็
ในจังหวะหนึ่งของความเป็นชาติไทย
สมัยหนึ่ง เราเคยมีการแบ่งแยกสุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา พิษณุโลก
ครั้นต่อมามีการรบพุ่งอันเนื่องจากพม่า เราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ .... (รวมจริงๆคงสมัยร.5)
สมัยรัชกาลที่4-5-6 ความเป็นชาตินิยม มีไว้เพื่อให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อสู้กับฝรั่งตาน้ำข้าวและตาแซฟไฟร์บลู
เมื่อมาถึงสมัยต้นรัชกาลที่9 โลกอยู่ในภาวะที่สงบขึ้นพอสมควร ชาตินิยมเริ่มจางหาย วัตถุนิยมเริ่มเข้ามา คนมองถึงปากท้องกันเด่นชัดขึ้น ช่องว่างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำกันแพร่ขยายเข้าไปในชนบทมากขึ้น ... ความต้องการอยู่ดีกินดีมีมากขึ้นโดยที่ระบบราชการไม่สามารถอำนวยได้ทัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการในพระราชดำริหลายโครงการได้มีส่วนช่วยพัฒนาสถานที่ต่างๆ และทำให้คนมีอยู่มีกินเพิ่มมากขึ้น ความ"รัก"ในพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยจึงออกมาในรูปปัจจุบันซึ่งแสดงออกในคนที่มีอายุมากกว่ารุ่นหลังๆ
สมัยแรกๆ เชื่อว่าไม่มีอย่างนี้ ดูอย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านพูดถึงโครงการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลาครั้งแรก(น่าจะเป็นโครงการแรกสุดของทุกโครงการ)ของท่านที่ไปสร้างบึงไว้ ... สร้างเสร็จเจอชาวบ้านในพื้นที่ด่า!
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีโครงการหลากหลายออกมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความพัฒนา และหลายๆสิ่งเป็นรูปธรรมเข้าไปเชื่อมโยงความพัฒนาที่เกิดขึ้นกับการมาของพระองค์ท่าน
ดังนั้นความรักสถาบันกษัตริย์ จึงไปพร้อมๆกับรักพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี
หลังยุค6ตุลา ผมว่าเมืองไทยหมดสมัยความคิดชาตินิยมไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรามีสถาบันนิยมเกิดขึ้นมา
และเมื่อถึงปัจจุบันงานหลายอย่างที่ท่านสร้างไว้ได้ออกดอกผลเต็มที่ จนคนรุ่นหลังๆไม่เห็นภาพของความลำบากในสมัยก่อน ก็เลยเกิดลักษณะแบบปัจุบันเพิ่มขึ้นคือความรู้สึกเทิดทูนท่านที่ลดถอยลง ... ก็เพราะว่าเราเกิดมาก็สบายกันแล้ว
ยกตัวอย่างตามความรู้สึกผมนะ
อย่างฝนหลวง แต่ก่อนมันคือ Miracle มันคือสิ่งอัศจรรย์ที่มีเพียงที่เดียวในโลกจริงๆ
สมัยก่อนแห้งแล้งกันดาร มีฝนหลวงไปนี่นับว่าเป็นบุญครั้งนึงในชีวิต
ปัจจุบันดูคล้ายๆกับเป็นงานประจำที่จะต้องทำของหน่วยงาน 'เฮ้ย ต้องทำให้ตกแถวนี้นา ไม่งั้นข้าวโพดแห้งตายขาดทุน' .... อะไรประมาณนั้น
หรือพระราชพิธีแรกนาขวัญ ในหนังสือเรียนมานีมานะ เห็นได้ชัดว่าการเก็บข้าว ดูเป็นเรื่องของสิริมงคลในชีวิต
ปัจจุบัน เก็บแล้วเอาเมล็ดมาขาย
ใกล้ตัวที่สุด เรื่องการถ่ายรูป
ถ้าไปรับเสด็จพระองค์ท่าน ... ผมไม่กล้าถ่ายรูปท่าน ... คล้ายๆในครอบครัวจะถือ ... ร้านกรอบรูปแต่ก่อนอย่างมากก็กล้าเอารูปนายกไปติดกรอบโชว์หน้าร้านกัน ... แต่ไม่มีร้านไหนกล้าเอารูปพระมหากษัตริย์ไปติดหน้าร้าน
ปัจจุบัน
ขายที่ท่าพระจันทร์/วังหลัง ตรึม ... ส่วนร้านกรอบรูปก็ติดรูปพระเจ้าอยู่หัวขายกันเป็นธรรมดา
เห็นว่ายุคนี้คือยุคทุนนิยมเรียบร้อยแล้วครับ
ดังนั้นคนที่เห็นว่าไม่เคารพธงชาติก็ได้ ก็คงเป็นธรรมดาของสังคมเราแล้ว
แต่เอาเป็นว่าผมยืนตรงเคารพธงชาติบ้าง อาจจะไม่ทุกครั้ง(ดูสถานการณ์)
ถ้าครึ้มๆ ก็ยืนตรงในห้องคนเดียวเหมือนกัน
เรื่องของเรื่องคือ
ปัจจุบัน มันมีคนหลายคน
ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อไงครับ
ได้รับข้อมูลมาเพียงบางส่วน
ที่กลุ่มคนบางคนจงใจให้เห็นแค่นั้น
ก็ทำให้เกิด อคติ จนกระทั่งไปถึงความเกลียดชัง
(ทั้งหมดนี่ มันเป็นกระบวนการน่ะครับ
ถ้าเคยได้ศึกษาลัทธิเหมามา ก็จะรู้ได้
ยิ่งเฉพาะวัยรุ่น ขาดประสบการณ์
จะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายมาก)
ผมพูดแบบนี้ ก็จะมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งบอกว่า
เราก็ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกัน
โชคยังดีครับ ที่ชีวิตผม ไม่ได้มีอยู่แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กูเกิ้ลเสิร์ช
หรือ ฟอร์เวิร์ดเมล์ แต่ผมยังมีโอกาสได้เดินทางเยอะ
ได้สัมผัสกับชีวิตของคนจริงๆ ซึ่งถ้าไม่มีโครงการหลวงต่างๆ
ชีวิตพวกเขา จะแย่กว่านี้เยอะ
(หวังรอให้ระบอบการเมืองช่วยเหรอครับ
ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ก็ฝันไปเถอะ)
ผมยอมรับครับ ว่าโครงการหลวงไม่ใช่จะประสบความสำเร็จ
ทุกโครงการ แต่ที่แน่ๆ เจตนาของทุกโครงการคือ
แก้ไขปัญหาให้ประชาชนโดยตรงป.ล. คุณจิรนันท์ พิตรปรีชา
เคยบอกไว้ว่า พอมาถึงปัจจุบัน
มองย้อนกลับไป ก็มานึกว่า
ทำไมต้องเป็นซ้าย หรือ ขวาตอนนั้น
ทั้งๆ ที่เราก็เลือกทางสายกลางได้
เรื่องความเป็นชาตินิยมนี่
ผมบอกตามตรงเลยว่า สำคัญ
ชาติมหาอำนาจทั้งหลาย
มีการปลูกฝังเรื่องชาตินิยมอย่างเต็มที่
ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน
มีทั้งนั้นครับ แต่ละประเทศจะมีสัญลักษณ์
ที่อุปโลกขึ้นมา เพื่อให้เป็นจุดศูนย์รวมของประเทศทั้งนั้น
ชาติใด รากหยั่งตื้น ก็ตกเป็นเหยื่อ
ของศาสนาทุนได้ง่ายๆ