลในชีวิต
ปัจจุบัน เก็บแล้วเอาเมล็ดมาขาย

ใกล้ตัวที่สุด เรื่องการถ่ายรูป
ถ้าไปรับเสด็จพระองค์ท่าน ... ผมไม่กล้าถ่ายรูปท่าน ... คล้ายๆในครอบครัวจะถือ ... ร้านกรอบรูปแต่ก่อนอย่างมากก็กล้าเอารูปนายกไปติดกรอบโชว์หน้าร้านกัน ... แต่ไม่มีร้านไหนกล้าเอารูปพระมหากษัตริย์ไปติดหน้าร้าน
ปัจจุบัน  ง่ะ ขายที่ท่าพระจันทร์/วังหลัง ตรึม ... ส่วนร้านกรอบรูปก็ติดรูปพระเจ้าอยู่หัวขายกันเป็นธรรมดา

เห็นว่ายุคนี้คือยุคทุนนิยมเรียบร้อยแล้วครับ (แจ๋ว แจ๋ว)
ดังนั้นคนที่เห็นว่าไม่เคารพธงชาติก็ได้ ก็คงเป็นธรรมดาของสังคมเราแล้ว
แต่เอาเป็นว่าผมยืนตรงเคารพธงชาติบ้าง อาจจะไม่ทุกครั้ง(ดูสถานการณ์)
ถ้าครึ้มๆ ก็ยืนตรงในห้องคนเดียวเหมือนกัน

เรื่องของเรื่องคือ

ปัจจุบัน มันมีคนหลายคน
ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อไงครับ
ได้รับข้อมูลมาเพียงบางส่วน
ที่กลุ่มคนบางคนจงใจให้เห็นแค่นั้น

ก็ทำให้เกิด อคติ จนกระทั่งไปถึงความเกลียดชัง
(ทั้งหมดนี่ มันเป็นกระบวนการน่ะครับ
ถ้าเคยได้ศึกษาลัทธิเหมามา ก็จะรู้ได้
ยิ่งเฉพาะวัยรุ่น ขาดประสบการณ์
จะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายมาก)

ผมพูดแบบนี้ ก็จะมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งบอกว่า
เราก็ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกัน

โชคยังดีครับ ที่ชีวิตผม ไม่ได้มีอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กูเกิ้ลเสิร์ช
หรือ ฟอร์เวิร์ดเมล์ แต่ผมยังมีโอกาสได้เดินทางเยอะ
ได้สัมผัสกับชีวิตของคนจริงๆ ซึ่งถ้าไม่มีโครงการหลวงต่างๆ
ชีวิตพวกเขา จะแย่กว่านี้เยอะ
(หวังรอให้ระบอบการเมืองช่วยเหรอครับ
ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ก็ฝันไปเถอะ)

ผมยอมรับครับ ว่าโครงการหลวงไม่ใช่จะประสบความสำเร็จ
ทุกโครงการ แต่ที่แน่ๆ เจตนาของทุกโครงการคือ

แก้ไขปัญหาให้ประชาชนโดยตรง

ป.ล. คุณจิรนันท์ พิตรปรีชา
เคยบอกไว้ว่า พอมาถึงปัจจุบัน
มองย้อนกลับไป ก็มานึกว่า
ทำไมต้องเป็นซ้าย หรือ ขวาตอนนั้น
ทั้งๆ ที่เราก็เลือกทางสายกลางได้  ฮิ้ววว

เรื่องความเป็นชาตินิยมนี่
ผมบอกตามตรงเลยว่า สำคัญ
ชาติมหาอำนาจทั้งหลาย
มีการปลูกฝังเรื่องชาตินิยมอย่างเต็มที่

ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน
มีทั้งนั้นครับ แต่ละประเทศจะมีสัญลักษณ์
ที่อุปโลกขึ้นมา เพื่อให้เป็นจุดศูนย์รวมของประเทศทั้งนั้น

ชาติใด รากหยั่งตื้น ก็ตกเป็นเหยื่อ
ของศาสนาทุนได้ง่ายๆ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!