หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โลกกูตรรรกะ  (อ่าน 22584 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ปัจจุบันนี้มีคนที่สงสัยว่าประเทศให้อะไรกับเราหรือแม้กระทั่งสถาบันให้อะไรกับเราเยอะขึ้น
เท่าที่ผมมองส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่เกิดหลังยุคเข็ญที่เราต้องใช้ความสามัคคีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ของคนทั้งประเทศร่วมกันฟันฝ่า ยุคที่เราต้องการผู้มีความสามารถและตั้งตนอยู่ทศพิธราชธรรมเป็น
ผู้ชี้ทาง เพื่อนำพาผองเราให้รอดพ้นจากอันตราย  ซึ่งบุคคลที่มีความคิดเยี่ยงนี้มักจะนับถือศิลปินนักร้อง
เป็นประดุจโคตรเหง้าศักราชฝ่ายพ่อมัน ส่วนโคตรเหง้าศักราชฝ่ายแม่มันนั้นเล่าคงจะสถาปนาหนังสือดาราเดลี่
ขึ้นไว้เหนือหัวกบาล  เดี๋ยวมาเขียนต่อยังไม่จบ  หมีโหด~


ส่วนอุปนิสัยของไอ้พวกเหี้ยนี่มักจะเป็นบุคคลที่เคารพในสิทธิของตนเองโดยไม่เคารพในสิทธิของผู้อื่น
ไม่เข้าใจถึงคำว่าเสียสละ ไม่รู้จักคำว่าน้ำใจ เอาแต่บอกว่ากูแว้น กูแนว กูเก่ง กูรวย  กูไม่ได้พึ่งใคร
ไม่ได้คิดซักนิดเลยว่าแผ่นดินที่มันเหยียบอยู่ใครเป็นผู้ปกปักรักษา เอาชีวิตเข้าแลกมา 

ผมมีเรื่องจะเล่าเรื่องนึงให้แก่ผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญของการเป็นชาติไทย ความสำคัญของเพลงชาติไทยฟัง
ช่วงที่ผมขึ้นไปเชียงรายผมได้ไปเที่ยวที่ดอยหัวแม่คำซึ่งก็อยู่ลึกเข้าไปในป่าดงดอยติดชายแดนพม่า
เมื่อไปถึงเด็กๆก็วิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง   เด็กน้อยชาวอีก้อคนหนึ่งปุจฉากับผมด้วยความไร้เดียงสาว่า
"พี่ชายมาจากข้างล่าง พี่ชายเป็นคนไทยรึเปล่า"
"เป็นสิ ถามทำไมหล่ะ เราก็เป็นคนไทยเหมือนกันเหมือนใช่เหรอ"
เด็กน้อยยิ้มดวงตาสดใสแล้วส่ายหน้า
"ผมไม่ใช่คนไทย ผมเป็นอีก้อ"
พูดจบก็ชี้นิ้วไปที่เพื่อนอีกสามสี่คน
"สองคนนั้นเป็นมูเซอ  คนนั้นเป็นว้า"
"พี่ชายเป็นคนไทยนี่ดีนะลงไปข้างล่างได้"

ผมรู้สึกเหมือนโดนเด็กน้อยตบหน้าอย่างแรง ผมยิ้มตอบ แต่ในใจผมเศร้า
คนไม่มีชาติไม่มีศักดิ์และสิทธิ์  ใครไม่อยากเป็นคนไทยไม่สำนึกในความ
เป็นชาติไทย ไม่อยากร้องเพลงชาติไทย  ไม่อยากยืนตรงทำความเคารพ
ช่วยเอามาแลกกับน้องเค้าหน่อยเถอะครับผมขอร้อง เพราะคนที่รอคอย
โอกาสที่จะได้ยืนตรงเคารพธงชาติยังมีอยู่ 
บันทึกการเข้า
พี่เช่ครับ   สุดยอดครับ 
มันทำให้ผมนึกถึงกอลลั่มที่ผมเขียน  และที่ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่คนนึง 
ว่าก่อนที่เขาจะได้สัญชาติไทยเนี่ยเขาลำบากมากมีแต่คนตามแนวชายแดนที่
อยากได้สัญชาติไทย ไม่ใช่เพราะโก้เก๋แต่ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
เพราะไทยเรามีในหลวง ครับ  เพราะอะไร คงไม่ต้องบอกเพราะเยอะเหลือเกิน

ผมเข้าใจ คนที่เกิดมาเพียบพร้อมนะครับมองเห็นจุดนี้ได้ยากมาก
แถมการศึกษาดีมีเงินใช้ไม่จำเป็นต้องมีชาติก็อยู่ได้
อ้างสิทธิอ้างความเสมอภาคเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการแนว
และกระทำการที่คิดว่าตัวเองทำถูก

