การเรียนในมหาวิทยาลัย หรือชั้นอุดมศึกษา ไม่ได้ให้แค่ความรู้นี่ครับ
สิ่งที่สำคัญกว่าวิชาความรู้ คือวิธีคิดวิเคราะห์พิจารณาในสายอาชีพที่เราเรียนมาต่างหาก
ไม่งั้น อ่าน Wikipedia หรือหนังสือวิชาการบางอย่าง ก็เก่งเท่าอาชีพนั้นไปแล้วจริงๆแล้ว คำว่า " ปริญญา ไว้ข้างฝาก็พอ "
ผมเห็นว่า เป็นคำพูดที่ผมเห็นด้วยนะครับ ... เพราะหน้าที่ของใบปริญญาที่แท้จริงคือ สิ่งที่รับรองว่าเราได้ผ่านการเรียนในระดับอุดมศึกษามา
Transcript คือสิ่งที่บอกให้คนที่ไม่รู้จักเรา สามารถเอาไปประกอบการพิจารณาว่าจะรับเราไว้ทำงานไหม ... เพราะนอกจากการเอาเข้าไปทำงานจริง ไม่มีวิธีอื่นที่จะบอกว่าคนๆไหนเก่งหรือไม่เก่งในระยะเวลาสั้นๆได้ดีไปกว่าเกรดแล้ว ปัญหาที่หลายๆคนเจอตอนจบก็คือ ไม่รู้ว่าจบไปแล้วจะทำงานอะไร
เพราะบางคนไม่ได้วางเป้าหมายไว้ชัดเจนเป็นรูปธรรมตั้งแต่ต้น
ถ้าดันไปยึดเอา"ปริญญา"เป็นหลัก ... กิ๊กก็ต้องไปดิ้นรนหางานทางเภสัชทำ ต้องไปนั่งหาว่าที่ไหนรับเภสัชกรบ้าง
ระหว่างหางาน อาจจะไปเจอการชักชวนให้ไปทำงานอย่างอื่น ... ซึ่งถ้าไปยึดติดกับปริญญาก็จะเกิดความรู้สึกสับสนว่า "เราจบเภสัชมานะ จะไปทำงานอื่นได้ไงไม่ตรงกับที่เรียน" ... แล้วในที่สุดก็จะสูญเสียโอกาสนั้นไป ทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะมีความอยากทำงานนั้นก็ได้
ในทางกลับกัน ถ้าเอาปริญญาแปะไว้ข้างฝาก่อน ไม่ยึดติดกับมัน
เวลาสมัครงาน อาจจะได้โอกาสที่เปิดกว้างกว่า
อาจจะได้ค้นพบทางเลือกอาชีพที่ชอบจริงๆก็ได้
และเมื่อดูจากคำพูดที่ว่า
โทรไปปรึกษากับพ่อแล้วก็แม่ ว่าจะเอายังไงกะชีวิตดีเห็นได้ชัดพอสมควรว่า ไม่ได้พิศมัยหรืออยากจะไปทำงานทางเภสัชมากนัก...เพราะถ้าอยาก คงไม่เกิดความคิดนี้ออกมา
ผมว่าลองนึกดูดีๆก่อนก็ได้ครับ ว่าอยากทำอะไรกันแน่ ...
ถ้าทางบ้านไม่ลำบาก พ่อแม่เข้าใจ ก็หลักลอยต่อไปอีกปีนึง
จะหางานด้านอื่นทำก่อนก็ได้ จะทำความเข้าใจกับชีวิตต่อก่อนก็ได้
ดูจากความไม่แน่ใจที่แสดงออกมา ผมแนะว่าอย่าเพิ่งไปทำงานทางสายที่เรียนมาโดยทันที เพราะงานพวกนี้เข้าไปแล้วจะทำลายแรงบันดาลใจความคิดสร้างสรร โอกาสที่จะกลับออกไปทำงานอื่นก็จะลดน้อยลง
... เชื่อว่าพ่อของกิ๊กคงจะมองเห็นจุดนี้ แต่พยายามไม่เข้ามายุ่งมากนักเพราะอยากให้คิดได้เอง