ฝัน
เมื่อคืนผมฝัน ความฝันที่คุณเหมือนจะรู้ตัวแต่คุณก็ไม่แน่ใจ
บางส่วนเหมือนความจริงที่คุณรู้สึกได้ด้วยผัสสะ และ อารมณ์
บางส่วนเหมืทอนความคิดที่คุณเหมือนจะควบคุมมันได้ แต่บางวูบคุณก็ควบคุมไม่ได้
ความจริงที่สับสนกับจินตนาการ ทั้งในแบบที่คุณอยากให้มันเป็น และ ไม่อยากให้มันเป็น
ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นที่ตรงไหน รู้ตัวอีกทีมันก็เป็นไปอย่างที่มันเป็นไปเสียแล้ว
จนเมื่อคุณรู้สึกตัว คุณอาจไม่อยากตื่น แต่ในที่สุดมันก็จากไป
ณ ห้วงนั้น ผมก็คือตัวผมที่กำลังทำงานผลิตรายการโทรทัศน์ กับเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยกัน
เพียงแต่ผมรู้สึกหนุ่มขึ้นราว 7-8 ปี ย้อนกลับไปตอนที่ยังไว้ผมยาวมัดรวบตึง ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อต
วันนี้ถ่ายทำนอกสถานที่เป็นรายการดาราพาเที่ยว แขกรับเชิญวันนี้เป็นสาวน้อยยิ้มกว้าง เต้ย จรินทร์พร
จากการที่ทำงานในวงการมานาน เห็นดารามาก็มากจนรู้สึกปกติ ก็คนธรรมดา มีน่าคบ ไม่น่าคบตามประสา
บางคนก็ทำเสียความรู้สึกว่าที่เห็นเขาในจอนั่นไม่ใช่ตัวตนจริง บางคนพอได้ร่วมงานถึงได้เห็นส่วนน่ารักของเขา
ดาราบางคนที่ผมปลื้มเป็นพิเศษ ก็เก็บอาการไม่อยู่เผลอแสดงสีหน้าและแววตาชื่นชมเกินพอดีไปก็มี
สำหรับเต้ย ผมชอบเด็กคนนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นมิสยูทิปยิ้มร่าเริงอยู่ในโฆษณา ติดตามผลงานและพัฒนาการของเธอมาเรื่อย
เคยเห็นตัวจริงเธอบ้าง เมื่อสักปี สองปีก่อน ตอนนั้นรู้สึกว่าเธอเริ่มเป็นดาราเต็มตัว ไม่ใสอย่างที่ผมประทับใจในครั้งแรก
พอมาได้มาร่วมงานกันในห้วงนั้น เธอดูไม่ผอมเพรียวอย่างที่เคยเจอตัวจริง เธอดูเหมือนเด็กสาวในโฆษณาครั้งนั้น
ในรายการเธอต้องพาเที่ยวเมืองเชียงใหม่บ้านผม ซึ่งมันก็ดูเล็กกว่าที่ผมเคยรู้สึก ทุกที่เหมือนเดินไปหากันได้
ผมมีหน้าที่อธิบายรายละเอียดของสถานที่ต่างๆ ให้เธอฟังก่อนถ่ายจริง เธอเป็นเด็กตั้งใจ ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา
การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นฉากที่เธอพาไปกินขนมจีนข้างทางที่กาดหลวง
หรือฉากขำๆ ที่เราเอาณต เดอะสตาร์มาเป็นแขกเซอร์ไพรซ์ กับมุกแฝดคนละฝา ก่อนที่พี่เพชร มาร์ จะมาร่วมเล่นกีตาร์ร้องเพลงกัน
ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกัน ผมชอบแกล้งเธอ ไม่รู้ว่าแกล้งอะไร คงเป็นมุกปากหมา ทะลึ่งตึงตังตามประสาผมนั่นแหละ
แต่ผมจำมันไม่ได้ซักประโยค ผมจำได้แต่ภาพของเธอทำสายตางอนๆ ทำแก้มป่องๆ ค้อน ให้ผมเข้าไปง้อ ลุบหัวสองสามที
ผมรู้ได้ว่าเคมีเราตรงกัน และไม่นาน ผมก็รู้สึกมากกว่านั้น ความรู้สึกที่ผมใช้วัดก็เป็นความรู้สึกเดิมๆ ที่รู้สึกทุกครั้งเวลาตกหลุมรักใครสักคน
ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเธอเหมือนว่าเรารู้จักกันมานาน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปตรงที่ว่า ผมรู้สึกว่าเคยรู้จักเธอจริงๆ
เหมือนเธอจะเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยเมื่อตอนผมอยู่ปี 6 โดยเฉพาะเวลาที่เธอทำแก้มป่องๆ แบบนั้น มันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ผมเริ่มขยับระยะจากเพื่อนร่วมงานด้วยการการถามเธอว่า เต้ยยิ้มกว้างแบบนี้ตลอดเวลาเลยเหรอ
เธอตอบว่านี่เป็นรอยยิ้มแบบมีความสุข เวลาเธอมีความสุขเธอจะเต็มที่กับมันเสมอ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยิ้มอยู่แบบเดียว
ผมถามต่อว่า แล้วยิ้มแบบอื่นของเต้ยเป็นยังไง เธอหันหน้าไปแล้วก็ตอบมาว่า มันมียิ้มอีกแบบที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นหรอก
ยังไงเหรอ ผมถามต่อ ไม่เอา ไม่บอก เธอตอบ ผมเหมือนรู้คำตอบอะไรบางอย่างอยู่แล้ว จึงเดินอ้อมไปดูหน้าเธอ
เธอยิ้มเล็กๆ หลบตาลงต่ำ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองผม...เวลาคล้ายหยุดเดิน ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
