มีกอลฟ์ ไมค์ ที่หน้าตาเยี่ยงจาพนม และร้องหมอลำ~!
-----------------
ความจริงแล้ว รักในหลวงไม่เห็นจะแสดงความรักเมืองไทยตรงไหนเลย,
ฝรั่งมันยังมารักตามเรา แต่ฝรั่งก็หารักเมืองไทยไม่.
เรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรม ก็ไม่เห็นจะแสดงว่ารักเมืองไทยตรงไหนเลย,
เพราะมีสักอันไหมที่เป็นวัฒนธรรมไทยแท้ ๆ.
ที่ชอบออกมารณรงค์ให้แต่งชุดไทยกันบ้างล่ะ, แล้วใครบอกว่าชุดแบบนั้นเป็นชุดไทย
สมัยรัชกาลที่ ๕ พวกเจ้าก็แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างฝรั่งประยุกต์เข้ากะไทย,
และชุดสตรีที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงกำหนด ก็เป็นชุดไทย "ประยุกต์",
วัฒนธรรมไทยแต่เดิมก็รับมาจากอินเดีย เขมร จีน ฝรั่ง ฯลฯ ผสมปนเปไปหมด
จะว่ากันจริง ๆ แล้ว ความเป็นไทยไม่มีจริงหรอกค่ะ.
ไอ้ "ความเป็นไทย" นี้กำหนดเอาเองทั้งนั้น, ว่าอย่างนู้นคือไทย อย่างนี้คือไทยบ้างล่ะ.
ยิ่งสมัยจอมพล ป. ยิ่งส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกันใหญ่, ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนถือปฏิบัติตาม ๆ กัน
เป็น "เอกลักษณ์" (ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง เพราะไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย และไม่ส่งเสริมให้คนมีหัวคิด)
และพอคนทำตามกัน มันก็ว่านอนสอนง่าย, คนที่ว่านอนสอนง่ายนี่ปกครองง่ายค่ะ.
อย่างไอ้การที่กำหนดให้เด็กโรงเรียนรัฐตัดผมเกรียนจนน่าเอามือสัมผัสเบา ๆ เป็นต้นเนี่ยก็เรียกว่า "เอกลักษณ์" อย่างหนึ่ง.
และถ้าเกิดวันหนึ่งเด็กมันไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่า การกำหนดดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ว่า
คนจะทำทรงผมอะไรก็เป็นเรื่องของคนนั้น เด็กก็มีสิทธิ (แต่ไม่มีใครไปฟ้องก็เท่านั้น).
แล้วที่ชอบออกมารณรงค์ให้หญิงไทยใส่ชุดอย่างไทยกันเนี่ย, เค้าไม่เอาด้วยหรอกนะคะ.
เพราะรู้เปล่า, ลองย้อนกลับไปดูกันจริง ๆ ดิ, หญิงไทยจริง ๆ เมื่อก่อนเขาแต่งชุดอย่างไร
(นุ่งผ้าถุงไม่ก็โจงกระเบน แล้วก็เปลือยนมจนปลิ้นย้วยทะลักกันทั้งนั้น
ใครจะแต่งแบบนั้นได้ลงคอ).
อย่างเพลงพระราชนิพนธ์ "เราสู้" เป็นต้นล่ะ, ที่มีแต่จะปลุกใจ แต่ไม่มีสาระและหาความจริงไม่ได้เลย.
เช่นที่ว่า "บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า"
ซึ่งเป็นการสร้างภาพว่า คนไทยเนี่ยมีบรรพบุรุษร่วมกัน อย่างชาวบ้านบางระจัน พระสุริโยทัยบ้างล่ะ,
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่; เมื่อก่อนเชียงใหม่ก็ก๊กหนึ่ง อีสานก็อีกก๊ก กรุงเทพฯ ก็อีกก๊ก
ล้วนแต่แก่งแย่งชิงดีกัน ฆ่ากันฟันกัน เพื่อปกบ้านป้องเมืองใครเมืองมันกันทั้งนั้น, เพิ่งมารวมกันสมัยรัชกาลที่ ๕ นี่เอง.
สรุปก็คือ ความจริงแล้ว ไทยไม่มีอะไรเป็นของไทยจริง ๆ หรอก, มีแต่ "มายาคติ" ที่หลงกันอยู่ทุกวัน.
แต่ก็ไม่ได้บอกว่า "มายาคติ" เช่นว่านั้นไม่มีค่าหรอกนะคะ.
โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า บางอย่างที่มันขัดต่อประชาธิปไตยหรือขัดต่อสภาวการณ์ปัจจุบันก็น่าจะเลิก ๆ กันได้แล้ว.
อย่างแห่นางแมวเนี่ย แม้มันจะเป็นจิตวิทยา แต่ใครจะบอกได้ว่าแห่ไปแล้วฝนจะตกลงมาจริง,
แทนที่ถ้าเอาเงินที่ใช้ไปในการแห่นางแมวไปพัฒนาหรือทำอย่างอื่น ก็อาจจะได้ฝน (เทียม) หรือประโยชน์อย่างอื่นมากกว่านี้ก็ได้.
ดังนั้น โดยความเห็นของเค้าแล้ว อะไรที่แสดงว่าคนไทยรักเมืองไทยก็คือ
การที่คนไทยฉลาด กับทั้งรู้จักและตระหนักในประชาธิปไตยและหน้าที่ของตนตามระบอบประชาธิปไตยก็เท่านั้น.
(เพราะถ้าคนเรารู้จักและตระหนักในสิ่งดังกล่าวแล้ว ก็จะรู้ว่าควรทำอะไร, พอรู้ว่าควรทำอะไร ไทยก็ดีเอง).
จบค่ะ~!