คนที่จะแสดงความเคารพต่ออะไรออกมาจากใจได้นั้น
จำเป็นจะต้องระลึกถึงคุณของสิ่งนั้นจากใจจริง
ซึ่งผมแน่ใจว่ามีหลายคนที่เล็งเห็นจุดนี้และทำมันออกมาจากใจ
รวมถึงเด็กๆและคนอื่นๆ ที่ได้รับโอกาสจากพระองค์ท่านด้วย ไหว้
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
แหม จู๋ดีๆ แบบนี้ ย้ายมาแตกฟองโลด
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
กร๊าก ขอบคุณแม่ไอ้เปอร์ที่ให้กำเนิดมุกนี้

ไม่เข้าใจอันนี้ครับ  ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
ก็มุกทองเหม็นมันมาจากไฟนอลสกอร์
ฉากที่ไอ้เปอร์เถียงกะแม่เรื่องโบราณ
นายทองดี นายทองเหม็น อะไรนี่ไง ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
พี่เช่สุดยอดไปเลยครับ ไหว้
บันทึกการเข้า

เพียง คำพูดคำสูดท้าย  จะรักแค่เธอไปจนวันตาย...
แนะนำตัว                     bij evol


ตรรกะ เรื่องต่อไปจากหนังสือเรื่อง as the future catch you ครับ

อาณาเขตของประเทศเราเหมือนไม่มีอีกแล้ว จากอินเตอร์เนต gdp ของบางประเทศน้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ บริษัทหนึ่งเสียอีก
คนเพียงคนเดียวหาเงินเข้าประเทศได้มากกว่าสิบประเทศรวมกันเสียอีก

ประเทศไม่มีความหมายอีกต่อไป มีแค่บริษัท และอื่นๆ อีกมากมาย

โลกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
อ๋อ หนังสือเล่มนี้คนมีตังค์เค้าซื้ออ่าน  หมีโหด~
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
พวกที่ใช้เงินสูบฉีดโลหิตในร่างกายแทนหัวใจหน่ะเหรอแจ๊คกี้  กร๊าก
บันทึกการเข้า


ตรรกะต่อไปครับ

ทรูจะปลูกฝังส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้  กรี๊ดดดดด

โดยเอาช่องดีๆ ตามเคเบิ้ลที่ให้ดูเถื่อนๆ ถูกๆ มาเป็นถูกกฎหมาย ราคาพอประมาณ  กรี๊ดดดดด

แล้วเอามาติดตั้งตามโรงเรียน เพื่อให้เด็กติด แล้วก็ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านให้ติดทรูวิชั่นด้วย

ดูบอลต้องติดเพิ่มด้วยนะ  กรี๊ดดดดด

เราจะกระจายความรู้ รู้ รู้  กร๊าก
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
ทั้งคุณเช่ คุณจักรีครับ สุดยอดครับ แอบชื่นชมและชื่นชอบ
บันทึกการเข้า

รอคอย
การเคารพธงชาติ เป็นสิทธิและหน้าที่อันมิอาจเลี่ยง ที่ติดตัวชายไทยมาแต่กำเนิดครับ  หมีโหด~
บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
กรี๊ดกร๊าด พี่เช่ พี่จักรี สุดยอดเลยครับ ชอบมาก

// แล้วมันกลายเป็นว่า มันทำให้คนยุคนี้ แบบที่พี่เช่บอก รู้จักแต่สิทธิ ที่ควรได้ ที่ควรมี และใครจะล่วงไม่ได้เลย แต่ไม่รู้จักหน้าที่(ถึงบางอย่างมันจะไม่เชิงเป็นหน้าที่ก็เถอะ)หรือเปล่าครับ
(หรือคิดไปว่า เฮ้ยนี่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ตูสักหน่อย)(ไม่ใช่เคารพธงชาติที่หมอแมวบอกนะครับ เกย์ออก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ก.พ. 2008, 23:11 น. โดย แทน ใ » บันทึกการเข้า
ในจังหวะหนึ่งของความเป็นชาติไทย
สมัยหนึ่ง เราเคยมีการแบ่งแยกสุโขทัย เชียงใหม่ อยุธยา พิษณุโลก
ครั้นต่อมามีการรบพุ่งอันเนื่องจากพม่า เราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ .... (รวมจริงๆคงสมัยร.5)
สมัยรัชกาลที่4-5-6 ความเป็นชาตินิยม มีไว้เพื่อให้คนในชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่อสู้กับฝรั่งตาน้ำข้าวและตาแซฟไฟร์บลู
เมื่อมาถึงสมัยต้นรัชกาลที่9 โลกอยู่ในภาวะที่สงบขึ้นพอสมควร ชาตินิยมเริ่มจางหาย วัตถุนิยมเริ่มเข้ามา คนมองถึงปากท้องกันเด่นชัดขึ้น ช่องว่างทางสังคมที่เหลื่อมล้ำกันแพร่ขยายเข้าไปในชนบทมากขึ้น ... ความต้องการอยู่ดีกินดีมีมากขึ้นโดยที่ระบบราชการไม่สามารถอำนวยได้ทัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการในพระราชดำริหลายโครงการได้มีส่วนช่วยพัฒนาสถานที่ต่างๆ และทำให้คนมีอยู่มีกินเพิ่มมากขึ้น ความ"รัก"ในพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยจึงออกมาในรูปปัจจุบันซึ่งแสดงออกในคนที่มีอายุมากกว่ารุ่นหลังๆ
สมัยแรกๆ เชื่อว่าไม่มีอย่างนี้ ดูอย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านพูดถึงโครงการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลาครั้งแรก(น่าจะเป็นโครงการแรกสุดของทุกโครงการ)ของท่านที่ไปสร้างบึงไว้ ... สร้างเสร็จเจอชาวบ้านในพื้นที่ด่า!
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีโครงการหลากหลายออกมา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความพัฒนา และหลายๆสิ่งเป็นรูปธรรมเข้าไปเชื่อมโยงความพัฒนาที่เกิดขึ้นกับการมาของพระองค์ท่าน
ดังนั้นความรักสถาบันกษัตริย์ จึงไปพร้อมๆกับรักพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี

