ถ้าคนเก่งๆรุ่นใหม่ ทนความงี่เง่าของพวกคนแก่สมองไดโนเสาร์ไม่ได้ ไปแจ้งเกิดที่เมืองนอกกันหมด ไม่มีใครอยากแสดงงานในไทย
เอาแค่ทุกวันนี้ก็เป็นแบบที่ว่าหลายๆคนแล้วนะ ถ้าจะยอกอดีตมาพูดตัวอย่างง่ายๆก็คือ ลุงถวัลล์ กับน้าเฉลิมชัย ที่ไปดังที่ต่างประเทศมากกว่าในไทยมาก่อน
วงการศิลปะในบ้านเรายังดีที่แต่ละคนที่ทำงานในวงการช่วยๆกัน ไม่ค่อยแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างน้อยก็เลยมีเวทีให้แสดงออก แสดงงานเยอะ โอกาสเปิด แต่ก็ต้องต่อสู้กับไอ้พวกผู้ใหญ่หรือรัฐบาลที่ยังมองศิลปะด้วยตัวเองไม่เป็น (แล้วก็ออกมาโวยวายแบบใจแคบ) ... สิ่งที่คนบ้านเรายังเป็นกันก็คือการอิจฉาและกีดกันกันเอง แต่พอต่างประเทศยอมรับ บอกว่างานนั้นงานนี้ดี ก็เออออตามเขาไปทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้อะไรหรอก
บ้านเมืองเรามันถึงรับวัฒนธรรมตะวันตกกันแบบโง่ๆไง ซึ่งมันกลายมาเป็นปัญหาของสังคมที่กำลังสูญเสียวัฒนธรรมของตัวเอง ......
ไอ้ผู้ใหญ่ที่มาออกรายการเมื่อวาน (จับเข่าคุย เรื่องภาพภิกษุสันดานกา) เดาเอาว่าอาจจะเคยมีความคิดเห็นคัดค้านในการสร้างหอศิลป์แห่งชาติที่ใหม่ตรงแยกปทุมวัน ตอนนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันออกมาคัดค้านกัน ซึ่งเหตุผลที่ดูเหมือนฉลาดของคนพวกนี้ก็คือ เอาที่ไปสร้างห้างสรรพสินค้าตรงนั้นดีกว่า เพราะเป็นทำเลทอง หรือการสร้างหอศิลป์เป็นการทำเพื่อคนกลุ่มเดียวในสังคม คือคนทำงานแวดวงศิลปะ ไม่มีประโยชน์เพียงพอ ..... แม่งคิดกันได้เท่านี้ เจริญเลยล่ะประเทศไทย
....คนกลุ่มนี้มองไม่ออกหรือไม่มีความรู้ว่าศิลปะให้อะไรกับประเทศชาติหรือชีวิต ...... ที่ชาติเรากำลังปะทะกับวิกฤติเรื่องวัฒนธรรมก็เป็นเพราะเราไม่รู้จักศิลปะและการนำมันเอาไปใช้อย่างถูกต้อง ซึ่งมันไม่ใช่แค่คนทำงานศิลปะจะได้อย่างเดียวแต่ชาวบ้านหรือเด็กยุคต่อๆไปจะได้รับประโยชน์มหาศาลด้วย ......
ทำไมหลายๆชาติที่เจริญแล้ว ประชาชนมีความเข้าใจด้านศิลปะ และงานศิลปะ-ออกแบบ สร้างรายได้ให้กับประเทศได้มหาศาล ...บ้านเรามีศิลปะหลายๆอย่างที่ยังไม่ได้เอามาใช้แบบถูกต้อง ซึ่งถ้าทำสำเร็จออกมาได้ มันแทบจะไม่ได้เปลืองต้นทุนอะไรเลย ไม่ต้องใช้ที่ดินปลูกสร้าง ไม่ต้องลงเงินมากมาย ใช้แค่ความคิดในการสร้างสรรค์ก็ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ...... ไอ้การสร้างหอศิลป์หรือการปลูกฝังความเข้าใจในศิลปะ มันเป็นต้นทุนที่ไม่ได้แพงอะไรเลย
อาชึพที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ เป็นอาชีพที่ใช้ต้นทุนน้อยมาก ...และพื้นฐานของอาชีพที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ ไม่ว่า ออกแบบ, โฆษณา, สถาปัตย์, นักเขียน, คนทำหนัง พื้นฐานที่ต้องมีเป็นอันแรกคือความเข้าใจในศิลปะ ....ไปสืบกันดูก็ได้ว่าจริงหรือไม่จริง กวีซีไรต์กว่าครึ่งมักจบการศึกษาด้านสาขาศิลปะ เช่น ชาติ กอบจิตติ, ปราบดา หยุ่น, วินทร์ เลียววาริณ สายของคนทำภาพยนตร์ที่อยู่ในยุคที่ต่างประเทศยอมรับคนไทย เกินครึ่งเป็นคนที่จบด้านศิลปะเช่นกัน ....แล้วไอ้อาชีพพวกนี้แม่งแปลกอยู่อย่างนะว่า รัฐบาลหรือพวกผู้ใหญ่บ้านเมืองเราไม่ค่อยจะสนับสนุนกันจริงจังทั้งๆที่มันขายต่างประเทศได้ ต่างประเทศยอมรับ สู้เขาได้อย่างไม่อาย ดันปล่อยให้คนทำงานด้านนี้ดิ้นรนกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่พอใครดังเข้าหน่อยรัฐบาลหรือผู้ใหญ่ไร้ความคิดก็อาศัยเกาะชายผ้าเหลืองเขาไปด้วย ...... การทำให้คนรุ่นใหม่ๆเข้าใจด้านศิลปะมันมีผลใหญ่หลวงต่อสังคมยุคต่อไป .... ต้องรอล้างเผ่าพันธ์ไดโนเสาร์ก่อนนั่นแหล่ะ บ้านเมืองเรามันถึงเจริญ รายการเมื่อวานก็เห็นๆกันว่าตัวอย่างของพวกถ่วงให้ศิลปะพัฒนาได้ช้ามันเป็นยังไง ... เอาแค่การพูดจาออก TV. มันก็สื่ออะไรได้หลายๆอย่างแล้ว