อันที่จริงบรรยากาศโดยรอบเหมือนเลือนหายไปตั้งแต่ที่ผมเริ่มคำถามแรก คงเป็นเพราะตอนนี้มีแต่เธอเท่านั้นที่มีความสำคัญ
ไม่รู้ว่าเราเลิกกองถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ เราสองคนเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ บนถนนเมืองเชียงใหม่ยามค่ำ
เจอเพื่อนในบริษัทบ้าง ทุกคนเหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน แต่ก็เหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ทุกคนไม่ได้พูดออกมา
มันเหมือนทุกคนจะยิ้มให้เรา แต่ก็เหมือนมีความกังวลอะไรซักอย่างในแววตาที่มองมา หรือที่จริงนั่นเป็นใบหน้าของผมที่มองมากันแน่
ถึงแม้เราจะไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน แต่แรงดึงดูดบางอย่างมันทำให้ผมรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมรับรู้ถึงการมีอยู่ของเธออย่างเต็มที่
ผมจำบทสนทนาของเราไม่ได้ ผมจำได้แต่เสียงแหบเล็กๆ ของเธอ น้ำเสียงร่าเริง อบอุ่น ที่ผมเคยรู้สึกมาแสนนาน
เราเดินผ่านจอขนาดใหญ่ ในนั้นเป็นเธอยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกสูงยามอัสดง เธอพูดกับใครซักคนด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า
ฉันจะรอคุณอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณตามหาฉันไม่เจอ นั่นก็หมายความว่า การที่ฉันรอมันไม่มีจริง เพียงประโยคนี้เท่านั้นที่ผมจำได้ขึ้นใจ
เราเดินมาจนกระทั่งถึงร้านเหล้าประจำของผมที่กลับไปบ้านทีไรก็ต้องมา ที่นี่คือเพื่อนสนิทของผม
แต่เมื่อมาถึง ร้านมีคนแน่น ทุกคนหันมามองเรา แววตากังวลที่เราเห็นมาตลอดทางมันชัดเจนมาก มันคือแววตาของผม
ความเป็นจริงของผมก็ผุดขึ้นมา ผมไม่ใช่คนโสด ผมมีครอบครัวแล้ว ผมหันไปหาเธอ แต่ช้าไปเสียแล้ว
เธอยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่ที่เดิมนั้นมันลอยห่างผมออกไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ผมจะคว้าเธอไว้ได้ทัน ผมทันได้แต่เห็นน้ำตาของเธอเท่านั้น
ผมพยายามวิ่งตามเธอ แต่ความเป็นจริงมันได้เริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว ระยะทางที่ย่นย่อตามใจผมมันได้ถูกขยายออกรอบทิศ
รถรา ผู้คนมากมาย โผล่ขึ้นมาขวางจนเธอลับหายไปจากสายตา...ผมรู้ว่าผมจะหาเธอเจอที่ไหน
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า เธอเข้าไปที่ตึกนั้นไม่ได้หรอก เธอไม่มีสิทธิ ภาพแปลนของตึกนั้นลอยเข้ามาอย่างไม่มีความหมาย
ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้ยอมรับว่าผมขึ้นไปไม่ได้ ถึงแม้ผมจะรู้โดยทันทีว่าตึกนั้นคือตึกไหน ถึงแม้จะไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ที่อยู่
ไม่เคยแม้กระทั่งจะเห็นมันมาก่อน แต่ผมรู้เพียงแต่ว่าเธอยังจะรอผมอยู่บนนั้น ผมร้องตะโกนด้วยความคลั่งแค้นใจ
ผมรู้ว่าเพียงข้ามถนนข้างหน้าไปไม่ไกล ตึกนั้นจะอยู่ที่นั่น ผมจะข้ามมันไป ไม่ว่าจะมีอะไรที่ตึกนั่น ผมจะขึ้นไปที่ดาดฟ้า...
แล้วผมก็ตื่น...ตอนแรกผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฝันว่าอะไร มีแต่ความรู้สึกต้องรีบดำเนินกิจวัตรมาตามปกติ
จนมีความรู้สึกหน่วงๆ ก้อนหนึ่งแรกซึมเข้ามาในความง่วงงุน แล้วจู่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็แจ่มชัดขึ้นในความทรงจำ
ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกแบบเดจาวูหรือเปล่า ที่เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่มันอาจเป็นแค่ประจุไฟฟ้าลัดวงจรในสมอง
ผ่านเวลามาจนผมตื่นเต็มตัวดีแล้วตอนนี้ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมฝันไป หรือ มันอาจไม่จริงยิ่งไปกว่านั้น...ผมไม่เคยฝันถึงเธอจริงๆ เลย
TKO - ฝัน.wmv เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรู้สึกเข้าใจได้ว่าทำไมหลายๆ คนจึงได้เปรียบความรักไว้ว่าเป็นเหมือนความฝัน