หลังยุค6ตุลา ผมว่าเมืองไทยหมดสมัยความคิดชาตินิยมไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรามีสถาบันนิยมเกิดขึ้นมา
และเมื่อถึงปัจจุบันงานหลายอย่างที่ท่านสร้างไว้ได้ออกดอกผลเต็มที่ จนคนรุ่นหลังๆไม่เห็นภาพของความลำบากในสมัยก่อน ก็เลยเกิดลักษณะแบบปัจุบันเพิ่มขึ้นคือความรู้สึกเทิดทูนท่านที่ลดถอยลง ... ก็เพราะว่าเราเกิดมาก็สบายกันแล้ว

ยกตัวอย่างตามความรู้สึกผมนะ
อย่างฝนหลวง แต่ก่อนมันคือ Miracle มันคือสิ่งอัศจรรย์ที่มีเพียงที่เดียวในโลกจริงๆ
สมัยก่อนแห้งแล้งกันดาร มีฝนหลวงไปนี่นับว่าเป็นบุญครั้งนึงในชีวิต
ปัจจุบันดูคล้ายๆกับเป็นงานประจำที่จะต้องทำของหน่วยงาน 'เฮ้ย ต้องทำให้ตกแถวนี้นา ไม่งั้นข้าวโพดแห้งตายขาดทุน' .... อะไรประมาณนั้น

หรือพระราชพิธีแรกนาขวัญ ในหนังสือเรียนมานีมานะ เห็นได้ชัดว่าการเก็บข้าว ดูเป็นเรื่องของสิริมงคลในชีวิต
ปัจจุบัน เก็บแล้วเอาเมล็ดมาขาย

ใกล้ตัวที่สุด เรื่องการถ่ายรูป
ถ้าไปรับเสด็จพระองค์ท่าน ... ผมไม่กล้าถ่ายรูปท่าน ... คล้ายๆในครอบครัวจะถือ ... ร้านกรอบรูปแต่ก่อนอย่างมากก็กล้าเอารูปนายกไปติดกรอบโชว์หน้าร้านกัน ... แต่ไม่มีร้านไหนกล้าเอารูปพระมหากษัตริย์ไปติดหน้าร้าน
ปัจจุบัน  ง่ะ ขายที่ท่าพระจันทร์/วังหลัง ตรึม ... ส่วนร้านกรอบรูปก็ติดรูปพระเจ้าอยู่หัวขายกันเป็นธรรมดา

เห็นว่ายุคนี้คือยุคทุนนิยมเรียบร้อยแล้วครับ (แจ๋ว แจ๋ว)
ดังนั้นคนที่เห็นว่าไม่เคารพธงชาติก็ได้ ก็คงเป็นธรรมดาของสังคมเราแล้ว
แต่เอาเป็นว่าผมยืนตรงเคารพธงชาติบ้าง อาจจะไม่ทุกครั้ง(ดูสถานการณ์)
ถ้าครึ้มๆ ก็ยืนตรงในห้องคนเดียวเหมือนกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ก.พ. 2008, 00:56 น. โดย หมอแมว » บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
เป็นเหมือนกันครับหมอแมว เปิดทีวีดูอยู่ในห้องพอเพลงชาติขึ้นก็ลุกขึ้นยืน
แต่ตอนนี้ผมชักกลัวว่าผมจะร้องเพลงชาติไม่ถูก สงสัยต้องหัดร้องประกอบ
ด้วยซักหน่อย   กร๊าก
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!