พี่ยุ๊กโกะคือใครอะ T[]T
เอาอีกเรื่องมาลงแล้ว (ถึงจะรู้ว่าไม่มีคนอยากอ่านก็เหอะ
)
ตอนนี้เริ่มติดใจแนวนี้ ว่าจะหาเพลงมาเขียนเรื่อยๆ กะว่า payphone จะเป็นเพลงต่อไป
เรื่องอยู่ในหัวแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาเขียน
วันนี้เป็นวันที่ผมได้ย่างก้าวกลับมาที่คอนโดของเราอีกครั้ง
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่แห่งนี้ยังเป็นของเรา แต่นับจากนี้ไปมันจะกลายเป็นที่ของใครก็ไม่อาจรู้ได้
ผมกระชับแฟ้มเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในวันนี้แล้วค่อยๆเดินขึ้นบันไดไป
ในใจก็รู้สึกโหวงๆ เมื่อคิดว่าจากนี้จะไม่ได้อยู่ที่นี่ และไม่ได้มีวันเวลาดีกับใครคนหนึ่งซึ่งเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน ณ ที่แห่งนี้…
ผมเดินมาถึงอดีตห้องของเรา ข้าวของทุกอย่างที่เคยระเกะระกะทั่วห้อง
บัดนี้ถูกจัดเก็บลงกล่องหมดแล้ว
มีเพียงกรอบรูปซึ่งเคยใส่กรอบรูปของเราสองคนที่ยังถูกติดไว้ แต่บัดนี้รูปนั้นได้หายไปเหลือไว้แต่เพียงกรอบรูปที่ว่างเปล่า
ผมค่อยๆมองของที่ถูกเก็บไว้ในกล่องอย่างช้าๆ
ราวกับว่าถ้าผมมองเร็วเกินไป ความทรงจำเก่าๆนั้นพาลจะหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ภาพวันเก่าๆที่เคยมีพร้อมกับสิ่งของเหล่านี้ค่อยๆลอยขึ้นมาในห้วงความคิด
นั่นตุ๊กตาที่ผมเคยให้เธอเมื่อตอนที่ผมเล่นเกมชนะมา
นั่นก็อัลบั้มรูปที่ผมกับเธอบรรจงใส่รูปที่เราไปเที่ยวกันไว้จนเต็ม
ผมไม่กล้าเปิดมันออกมา เพราะกลัวว่าจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับความสุขความผูกพันอัดแน่นอยู่ในกล่องนั้นมากเกินไป ผมจึงเบือนหน้าออกมา
ผมเริ่มตรวจดูตามห้องต่างๆ เพื่อดูว่ามีของอะไรที่ลืมเก็บหรือไม่
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผมใจหาย กับความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทุกห้อง
โต๊ะที่เราเคยทานข้าวด้วยกัน โต๊ะทำงานที่ผมต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ง่วนอยู่กับงาน
ในขณะที่เธอจะคอยหยิบหูฟังหนึ่งข้างเพื่อแบ่งเพลงให้ผมฟัง ห้องน้ำที่เธอเคยลื่นล้มเมื่อสมัยเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ๆ
ผมเดินมาจนถึงเตียงนอน ผมนั่งลงบนฟูก หลับตานึกถึงวันแรกที่เราได้ย้ายเข้ามาแล้วภาพวันแรกที่เราตื่นเต้นกับเตียงนอนใหญ่นุ่มนี่ก็ลอยขึ้นมา
ผมอมยิ้มเล็กๆ เมื่อนึกถึงมัน
แต่ไม่นานเสียงกริ่งก็ดัง ทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิด
เจ้าของคอนโดเข้ามาเพื่อบอกว่าทำเรื่องให้เรียบร้อยแล้ว ให้เก็บข้าวของออกไปได้เลย
ผมพยักหน้ารับ พอดีกับที่มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ด้านหลังเจ้าของคอนโด
เธอนั่นเอง
เธอที่ทำให้ผมผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ และเป็นคนเดียวกับที่เอ่ยปากบอกว่าถึงเวลาที่เราควรจะจากสถานที่แห่งนี้เสียที
เมื่อเจ้าของคอนโดเห็นเธอมาก็เดินหลบฉากออกไป
ตอนนี้เหลือเพียงเราสองคน…อีกครั้ง… และคงเป็นครั้งสุดท้าย…
เธอเดินเข้ามา กวาดตามองรอบๆ เธอตรวจตราสิ่งของต่างๆเหมือนที่ผมทำ
เพียงแต่เธอใช้เวลาน้อยกว่าผมมาก ราวกับเธอสลัดเยื่อใยออกไปหมดแล้ว
เมื่อเธอตรวจทุกห้องทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับผม
ความเงียบก่อตัว บรรยากาศแห่งความเงียบเหงากำลังทำให้ใจค่อยๆบีบตัว
เรานิ่งเงียบจ้องตากันอยู่นาน
จนในที่สุดเธอก็เรียกขอดูกระดาษในแฟ้ม ผมค่อยๆหยิบมันออกมา ทั้งที่ในใจภาวนาอย่าให้ช่วงเวลานี้เป็นจริง แต่สุดท้ายผมก็ยื่นมันให้เธอ
มันคือใบหย่าที่เธอขอให้ผมนำมาให้เธอในวันนี้ พร้อมๆกับที่เรานำของทั้งหมดที่เหลือกลับไปตามที่ของตน
เธอเก็บใบหย่า ก่อนที่จะค่อยๆก้มมองที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
เธอลูบแหวนแต่งงานของเราเบาๆ แล้วค่อยๆดึงมันออกมาจากนิ้วของเธอ
หัวใจผมหล่น แต่ความรู้สึกหวิวโหวงกลับรื้นขึ้นมาถึงลำคอ
ผมยื่นมือออกไปเพื่้อเป็นบอกให้เธอหยุด
‘เก็บไว้เถอะ’ ผมพยายามรวบรวมเสียงอันแหบพร่าของผมเพื่อเอ่ยออกไป
แต่แล้วคำที่เธอตอบกลับมา ก็ทำให้ทุกเสียงของผมกลับหายไป
‘ถ้ายังเก็บเอาไว้ แล้วจะเริ่มต้นใหม่ได้ยังไง’ เสียงของเธอฟังดูเหมือนฉงนกับการกระทำของผม แต่ก็ยังเจือปนด้วยความโศกเศร้า
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ลุกขึ้น เดินช้าๆ แล้วนำแหวนไปวางบนชั้นวางของอย่างบรรจง เธอหันมามองผมเพียงเสี้ยวนาทีแล้วเดินจากไป
...
..
.
ผมยังคงนั่งนิ่ง พยายามรวบรวมความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดเพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ผมก้มมองดูที่แหวน ถอดมันออกมา พิจารณาถ้อยคำที่สลักบนแหวน
‘Forever Love’
ผมมองมันอยู่นาน ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วนำไปวางไว้เคียงข้างกับคู่ของมัน
ก่อนจะขยับเท้าหยิบข้าวของของผมออกจากห้องไป
‘ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะเคียงข้างกันได้อีก แต่แหวนคู่นี้จะเป็นตัวแทนแห่งความทรงจำของเราที่ยังดำรงอยู่ ณ ที่แห่งนี้เสมอ’
ชอบเรื่องนี้ที่สุดใน3เรื่องที่ส่งไป เพราะว่ามันเข้ากับเพลงที่สุดแล้ว
ตอนแรกนั่งจัดวรรคตั้งนาน บอกหมดเวลาส่ง(เพิ่งเคยเจอ)