ผมจัดให้เป็นนิยายเลย ชายชุดสูทกำลังใกล้เข้ามา ที่นั่งรอบข้างว่างเปล่า เป้าหมายของพวกเขาเป็นใครอื่นไปไม่ได้
ผมหันไปหาเธอ ดวงตาไม่หวั่นไหวของเธอมองไปรอบๆ โรงละคร
“หนีไปจากที่นี่เถอะ”
สิ้นคำ ผมเพ่งสายตาขึ้นไปยังหลอดไฟสีเหลืองที่ส่องไปหาเวที เกิดเสียงเหมือนระเบิดจิ๋วปะทุขึ้นที่ปลายกระบอกไฟ และทุกอย่างดับมืด เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นแทบจะในทันที ผมรู้สึกถึงแรงดึงให้ลุกขึ้นและออกวิ่ง ผ่านร่างทะมึนของชายสองคนที่ยื่นมือคลำทางสะเปะสะปะอยู่ริมทางออก หญิงสาวชะเง้อมองพื้นที่นอกหน้าต่าง ใช้ข้อศอกกระแทกบานพับเปิดออก ผมปีนตามหลังเธอ เสียงรองเท้าหนังย่ำบนพื้นพรมดังระงมอยู่เบื้องหลัง
ฝนตกสาดซัดจนผมแทบจะหล่นลงจากระเบียง แสงไฟตามตึกทำให้มองเห็นทางเลือนราง เธอยังจับมือผมแน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นคลายกังวล ผมเตะตัวล็อกบันไดลิงหลุดกระเด็นและเราไต่ลงมาบนถนน
ยังไม่ทันจะได้หอบหายใจ เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น ล้อยางบดไปกับทางเท้า เธอเปิดประตูจูงผมเข้าไป อากาศอุ่นสบายและรถออกตัวดิ่งตรงสู่ความมืดมิด
และผมสะดุ้งตื่น
เสียดายเป็นบ้า มีทั้งพลังจิต มีทั้งนางเอก มีทั้งผจญภัย
โวยวายอยู่ในใจขณะลุกไปอาบน้ำ โลกปัจจุบันมันก็แค่ตื่นไปเรียนกลับมาทำงานนอน เลือกช่วงที่สนุกๆ มาดำเนินชีวิตยังไม่ได้เลยสักช่วง
เนคไทอยู่บนห้อง ผมก้าวเนือยๆ ขึ้นไปด้านบน และเปิดประตู ก่อนจะพบกับเรื่องมหัศจรรย์
หล่อนนอนอยู่บนเตียงผม และสะดุ้งตื่นแทบจะในทันที
“นี่ที่ไหน แล้วลุงล่ะ”
เธอถามทันควัน หันมามองผม แล้วชะงัก
“นี่เธอ... ตัวโต”
ผิดกับผมที่พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ผมยื่นมือไปแตะบ่าเธอพร้อมๆ กับที่เธอแตะแขนผม
ทำไมถึงได้เหมือนจริงอย่างนี้?
“ทำไม...”
“นี่ที่ไหน แล้วเธอตัวโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” หล่อนหันรีหันขวางมองห้องผม “ลุงล่ะ ลุงกำลังเดือดร้อนไม่ใช่หรอ”
“ก็ผมตื่นแล้วนี่ ฝันควรจะจบลงได้แล้วนี่” เหมือนผมพูดพึมพำกับตัวเอง ยังไม่เชื่อในสายตา “ทำไม แล้วเธออยู่ที่นี่ได้ไง”
“ฉันต้องฝันไปแน่ๆ” หล่อนพึมพำกับตัวเองเหมือนผม นั่งลงบนเตียงกุมขมับ
“แต่นี่มันความเป็นจริงของผม”
หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเป็นประกายสงสัย
“แล้วเธอที่เป็นเด็กน้อยที่ฉันเห็นในความเป็นจริง?”
“นั่นความฝันของผม”
ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผล แต่ผมเชื่อว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงผมตอนนี้คือตัวตนในฝันของเธอ
เธอไม่ทานอะไร ผมกินข้าวเช้าและมองหน้าเธอ
“เธอไม่มีพลังจิตเหรอ”
“ไม่มี โลกนี้ผมเป็นคนธรรมดา” ผมหาจังหวะปากว่างๆ ตอบเธอ “ผมว่าคุณน่าจะมีพลังจิตนะ ลองยกแก้วยกช้อนดูสิ”
ไม่ต้องอารัมภบทมากมาย เธอกวาดมือครั้งหนึ่งและของทุกอย่างลอยเคว้งไปทั่วโต๊ะ
ผมมองใบหน้าเธอ กลัวเกินกว่าจะพูดเข้าประเด็น
“อยากออกไปเดินข้างนอกไหม”
แสงแดดอุ่นๆ ทอดผ่านร่มไม้หน้าบ้าน เธอยิ้มบางๆ และจับมือผม ก่อนจะเหลือบมองหน้าผมและเกิดเขินอายขึ้นมาเฉยๆ ผมยิ้มกว้างและพาเธอเดินไปรอบๆ หมู่บ้าน
“ถ้าตอนนี้ฉันฝันอยู่ เวลาที่ฉันตื่น คือฉันจะหายไปจากที่นี่”
เธอสังเกตเห็นใบหน้าผมหม่นหมอง จึงรีบแสร้งทำรื่นเริง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ก็ถ้าเธอหลับก็จะได้ไปโผล่ในความเป็นจริงของฉันไง”
ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะนองหน้า
“ผมไม่เคยฝันเรื่องเดิม ต่อให้ผมหลับฝันอีกเป็นล้านๆ ครั้ง ที่เจออย่างดีที่สุดคือใครซักคนที่คล้ายคุณ แต่ไม่ใช่คุณ เมื่อคืนเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมจะเจอคุณ”
มีแต่เสียงลมแผ่วเบา เธอบีบมือผมแน่นขึ้น
“ไม่รู้ว่าฉันจะตื่นเมื่อไหร่ ช่วงเวลาที่เหลือนี้ฉันควรจะอยู่กับเธอ หรือหนีหน้าเธอดี”
“คุณอาจจะไม่มีตัวตน” ผมเอ่ย เศร้าหมอง “แต่ผมคงคิดถึงคุณ”
ผูกพันกับหญิงสาวที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
เพียงแค่ว่าวินาทีที่เราฝัน เรารู้สึกเหมือนเป็นคนที่ไม่มีวันจะแยกจาก
หล่อนหายไปแล้ว ผมเอนกายลงบนที่นอน
หลับตาและรวบรวมกำลังใจ เผื่อวันใดจะได้เจอกันอีก ถึงจะเป็นแค่
ในฝัน