ตอนนี้ผมกำลังหาบ้านใหม่ จะย้ายบ้าน
เนื่องจากเพื่อนร่วมห้องนิยมบูชารูปเคารพ
(ก็เหมือนคนไทยบูชาทั่วไปนั่นล่ะครับ)
จะนิยมบูชาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของผม แต่เขาเต็มไปด้วยการ"ถือ"
ทำนู่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ และบอกให้เคารพของมันหน่อยซิ
ซึ่งบอกผมแบบนี้พอๆกับบอกให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
ตอบประเด็นเรื่องไสยศาสตร์ จริงๆที่เป็นคนปลอดจากเรื่องนี้
แบบไม่เหลือเยื่อไยเนี่ย ไม่ใช่ว่าโตมาแบบฝร่งฝรั่ง คนเมือง
หรือโตมาแบบห่างไกลเรื่องพวกนี้นะครับ เล่าไปก็ตลก
เพราะตอนเด็กๆป้าซึ่งเป็นหมอธรรม เคยคาดหวังว่า
ผมจะช่วยดูแลวิหารจันทร์ทิพย์ได้
อย่าพึ่งหัวเราะนะครับ ที่เล่าเป็นความจริงทุกประการ
ผมมีญาติบางท่านเป็นหมอธรรม คือหมอที่รักษาทางธรรม
แบบที่หมอแมวเจอนั่นล่ะมั้งครับ แต่ทำไปด้วยเจตนาที่ดี
ทั้งสิ้นนะครับ ไม่ได้จะหลอกเอาตังค์ มีเขียนเหล็กจารลงอักขระ
(ผมก็เขียนเป็น)เข้าทรงญาติพี่น้อง เป่าเทียน ฯลฯ เอาเป็นว่ามีหมด
แต่ก็ดีอยู่อย่าง เป็นเหตุให้ได้ฝึกสมาธิมาก พี่น้องนี่โดนหมด
ทีนี้เวลานั่งสมาธิ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนั้นมันจริงหรือไม่จริงยังไง
ที่มามันมาจากไหน แต่ผมดันเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย
แสงสีทองนี่คือพื้นๆ ที่เขาตื่นเต้นมากก็คือ ผมเห็น
องค์ต้นบรมครูศาสดา (ประมาณว่าเป็นผู้นำคำสอนของ
หมอธรรมในท้องถิ่นนั้น) และท่านกำลังพูดอะไรไม่รู้กับผม
เขาเลยว่า โตขึ้นคงเหมาะสมที่จะมาทางนี้
จะบอกว่าสืบทอดวิหารจันทร์ทิพย์อะไรนี่ ก็ฟังดูการ์ตูนไปหน่อย
แต่ก็ทำนองนั้นแหละครับ
ถึงตอนนี้อนุญาตให้ขำได้ครับ ผมรู้ว่ามันตลก
ตั้งแต่ช่วงที่สมาธิดีๆอายุสักสิบขวบจนถึงอายุสิบสามมั้งครับ
อะไรทั้งหลายเหล่านั้นก็หายไป เวลานั่งสมาธิผมก็ไม่เห็นอะไรอีก
ไม่รู้ว่าความลึกของสมาธิลดลงหรือเปล่า เพราะตอนช่วงนั้น
สามารถนั่งได้สามสี่ชั่วโมงไม่รู้ตัว (เด็กสิบขวบนะ)
แต่จะได้นั่งเฉพาะเทศกาลสำคัญ เพราะไปที่นั่น
เหมือนไปเยี่ยมญาติตอนวันหยุดเท่านั้น
ถ้านอกเหนือจากนั้น ก็มีแต่พ่อที่พานั่งสมาธิบ่อยครั้ง
และสอนแต่ในแง่ว่า สมาธิมันเป็นวิทยาศาสตร์
ถ้าไม่อย่างนั้นสงสัยกลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้วกู
ปล.เป็นประวัติชีวิตที่แทบไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะนี่
ที่เคยเล่าก็มีแต่คนฮา ไม่คูลเอาซะเลย